การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 532 ออกจากตระกูลถัง
บทที่ 532 ออกจากตระกูลถัง
พอได้ยินคำพูดของถังซวง ผู้เฒ่าตระกูลพยักหน้ารับก่อนจะพูดต่อว่า “อื้ม นี่คือวิธีการที่สืบทอดกันมา แต่ยังไม่มีใครประสบความสำเร็จสักคน หลายร้อยปีนี้ไม่มีผู้นำตระกูลถังคนไหนสำเร็จการกลั่นยาพวกนี้ได้ ฉันเลยอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าใบสั่งยาพวกนี้มันถูกต้องหรือเปล่า”
แววตาของถังซวงเปล่งประกายออกมา เธอเงียบไปครู่หนึ่ง ยกยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ค่ะ ข้อความพวกนั้นอาจจะผิด เพราะไม่มีใครกลั่นยาพวกนั้นได้เลย” หลังพูดจบ ถังซวงก็บอกลาแล้วจะกลับออกไป
“ฉันได้ยินเรื่องที่เธอจะกลับมาก่อนหน้าแล้วละ ยังไงซะก็เดินทางปลอดภัยนะ และถ้ามีเวลาก็กลับมาเยี่ยมที่นี่ได้เสมอ”
ถังซวงยิ้มรับ
ขณะหญิงสาวกำลังจะออกไป ผู้เฒ่าตระกูลรีบร้องถามทันทีว่า
“ถังซวง จริง ๆ แล้วชื่อของเธอฟังดูคุ้นมาก แต่ฉันก็ไม่เคยคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อนจนนึกออกว่าชื่อของเธอเหมือนกับคนที่พัฒนายาต้านอักเสบชนิดพิเศษ…” หลังพูดถึงเรื่องนี้ ผู้เฒ่าตระกูลหันมองถังซวงอย่างคาดหวัง
ส่วนถังซวงก็มองผู้เฒ่าตระกูลก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ค่ะ เป็นฉันเอง”
ความจริงแล้วผู้เฒ่าตระกูลก็พอจะคาดเดาได้ แต่เมื่อได้ยินกับหูตัวเองอย่างนั้นก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง
“คนหนุ่มสาวทุกวันนี้น่าทึ่งจริง ๆ แม้ตระกูลถังของพวกเราจะเชี่ยวชาญทักษะการแพทย์แผนจีน แต่ฉันก็พอจะรู้เกี่ยวกับการแพทย์ตะวันตกบ้างเล็กน้อย อีกอย่างฉันรู้ด้วยว่ายาที่เธอพัฒนาขึ้นมามันยอดเยี่ยมแค่ไหน ยานั้นสร้างประโยชน์กับผู้คนมากมาย เธอยอดเยี่ยมมากเลยละถังซวง ทำได้ดีมาก”
ถังซวงหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินผู้เฒ่าตระกูลกล่าวชื่นชม
“ขอบคุณค่ะผู้เฒ่าตระกูล ฉันแค่บังเอิญพัฒนามันได้น่ะค่ะ”
แต่ผู้เฒ่าตระกูลส่ายศีรษะ “ทักษะการแพทย์ไม่มีคำว่าบังเอิญ แต่มันแสดงให้เห็นว่าเธอมีความสามารถที่จะทำมันต่างหาก” ในตอนท้าย ผู้เฒ่าตระกูลถามอีกครั้งด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ความจริงแล้วฉันก็ได้ยินข่าวลือว่าเธอพัฒนายาหลายตัวมาก แต่ยาพวกนั้นไม่ได้เผยแพร่สู่สาธารณชน และมีไว้สำหรับกองทัพเท่านั้น”
ถังซวงเหลือบมองผู้เฒ่าตระกูลอย่างประหลาดใจ
น้อยคนนักที่จะรู้ถึงเรื่องนี้ แต่ผู้เฒ่าตระกูลกลับทราบถึงมัน แม้ว่าเขาจะอยู่แต่ในตระกูลถัง แต่เขาก็ยังให้ความสำคัญกับโลกภายนอกเสมอ
สุดท้ายเธอนึกคิดว่าตัวเธอเองกับถังเซวี่ยเข้าสู่ลำดับวงศ์ตระกูลถังแล้ว และครอบครัวของถังคุนเฉินและถังอวี้สือกับผู้เฒ่าตระกูลรองมีสัมพันธ์กันอย่างเปิดเผย ถังซวงจึงต้องการสร้างสัมพันธ์ด้วย เธอจึงพยักหน้ารับอย่างไม่คิดปิดบัง “ใช่ค่ะ จริง ๆ แล้วฉันพัฒนายาขึ้นมาหลายอย่าง และเป็นยาที่ใช้ในกองทัพโดยเฉพาะ ผลลัพธ์ของมันค่อนข้างเจาะจงค่ะ”
ได้ยินถังซวงยอมรับตรง ๆ แบบนั้น ผู้เฒ่าตระกูลถึงกับเผยสายตาเป็นประกายแล้วพูดด้วยความชื่นชม “คลื่นลูกใหม่พัดคลื่นลูกเก่าจริง ๆ ถังซวง เธอโดดเด่นและเก่งกาจมาก เก่งกว่าคนรุ่นใหม่ในตระกูลถังทั้งหมดเลยด้วยซ้ำ”
และเมื่อคิดถึงว่าผู้เฒ่าถังยังไม่ได้อธิบายเรื่องราวต่าง ๆ กับถังคุนหาวและหัวเฟยเฟิ่ง ผู้เฒ่าตระกูลก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอีกครั้ง
ความจริงแล้วเขาก็สามารถคาดเดาได้ว่าผู้เฒ่าถังกำลังทำอะไรอยู่ และรู้ว่าทำไมอีกฝ่ายจึงไม่อธิบายเสียที ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายรู้สึกว่าถังอวี้สือมีพรสวรรค์หรอกหรือ ในใจของพวกเขาจึงเอนเอียงไปทางสายครอบครัวของถังคุนเฉินมากกว่า ถ้าหากว่าผู้เฒ่าถังรู้ว่าถังซวงยอดเยี่ยมกว่าถังอวี้สือ เขาอยากจะรู้จริง ๆ ว่าอีกฝ่ายจะทำอย่างไร
แต่ดูเหมือนผู้เฒ่าตระกูลเกียจคร้านเกินกว่าจะสนใจผู้เฒ่าถัง และไม่ต้องการชี้แนะ เขาเพียงอยากรู้ว่าถังคุนหาวกับถังซวงจะจัดการเรื่องราวทั้งหมดนี้อย่างไร จึงไม่คิดจะเข้าไปแทรกแซง
“ถังซวง หลังจากกลับเมืองหลวงแล้วก็ทำงานให้หนักต่อไปนะ ความสำเร็จของเธอจะไม่หยุดเพียงเท่านี้แน่นอน”
ถังซวงพยักหน้าด้วยรอยยิ้มก่อนจะโบกมือลาผู้เฒ่าตระกูล
หลังจากถังซวงจากไปแล้ว ลูกชายของผู้เฒ่าตระกูลเดินเข้ามา เขาเหลือบมองแผ่นหลังของถังซวงที่ไกล ๆ ก่อนจะถามขึ้นว่า “พ่อครับ นั่นลูกสาวของคุนหาวหรือครับ?”
“ใช่”
“แล้วเธอมาทำอะไรหรือครับ?”
ผู้เฒ่าตระกูลยกตำรับยาในมือขึ้นมา “เอาของมาคืน”
“ผู้หญิงคนนั้นอ่านมันมาตั้งหลายวัน แล้วนี่มาที่นี่เพื่อคืนตำรับยาเล่มนี้น่ะหรือครับ” ถังคุนอวี้กล่าวออกมาด้วยความประหลาดใจ สุดท้ายแล้วสำหรับเขา ตำรับยาเล่มนี้เป็นเพียงซี่โครงไร้เนื้อหนัง น่าเสียดายเกินกว่าที่จะโยนทิ้ง เบื่อหน่ายเกินกว่าที่จะเก็บไว้ เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมตำรับยาเล่มนี้ถึงดึงดูดความสนใจของถังซวงได้
ได้ยินคำพูดของลูกชาย ผู้เฒ่าตระกูลอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “เพราะถังซวงกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้และพยายามอย่างหนักไงล่ะ การกระทำเช่นนี้นับว่าถูกต้องแล้ว”
ถังคุนอวี้เหลือบมองพ่อของเขาด้วยความประหลาดใจก่อนจะถามต่อว่า “พ่อครับ พ่อชอบถังซวงมากเลยหรือ?”
“ใช่ ฉันชอบเด็กคนนี้มาก จำไม่ได้เลยว่าไม่ได้เห็นว่าตระกูลถังมีคนรุ่นใหม่ที่โดดเด่นแบบนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่”
ถังคุนอวี้ไม่ได้คาดหวังเลยว่าพ่อของเขาจะชื่นชมถังซวงมากขนาดนี้ เขาไม่รู้เลยว่าควรจะพูดอะไรต่อ เพราะจริง ๆ แล้วเขาเองก็ต้องการทราบว่าถังซวงเก่งกาจอย่างไรจึงได้รับความสนใจจากพ่อของตนมากขนาดนี้
ทว่าผู้เฒ่าตระกูลไม่คิดจะพูดอะไรมากกว่านี้ เขาหันมองถังคุนอวี้ก่อนจะถามว่า “แล้วแกมาที่นี่ทำไม? มีอะไรหรือเปล่า?”
วันนี้ที่ถังคุนอวี้มาพบผู้เฒ่าตระกูลก็เพราะมีเรื่องบางอย่าง เขาพูดทุกอย่างออกมาตามตรง
ผู้เฒ่าตระกูลวางตำรับยาโบราณในมือลง และตั้งใจคุยกับลูกชาย
หลังจากถังซวงออกจากบ้านของผู้เฒ่าตระกูล เธอก็กลับมาที่ลานบ้านของตัวเอง
ถังหลานเห็นถังซวงกลับมาแล้ว จึงรีบดึงลูกสาวเข้ามาก่อนจะพูดว่า “ซวงเอ๋อร์ เปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะลูก เดี๋ยวเราจะไปทานมื้อเย็นที่บ้านคุณตาทวดกัน” ความจริงแล้วเธอไม่ต้องการไปเลย เพราะที่นั่นมีถังคุนเฉินรวมอยู่ด้วย ซึ่งครอบครัวนั้นค่อนข้างน่ารังเกียจสำหรับเธอ
แต่เมื่อถังซวงได้ยินแม่พูดแบบนั้น เธอทำได้เพียงพยักหน้ารับก่อนจะเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกไปพร้อมกับคนอื่น ๆ
ผู้เฒ่าถังเห็นว่าถังคุนหาวและครอบครัวเข้ามาแล้ว ก็ยกยิ้มก่อนจะโบกมือให้มานั่ง “คุนหาว รีบพาอาหลานกับคนอื่น ๆ นั่งลงเร็วเข้า ครอบครัวน้องชายของแกมาถึงสักพักแล้ว เดี๋ยวเราจะได้เริ่มทานมื้อเย็นร่วมกัน”
ส่วนหลานอี้ไป๋เห็นหัวเฟยเฟิ่งเดินเข้ามาจึงยกยิ้มทักทาย “พี่สะใภ้ ฉันได้ยินว่าคุณจะไปอยู่กับอาหลานสักพักหนึ่ง เป็นเรื่องดีที่แม่กับลูกสาวจะได้ใช้เวลาร่วมกันให้มากขึ้นนะคะ”
ได้ยินหลานอี้ไป๋พูด หัวเฟยเฟิ่งก็หัวเราะออกมา “ฉันเพิ่งได้พบลูกสาวของฉัน แน่นอนว่าต้องการมอบความรักให้เธอได้มากที่สุด แต่มันก็ไม่ดีเท่ากับการมีลูกสาวอยู่เคียงข้างเสมอหรอก บางครั้งฉันก็อิจฉาเธอที่มีลูกสาวอยู่ด้วย แม้เธอจะเจ็บปวดหลังคลอด แต่หวยรุ่ยก็เป็นลูกสาวคนเดียวที่อยู่เคียงข้างกับเธอ”
ได้ยินหัวเฟยเฟิ่งกล่าวถึงอาการบาดเจ็บหลังคลอด สีหน้าของหลานอี้ไป๋มืดมนลง
แม้แต่ถังคุนเฉินที่อยู่ด้านข้างก็หันมองหัวเฟยเฟิ่งด้วยสีหน้าขุ่นเคือง “พี่สะใภ้ พี่จะพูดจี้ใจดำอี้ไป๋ทำไม? พี่ก็รู้ว่าเธอเจ็บปวดกับเรื่องนี้มาก”
“อ่า… ขอโทษที่ฉันพูดไปไม่ทันคิด ฉันก็แค่พูดออกไปโดยไม่ตั้งใจน่ะ เอาละ ฉันจะหยุดพูดแล้ว และจะไม่พูดถึงมันอีกด้วยนะ”
เห็นว่าหัวเฟยเฟิ่งยอมรับความผิดพลาดอย่างไม่แยแส ถังคุนเฉินและหลานอี้ไป๋ถึงกับหายใจไม่ออก แต่ก็ไม่สามารถตอบโต้อะไรได้
ตอนนี้เองที่แม่เฒ่าถังพูดขึ้นว่า “เอาละ พอได้แล้ว รีบนั่งลงกินข้าว เดี๋ยววันพรุ่งนี้อาหลานกับคนอื่น ๆ ก็จะกลับแล้ว”
ทั้งครอบครัวรับประทานอาหารร่วมกัน แต่ต่างคนก็มีความคิดภายในใจที่แตกต่าง สุดท้ายแล้วเมื่อมื้ออาหารจบลง ถังคุนหาว หัวเฟยเฟิ่ง และครอบครัวก็เดินออกไปจากที่นี่ทันที
ในวันรุ่งขึ้น ถังซวงและคนอื่น ๆ ออกจากตระกูลถังพร้อมมุ่งหน้ากลับสู่เมืองหลวง