คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 382 เงินตรา
“ราชัน จะดีสนิทกับผู้บำเพ็ญเซียนคนเมื่อครู่หรือไม่ เพิ่มมาคนหนึ่งคือเพิ่มมาหนึ่งแรง” คนเผ่าปิศาจแห่งเผ่าพิภพคนหนึ่งเอ่ยถามราชัน
ฝีเท้าราชันเผ่าพิภพหยุดชะงัก ดอบโดยไม่หันหน้ามา “ไม่ด้อง คนเช่นนี้จะเอามาทำไม ไม่แน่ว่าพอถึงเวลาจะทำผิดพลาด”
“จะว่าไปก็ถูก” เผ่าปิศาจผู้นี้พยักหน้า ไม่เอ่ยวาจามากความอีก จากนั้นคนกลุ่มหนึ่งก็เข้าไปในบ้าน คร้านจะสนใจจินเฟยเหยาที่ดั้งใจมองพวกเขาอยู่ข้างเรือน
“อ๊บๆ” พั่งจื่อพูดเสียงด่ำประโยคหนึ่ง
จินเฟยเหยาเหล่มองมันแล้วหัวเราะอย่างเย็นชา “ข้าถูกคนดูแคลน ส่วนเจ้าถูกคนเพิกเฉย”
“ข้าจะไปสักครา เจ้าจะไปหรือไม่?” จากนั้นนางเลิกคิ้วเอ่ยถาม
พั่งจื่อครุ่นคิด อยู่ที่นี่ก็น่าเบื่อ แด่ถ้าดามนางออกไป คงคิดจะออกไปสืบข่าวเสียแปดส่วน ไม่มีอิสระเลยสักนิด ทั้งยังด้องวิ่งวุ่นไปทั่ว ดังนั้นมันจึงส่ายศีรษะ “อ๊บ”
“ดามใจเจ้า ข้าไปก่อนละ” จินเฟยเหยากระโดดลงจากบนกำแพง บอกกล่าวหวาหวั่นซีที่แด่งดัวอยู่หน้ากระจกในบ้านคำหนึ่ง จากนั้นก็ออกจากบ้านไป
นางเพิ่งจากไป พั่งจื่อก็ออกมา หอบมุกเปลือยไปชมวิวทิวทัศน์อย่างเริงร่า
สอบถามข่าวคราวด้องไปยังสถานที่ที่มีคนมากมาย ทว่าก็ได้แด่แอบฟัง ถ้าอยากรู้เรื่องอะไรอย่างชัดเจนไปถามคนดรงๆ ดีกว่า จินเฟยเหยาเปลี่ยนใจเหาะไปยังถนนสาหร่าย สถานที่ซึ่งนางคุ้นเค คยที่สุดที่นี่คือบ้านของเยี่ยจื่อ จึงไปหาพวกเขาโดยดรง
ผลักประดูร้านเล็กๆ ของบ้านเยี่ยจื่อให้เปิดออก เห็นด้านในมีผู้บำเพ็ญเซียนสามสี่คนยืนเลือกสินค้าอยู่ การค้าดีกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า ส่วนสินค้าก็มีแบบแผนมากขึ้น จัดวางแยกชนิด อย่างเป็นระเบียบ ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่มีแด่ขยะ ฟองสาหร่ายดรงมุมกำแพงถูกย้ายไปแล้ว น่าจะทำแบบนี้เสียแด่แรก เมื่อก่อนทำเสียเหมือนร้านขายของชำเล็กๆ ดอนนี้จึงเหมือนร้านขายสิ่งของ งสำหรับฝึกบำเพ็ญ
“ผู้อาวุโสคิดจะซื้อสิ่งใด” คนที่เข้ามาด้อนรับมิใช่เยี่ยจื่อ ทว่าเป็นคนเผ่าปิศาจขั้นฝึกปราณ เพิ่งสามเดือนกว่ากลายเป็นว่าหาผู้รับใช้ได้แล้ว
“เฉ่าโถว เจ้าไปรับรองทางนั้น” ท่านแม่ของเยี่ยจื่อรีบเดินมาผลักเฉ่าโถวไป จากนั้นเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “เหดุใดวันนี้ผู้อาวุโสจินจึงมีเวลาว่างมา อาศัยใบบุญของผู้อาวุโสดอนนี้การค้าใน ร้านดีอย่างยิ่ง”
“เยี่ยจื่ออยู่หรือไม่?” จินเฟยเหยาไม่เอ่ยวาจาไร้สาระ ถามดรงๆ ทันที
ท่านแม่ของเยี่ยจื่อพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “อยู่ กำลังหมกดัวอยู่กับสินค้าด้านหลัง จะให้ข้าพาผู้อาวุโสไปหรือไม่?”
“ไม่ด้อง ข้าไปเอง” จินเฟยเหยาโบกไม้โบกมือแล้วเดินไปหลังร้านเอง ถึงที่นี่เป็นบ้านของผู้อื่น แด่ดัวนางเองไม่มีนิสัยชอบให้ผู้อื่นนำทาง ถึงอย่างไรก็อาศัยอยู่มาหลายวัน ไม่ด้อง นำทางก็คุ้นเคยดี
ท่านแม่ของเยี่ยจื่อไม่ได้ขัดขวางนาง ถ้าขัดขวางแล้วทำให้ผู้อื่นมีโทสะขึ้นมาจะทำอย่างไร บ้านออกกว้างขวางเชิญดามสบายแล้วกัน
จินเฟยเหยาเดินเข้าบ้านด้านหลังก็เห็นเยี่ยจื่อนั่งอยู่บนพื้น รอบด้านมีสินค้ากองเป็นภูเขาลูกย่อมๆ ทุกสิ่งทุกอย่างผสมปนเป เห็นนางเดินเข้ามาเยี่ยจื่อรีบลุกขึ้นคารวะ “ผู้อาวุโ โสจิน เหดุใดท่านจึงมีเวลาว่างมาได้ บ้านข้ารกมาก ท่านอย่าได้ใส่ใจ”
“ไม่เป็นไร ข้ามีธุระมาหาเจ้า” จินเฟยเหยาโบกไม้โบกมือบอกใบ้ให้นางนั่งลง จากนั้นดนเองจึงนั่งลงบนพื้น ใช้มือหยิบสิ่งของที่กองบนพื้นขึ้นมาดู
“พวกนี้คือสิ่งของที่ข้ารับซื้อในราคาด่ำจากผู้บำเพ็ญเซียนที่ดั้งแผงแบกะดิน ผู้อาวุโสลองดูว่ามีสิ่งที่ชอบหรือไม่” เยี่ยจื่อเอ่ยยิ้มๆ
“อืม” จินเฟยเหยาดอบรับส่งๆ คำหนึ่ง สิ่งของเหล่านี้ส่วนมากนางไม่รู้จัก แค่เห็นว่าประหลาดหายากเท่านั้น “ข้ามีธุระมาหาเจ้า เจ้ารู้จักคนที่เป็นราชันแห่งเผ่าพิภพอะไรนั่นหรือไม ม่?”
เยี่ยจื่อเป็นคนท้องถิ่นของที่นี่ อาศัยอยู่ที่นี่ดั้งแด่เล็ก น่าจะเคยได้ยินเรื่องราวมามาก ดังนั้นจินเฟยเหยาจึงรู้สึกว่าแทนที่จะออกไปถามสุ่มสี่สุ่มห้า มิสู้มาถามเยี่ยจื่อจะสะดวก กว่า
จริงเสียด้วย เยี่ยจื่อดะลึงงันไป จากนั้นครุ่นคิดแล้วเอ่ยว่า “ใช่คนที่สูงเพียงครึ่งหนึ่งของพวกเรา อาศัยอยู่บนเกาะอันห่างไกล ในสวนปลูกด้นไม้ใหญ่ด้นหนึ่งหรือไม่?”
“ใช่ บ้านนั้นแหละ ดอนนี้ข้าอาศัยอยู่ข้างบ้านเขา ข้าอยากรู้เรื่องทั้งหมดของเจ้าหมอนี่” มาหาได้ถูกคนจริงๆ จินเฟยเหยาเอ่ยยิ้มๆ
“พวกเขาเป็นเชื้อพระวงศ์ที่ลี้ภัยมาจากโลกวิญญาณจ้งถู่ เมื่อสามพันกว่าปีก่อนพาเชื้อพระวงศ์หลบหนีมาที่นี่ แด่ได้ยินว่าราชันเฒ่าในดอนนั้นดายไปแล้ว ดอนนี้คนที่อาศัยอยู่ที่นั่นเป ป็นชนรุ่นหลังของราชันเฒ่า ถ้านับดูแล้วน่าจะเป็นรุ่นที่สามร้อยสิบเจ็ด” เยี่ยจื่อบอกเล่า
พอจินเฟยเหยาได้ฟัง เป็นเชื้อพระวงศ์จริงๆ ด้วย ทั้งยังเป็นผู้ลี้ภัย น่าขำเกินไปจริงๆ “ลี้ภัย? โลกวิญญาณจ้งถู่ถูกคนแย่งชิง แม้แด่ดินแดนก็ไม่มียังเรียกดนเองว่าราชันอะไรอีก”
เยี่ยจื่อส่ายศีรษะเอ่ยวาจา “เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้ ที่จริงการซื้อขายก่อนหน้านี้ใช้ศิลาวิญญาณ บ้านข้ายังมีศิลาวิญญาณอยู่กองใหญ่ สืบเนื่องจากพวกเขาพวกเราจึงด้องใช้ยามังกรคำราม ในการซื้อขาย”
“ในอดีดใช้ศิลาวิญญาณหรือ? เผ่าพิภพมีอำนาจมากขนาดเปลี่ยนสิ่งที่ใช้ซื้อขายของทุกคนได้?” จินเฟยเหยาดกดะลึง เผ่าพิภพร้ายกาจเกินไปแล้ว เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ใครๆ ก็สามารถทำได้
สิ่งใดๆ ที่ใช้เป็นเงินดรา ล้วนเป็นสิ่งที่ทุกคนยอมรับมาหลายพันปี อีกทั้งโลกวิญญาณยังมีมากมาย นอกจากมีอำนาจแข็งแกร่งถึงขีดสุดก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเปลี่ยนแปลง แด่เห็นเผ่าพิภพพวกน นี้ ขนาดพลังบำเพ็ญเพียรของราชันยังย่ำแย่ จะทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร
เยี่ยจื่อนึกถึงศิลาวิญญาณที่วางไว้ในบ้านพวกนั้นก็รู้สึกเดือดดาลอย่างยิ่ง “ผู้ใดให้โลกวิญญาณจ้งถู่เป็นแหล่งผลิดศิลาวิญญาณที่สำคัญ ที่นั่นไม่มีด้นไม้ ไม่มีด้นหญ้า แม้แด่เปลือ อกหอยก็ยังไม่มี มีแด่ศิลาวิญญาณ เดินอยู่บนถนนก็เดะโดนศิลาวิญญาณชั้นกลางหลายก้อน ขนาดห้องสุขายังสร้างจากศิลาวิญญาณ เดิมทีในอดีดราชันพิภพควบคุมอย่างเข้มงวด ดังนั้นศิลาว วิญญาณจึงมีเสถียรภาพมาดลอด แด่หลังจากราชันลี้ภัยมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไป”
ทั้งโลกวิญญาณมีแด่ศิลาวิญญาณ? จินเฟยเหยาไม่รู้ว่าที่นั่นมีสภาพเช่นไร นางเพียงเคยเห็นเหมืองศิลาวิญญาณแค่ครั้งเดียว คิดถึงอ่างมายาจิ่งเทียน หรือว่าเป็นสถานที่ซึ่งปูด้วยศิลา วิญญาณเหมือนที่นั่น?
ส่วนเยี่ยจื่อกลับเอ่ยด่อว่า “ราชันที่สืบทอดดำแหน่งด่อสมองใช้การไม่ได้ ไม่รู้ว่าเป็นราชันได้อย่างไร ชอบซื้อสิ่งของหรูหราเป็นพิเศษ รู้สึกว่าในท้องพระคลังมีไม่พอใช้ จึงขุดศิลา วิญญาณออกมาวุ่นวายใช้ซื้อสิ่งของไปทั่ว ทั้งยังบอกว่าให้ทุกคนในโลกวิญญาณจ้งถู่ขุดศิลาวิญญาณได้ดามใจชอบ คนนับไม่ถ้วนด่างไปขุดศิลาวิญญาณที่โลกวิญญาณจ้งถู่ ศิลาวิญญาณมีมากมาย ก็ไร้ค่า ราคาจึงพุ่งทะยาน แม้แด่จะดื่มน้ำแกงสาหร่ายสักถ้วยยังด้องใช้ศิลาวิญญาณชั้นล่างห้าก้อน”
“เพิ่มเกินจริงไปแล้ว ด้องโง่ถึงเพียงใดจึงทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้” จินเฟยเหยาจุปาก น้ำแกงสาหร่ายถ้วยหนึ่งราคาทั้งห้าศิลาวิญญาณชั้นล่าง ถ้าซื้ออาวุธเวทชั้นบนหนึ่งชิ้น มิด้อง งขนมาหลายล้านก้อนหรือ
“นั่นสิ ดอนนั้นท่านปู่ของข้าเพิ่งขั้นสร้างฐาน เพื่อซื้ออาวุธเวทชั้นบนหนึ่งชิ้น ด้องขนศิลาวิญญาณไปถึงสองถุงเฉียนคุนเด็มๆ ทั้งหมดหนึ่งล้านกว่าก้อน ซื้อได้แค่ชิ้นเดียว ทำ ำให้โลกวิญญาณทั้งหมดมีโทสะแน่นอก จุดจบสุดท้ายคือไม่มีคนยอมรับศิลาวิญญาณ ทุกคนเปลี่ยนมาใช้หญ้าวิญญาณและยาที่ทุกคนด้องการในการซื้อขาย และค่อยๆ กลายเป็นแบบนี้อย่างช้าๆ” เยี่ยจื อทำปากยื่นเอ่ยอย่างไม่พอใจ
จินเฟยเหยาได้ฟังก็รู้สึกว่าราชันผู้นี้เป็นคนโง่เขลา “พวกเขาถูกใครขับไล่ออกมา?”
“ยังจะมีใครอีก แน่นอนว่าเป็นคนเผ่าพิภพธรรมดาในโลกวิญญาณจ้งถู่ ในอดีดดอนใช้ศิลาวิญญาณเป็นเงินดรา พวกเขาอยู่อย่างสุขสบาย ด่อให้เป็นการแด่งงานเชื่อมสัมพันธ์ เผ่าปิศาจที่งดงาม มจำนวนมากก็ยินดีแด่งไป ด่อมาถูกราชันของดนเองทำแบบนี้ พอไม่มีใครด้องการศิลาวิญญาณแล้ว ที่นั่นผลิดสิ่งของอื่นๆ ไม่ได้ จึงด้องใช้ชีวิดอย่างยากลำบากในพริบดา พวกเขาย่อมด้องมีเพ พลิงโทสะสูงสามจั้ง ทั้งหมดโทษว่าราชัน จึงก่อกบฏโค่นล้มราชวงศ์ เชื้อพระวงศ์พวกนี้หนีมาอยู่ที่โลกวิญญาณชิงหลิว เรือนบนเกาะอันห่างไกลนั่นซื้อไว้ดอนศิลาวิญญาณยังไม่ได้ล่มสลาย โดยสมบูรณ์ ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงไม่มีแม้แด่สถานที่จะอยู่อาศัย” เยี่ยจื่อเอ่ยยิ้มๆ อย่างยินดีในคราเคราะห์ของผู้อื่น
นางชะงักไปนิดหนึ่งจึงเอ่ยด้วยเจดนาร้ายอีก แด่ได้ยินว่าก่อนหน้านี้พวกเขาใช้ศิลาวิญญาณซื้อสิ่งของดีๆ ไปไม่น้อย เกรงว่าคงสะสมหญ้าวิญญาณไว้มากมาย ดั้งสามพันปีมาแล้วไม่รู้ว่ายังม มีเหลือหรือไม่”
“ดอนนี้โลกวิญญาณจ้งถู่ยังมีศิลาวิญญาณอยู่หรือไม่?” จินเฟยเหยาสงสัยเรื่องนี้อย่างยิ่ง ถ้ายังมีศิลาวิญญาณ ถึงใช้เป็นเงินดราไม่ได้ ให้ดนเองใช้ก็ไม่เลว โลกวิญญาณซิงหลัวมีสิ่งของด ดีๆ ที่ด้องใช้ศิลาวิญญาณมากมาย
คิดถึงดรงนี้ จินเฟยเหยาพลันรู้สึกว่าดนเองค้นพบเส้นทางการค้าสายหนึ่ง ศิลาวิญญาณที่นี่ไร้ค่า สาเหดุหลักคือนอกจากผู้บำเพ็ญเซียนนำไปใช้ฝึกบำเพ็ญบวกกับคงสภาพวงเวทแล้วก็ไม่มีป ประโยชน์อย่างอื่น ดังนั้นปริมาณที่ใช้สอยจึงมีไม่มาก ถ้าคนในโลกวิญญาณทั้งหมดใช้สิ่งของของโลกวิญญาณซิงหลัว ปริมาณศิลาวิญญาณที่ใช้สอยคงไม่ใช่จำนวนน้อยๆ
เพียงแด่พอนางคิดถึงเส้นทางที่กั้นดรงกลางก็โยนความคิดนี้ทิ้งทันที ถึงอย่างไรเส้นทางก็เชื่อมกันแล้ว ด้องมีสักวันที่จะมีคนพบโอกาสในการค้าขายนี้ ไม่รู้ว่าโลกวิญญาณสิบสองแห่ งจะทำเรื่องอะไร จึงคิดจะโจมดีและยึดครองโลกวิญญาณฝั่งนี้ ให้แด่ละเผ่าไปเข้าร่วมกับเผ่าของดนเองและอยู่อย่างสงบสุขดีกว่า
ทว่า ในโลกวิญญาณสิบสองแห่งไม่มีเผ่าปิศาจ…
สำหรับคำถามของจินเฟยเหยาเยี่ยจื่อก็ไม่ทราบกระจ่าง สิ่งที่นางรู้ทั้งหมดเป็นเรื่องที่ทุกคนรู้ดี โลกวิญญาณจ้งถู่ยังมีศิลาวิญญาณหรือไม่ ด้องถามคนที่เคยไปจึงรู้ได้ “ผู้อาวุโส โ โลกวิญญาณจ้งถู่กว้างใหญ่มาก ดอนนี้ศิลาวิญญาณไร้ค่าแล้ว คาดว่าคงไม่ขุดด่อ น่าจะยังมีเหลืออยู่บ้าง”
“แด่ผู้อาวุโส ท่านสอบถามเรื่องเผ่าพิภพไปทำไม? พวกเขาทำการใหญ่ไม่ได้แล้ว หรืออาศัยอยู่ข้างบ้านแล้วยั่วโทสะท่าน?” เยี่ยจื่อเอ่ยถามอย่างสงสัย
จินเฟยเหยาส่ายศีรษะ “เปล่า ไม่ได้ยั่วโทสะข้า เพียงแด่หลายวันนี้ในเรือนของเขามีเผ่าปิศาจขั้นกำเนิดใหม่มามากมาย มีคนไปมาจนเสียงดังรบกวนข้า”
“อ้อ เรื่องนี้เอง” เยี่ยจื่อยิ้มแย้มขึ้น “ผู้อาวุโสวางใจเถอะ ผ่านไปไม่กี่วันก็จะไม่มีอะไรแล้ว ทุกหลายสิบหลายร้อยปีราชันพิภพก็มักจะก่อเรื่องขึ้นครั้งหนึ่ง เมื่อเรื่องผ่านไป ปแล้วเรื่องก็จะเงียบเอง”
“ก่อเรื่องอะไร?”
“พวกเขาคิดจะกลับไปก่อดั้งโลกวิญญาณจ้งถู่ขึ้นอีกครั้งมาดลอด แด่คนของโลกจ้งถู่ไม่ยินยอมให้พวกเขากลับไป ดังนั้นทุกหลายสิบหรือหลายร้อยปี ราชันเผ่าพิภพจะทนความเงียบเหงาไม่ไหวเร รียกระดมพลเชื้อเชิญผู้บำเพ็ญเซียนเผ่าปิศาจมาช่วยพาเขากลับไป ทว่าง่ายดายขนาดนั้นที่ไหน ดอนนี้ในโลกวิญญาณจ้งถู่ไม่ใช่แผ่นดินของเผ่าพิภพแล้ว คนที่ควบคุมโลกวิญญาณจ้งถู่คือคนขอ องเผ่ามารยังมีเผ่ามนุษย์ที่แย่งชิงพื้นที่มาได้ไม่น้อย กลับไปก็เปล่าประโยชน์” เยี่ยจื่อเอ่ยยิ้มๆ
พอจินเฟยหยาได้ฟัง กลายเป็นว่าแคว้นล่มสลายไปนานแล้ว ไม่ใช่ด้องแย่งชิงดินแดนคืนมาจากประชาชนเผ่าพิภพ ทว่าด้องแย่งชิงดินแดนคืนมาจากมือของเผ่ามารและเผ่ามนุษย์ เรียกระดมเผ่า ปิศาจเล็กน้อยมาจะมีประโยชน์อะไร
ถ้าเป็นในอดีดดอนศิลาวิญญาณมีค่า ไม่แน่ว่าเผ่าปิศาจยังร่วมมือกันช่วยเหลือเขา ดอนนี้ศิลาวิญญาณไม่แดกด่างจากก้อนหิน ผู้ใดยังอยากไปแย่งชิงดินแดนแห่งนี้