คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1052 เจ้าแน่ใจหรือว่าบรรพบุรุษมิได้ก่อบาปกรรมใหญ่หลวง
- Home
- คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนที่ 1052 เจ้าแน่ใจหรือว่าบรรพบุรุษมิได้ก่อบาปกรรมใหญ่หลวง
ตอนที่ 1052 เจ้าแน่ใจหรือว่าบรรพบุรุษมิได้ก่อบาปกรรมใหญ่หลวง
ฉินหลิวซีกวาดสายตาผ่านจดหมายแนะนำของตู้เหมี่ยนอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเงยหน้ามองชายที่นั่งอยู่ตรงข้าม ใบหน้าซูบซีดแฝงความทุกข์ตรม
“ลี่เสวียฟู่หรือ”
ลี่เสวียฟู่ลุกขึ้นยืนอย่างระมัดระวัง ยิ้มค้อมมือด้วยท่าทีสุภาพ “เป็นข้าน้อยเองขอรับ”
“เจ้าตามมาที่นี่ได้อย่างไร”
ลี่เสวียฟู่เอ่ยบอก “ข้าน้อยส่งคนไปสืบเสาะเป็นเวลานาน จนรู้ว่าท่านอยู่ที่นี่ อีกทั้งพอดีว่าหอประมูลจิ่วเสียนจะมีงานประมูลในวันขึ้นปีใหม่ จึงตั้งใจมาลองเสี่ยงดู หารู้ไม่ว่าโชคชะตาเมตตาให้ข้าน้อยได้พบกับท่านจริงๆ”
ปิดทองบนใบหน้าตนเองได้ดีเสียจริง
ฉินหลิวซีเหลือบมองจดหมายอีกครั้ง ตู้เหมี่ยนได้เอ่ยถึงตัวตนของลี่เสวียฟู่ไว้อย่างชัดเจน ชายผู้นี้เป็นพ่อค้าชาชื่อดังแห่งต้าเฟิง ตระกูลลี่มีชาชั้นยอดชื่อว่า ‘หยกหมอก’ ซึ่งเป็นเครื่องบรรณาการ ว่ากันว่า ต้นชาหยกหมอกมีอยู่เพียงสามต้นเท่านั้น และชาเหล่านี้จะถูกเก็บเกี่ยวในวันพิเศษก่อนหน้าฤดูฝน โดยผ่านการคั่วอบหลายครั้งกว่าจะได้ใบชาชั้นเลิศ ในแต่ละปีเก็บเกี่ยวได้เพียงสองจินเท่านั้น ชื่อ‘หยกหมอก’ มาจากกลิ่นหอมละมุนราวกับหมอกดั่งชื่อของมัน ดื่มแล้วจิตใจสงบปลอดโปร่ง สุขภาพดีขึ้น
ความจริงแล้วต้นชาหยกหมอกไม่ได้มีเพียงแค่สามต้น แต่เฉพาะสามต้นนี้เป็นต้นชาที่ดีที่สุด แม้จะดูเหมือนต้นชาทั่วไป แต่เมื่อคั่วใบชาออกมาแล้ว กลิ่นและรสชาติกลับเหนือชั้นกว่าต้นชาอื่นๆ หลายเท่า
เล่ากันว่าต้นชาเหล่านี้ถูกปลูกและดูแลโดยลี่เวิงบรรพบุรุษผู้อาวุโสของตระกูลลี่ จนถึงวันนี้ต้นชาเหล่านี้มีอายุกว่าห้าสิบปีแล้ว
ทว่าไม่กี่ปีมานี้ต้นชากลับให้ผลผลิตน้อยลงเรื่อยๆ จากที่เคยได้สองจิน กลายเป็นหนึ่งจิน และเมื่อปีที่แล้ว กลับได้ชาใหม่เพียงสามเหลี่ยงเท่านั้น เรียกได้ว่ามีค่ากว่าทองคำเสียอีก
ปีนี้ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ เนื่องด้วยสภาพอากาศหนาวจัด ตระกูลลี่จึงได้สร้างโรงเรือนอุ่นเพื่อปกป้องต้นชาไม่ให้แข็งตาย แต่ก็เกิดเหตุผิดพลาด ต้นชาหยกหมอกสามต้นนี้กลับเหี่ยวเฉาลง
หยกหมอกเป็นเครื่องบรรณาการ หากต้นชาเหี่ยวเฉาไปแล้ว ชาใหม่ในปีนี้ย่อมต้องสูญเปล่า ปีนี้อาจผลักดันความผิดให้เป็นเหตุจากภัยธรรมชาติอย่างหิมะตกหนักได้ แต่ปีต่อไปเล่า
หากสูญเสียชาบรรณาการนี้ ตำแหน่งพ่อค้าชาหมายเลขหนึ่งก็ต้องตกเป็นของคนอื่น
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้ลี่เสวียฟู่กังวลมากกว่าก็คือกิจการภายในบ้านที่เริ่มซบเซาลงเรื่อยๆ แม้แต่สมาชิกในครอบครัวก็พบเจอแต่ความโชคร้าย บ้างก็เจ็บป่วย บ้างก็เสียชีวิต บ้างก็พิการ ตระกูลลี่ดูเหมือนถูกคำสาปร้าย มีเค้าลางของการล่มสลายปรากฏให้เห็น
ลี่เสวียฟู่ในฐานะหัวหน้าตระกูลได้ไปไหว้พระขอพรหลายที่และพยายามหาทางช่วยเหลือ เขาสนิทสนมกับตู้เหมี่ยน และเมื่อรู้ว่าตู้เหมี่ยนเคยรอดตายด้วยความช่วยเหลือจากฉินหลิวซี จึงนำเรื่องภายในครอบครัวของตนมาเล่าให้ฟัง เพื่อขอให้ตู้เหมี่ยนช่วยแนะนำว่าฉินหลิวซีจะช่วยอะไรได้บ้าง
ฉินหลิวซีอ่านจดหมายที่บอกว่าหลังจากตระกูลลี่มั่งคั่งร่ำรวย พวกเขาได้สร้างสะพานและถนน และบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยหลายครั้ง เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายว่าเป็นตระกูลที่ทำความดีและมีคุณธรรมสั่งสมมามากมาย หากฉินหลิวซีไม่รังเกียจ ขอความกรุณาช่วยเหลือสักเล็กน้อย
ตระกูลที่สั่งสมความดี
ฉินหลิวซีมองไปยังลี่เสวียฟู่ ดวงตาแฝงความหมายลึกซึ้ง เอ่ย “ต้นชาที่ตายก็เป็นไปตามธรรมชาติ ข้าเองไม่มีวิชาชุบชีวิต ควรหาพวกคนเฒ่าคนแก่ที่มีประสบการณ์ด้านการปลูกชามาช่วยไม่ดีกว่าหรือ อย่างไรอากาศหนาว ต้นชาอาจถูกความเย็นกัดจนรากเสียหายก็เป็นได้”
เมื่อได้ยินดังนั้น ลี่เสวียฟู่ก็ชะงักไปทันที ความหมายของวาจานี้คือการปฏิเสธที่จะช่วยเหลืออย่างนั้นหรือ
“เอ่อ เราได้สร้างโรงเรือนอุ่นป้องกันความหนาวไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ความเสียหายจากความหนาวเย็นจึงไม่น่าจะเป็นไปได้”
“แล้วถ้ารากมันเน่าเล่า พวกเจ้าได้ขุดขึ้นมาดูบ้างแล้วหรือ” ฉินหลิวซีเอ่ยถาม
ลี่เสวียฟู่ชะงักไปอีกครั้งก่อนส่ายศีรษะ
“ไยถึงไม่ขุดขึ้นมาดูเล่า” ฉินหลิวซีเอ่ย “ต้นชาเหี่ยวเฉาลง หากต้องการหาสาเหตุ ก็ไม่พ้นจากการตรวจสอบที่รากว่ามีแมลงหรือรากเน่าหรือไม่ ซึ่งถือเป็นความรู้พื้นฐานในการปลูกพืช เช่นเดียวกับการปลูกต้นชา”
ลี่เสวียฟู่เงียบไป นี่เป็นความจริง แต่ต้นชาเหล่านั้น บรรพบุรุษของเขาได้กำหนดกฎเอาไว้ว่าห้ามแตะต้อง
เขารู้สึกขมขื่นในลำคอ ไม่สามารถเอ่ยคำใดออกมาได้
“ท่านเจ้าอาวาส ต้นชาเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย สิ่งที่ทำให้ตระกูลลี่ของเราพบกับความยากลำบากคือเรื่องโชคลาภในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา พวกเราโชคไม่ดีนัก ข้ามีบุตรชายเพียงคนเดียว บัดนี้ก็นอนป่วยอยู่บนเตียง” ลี่เสวียฟู่เอ่ยด้วยความขมขื่นในใจ “ข้าจึงต้องมาขอความกรุณาจากท่านเจ้าอาวาสข้าไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว หวังว่าท่านจะเห็นแก่ท่านตู้ ช่วยเหลือสักครั้ง”
เมื่อเอ่ยจบ เขาก็คุกเข่าลงต่อหน้าฉินหลิวซี พร้อมเอ่ย “หากท่านเจ้าอาวาสต้องการสิ่งใด ข้ายินดีทำทุกอย่างให้สำเร็จตามที่ท่านต้องการ”
ใบหน้าของลี่เสวียฟู่เปลี่ยนสีทันที ริมฝีปากขยับเล็กน้อยแต่ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใด
ความจริงในวงการพ่อค้า มิใช่โลกของคนดีนัก ผู้คนที่อยู่ในนั้นต่างต้องดิ้นรนเอาตัวรอด ก้อนขนมมีเพียงก้อนเดียว แต่คนที่อยากแบ่งมีมาก หากต้องการส่วนแบ่งมากขึ้นก็ต้องใช้วิธีการที่ไม่ธรรมดา บ้างก็ทำลายชีวิต บ้างก็ค่อยๆ กัดกินคู่แข่ง
พ่อค้าทุกคน ใครบ้างที่จะไม่มีชีวิตคนติดอยู่ในมือ แม้ไม่ได้ลงมือเองแต่ก็เคยสั่งให้ทำ นั่นก็นับได้ว่ามีส่วนแล้ว
ลี่เสวียฟู่ในฐานะพ่อค้าชาอันดับหนึ่งแห่งต้าเฟิง ย่อมมีชีวิตคนติดอยู่ในมือเป็นแน่
หากเป็นคนอื่นถามคำถามนี้ เขาคงตอบตกลงไปแล้ว เขายอมทำทุกอย่างเพื่อครอบครัว ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีใด แม้แต่การฆ่าคน หากจำเป็นเขาก็กล้าทำ
แต่คนที่อยู่ตรงหน้าคือฉินหลิวซี เจ้าอาวาสแห่งอารามเต๋า ซึ่งตามที่ตู้เหมี่ยนเล่าให้ฟังนั้น นางมีความยุติธรรมและเคร่งครัดเรื่องกรรมและผลบุญ หากเขาตอบตกลงตามที่นางเอ่ย นางจะมองเขาอย่างไร
ลี่เสวียฟู่รู้สึกเหมือนโดนบังคับขึ้นเก้าอี้สูง อยู่ในสภาพที่ทำอะไรไม่ถูก
แต่ฉินหลิวซีกลับมองเขาด้วยรอยยิ้มที่น่าขนลุก แม้เขาจะเคยผ่านประสบการณ์ที่เลวร้ายมากมาย แต่ก็ยังอดหวาดหวั่นไม่ได้ เหงื่อเย็นๆ ไหลชื้นทั่วตัว
เหงื่อเม็ดเล็กเริ่มซึมออกมาบนหน้าผากของลี่เสวียฟู่ เขาไม่กล้ามองตรงไปยังนาง เขารอบันไดทางลงจากฉินหลิวซีอยู่นานแต่ก็ไม่ได้รับวาจาใดๆ จึงถามอย่างลังเล “ท่านเจ้าอาวาสกำลังทดสอบข้าหรือ”
“มิกล้า ข้าเพียงแต่เห็นตู้เหมี่ยนเขียนไว้ในจดหมายว่าตระกูลลี่ของเจ้าเป็นตระกูลที่สั่งสมความดี ข้าเพียงสงสัยว่าผู้ใจบุญลี่ผู้นี้คือคนดีจริง หรือเป็นเพียงแค่คนดีจอมปลอมเท่านั้น” ฉินหลิวซีถามพร้อมรอยยิ้มบางเบา
ลี่เสวียฟู่ได้ยินแล้วโกรธขึ้นมาพลันลุกขึ้นยืน ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธที่เขาพยายามระงับไว้ เอ่ย “หากท่านเจ้าอาวาสไม่เต็มใจช่วยจริงๆ ก็ถือว่าข้าไร้วาสนาเถิด แต่ตระกูลลี่ของข้า ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษได้สร้างสะพานซ่อมถนน แจกจ่ายยาและอาหาร เมื่อมีภัยพิบัติพวกเราก็ย่อมบริจาคเสมอ จึงได้ชื่อว่าเป็นตระกูลที่สั่งสมคุณธรรมจนกลายมาเป็นพ่อค้าชาอันดับหนึ่ง ข้าในฐานะหัวหน้าตระกูลลี่ ยังคงปฏิบัติตามคำสอนของบรรพบุรุษอย่างเคร่งครัด ไม่กล้าเบียดเบียนหรือกดขี่ผู้ใด พยายามทำความดีแก่ผู้อื่นเสมอ ไม่เคยอวดอ้างชื่อเสียงกระทำความชั่ว ท่านเจ้าอาวาสกลับมาเอ่ยเช่นนี้ เห็นทีจะเป็นการดูถูกตระกูลลี่ของข้าแล้ว”
เขายกมือประสานคำนับต่อหน้าฉินหลิวซีก่อนจะเอ่ย “การมาที่นี่ในครั้งนี้ ข้ารบกวนท่านโดยมิได้ตั้งใจ เป็นความผิดของข้า ขอลาแล้ว”
ฉินหลิวซีเคาะโต๊ะเบาๆ เอ่ย “ได้ เอาเป็นว่าเจ้าคือคนดีจริง แล้วบรรพบุรุษของเจ้าก็เป็นคนดีจริงหรือ เจ้าจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเหล่าบรรพบุรุษของเจ้ามิได้ก่อบาปกรรมใหญ่หลวง”
ลี่เสวียฟู่ตาเบิกกว้าง นี่หมายความว่าอย่างไร ดูถูกเขายังไม่พอ จะดูถูกบรรพบุรุษของเขาอีกหรือ
น่าขุ่นเคืองยิ่งนัก