จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来) - บทที่ 456 ความขัดแย้งระหว่างผู้คน
บทที่ 456 ความขัดแย้งระหว่างผู้คน
ตั้งแต่ไหนแต่ไร ตระกูลหลิวเป็นส่วนหนึ่งของความยิ่งใหญ่ในประเทศจีนมาตลอด
ที่แท้ก็เป็นเพราะว่ามีสำนักจอมยุทธ์คอยหนุนหลังอยู่นั่นเอง
ผู้มีพลังขั้นเซียนของตระกูลหลิวในโลกยุทธภพ เพิ่งจะฟื้นตื่นขึ้นมาจากการจำศีล ความยิ่งใหญ่ของตระกูลหลิวตลอดหลายพันปีที่ผ่านมา ทำให้ไม่มีใครสามารถประมาทฝีมือของชายวัยกลางคนผู้นี้ต่ำเกินไปเด็ดขาด
ฉู่ชวิ๋นมีดวงตาเป็นประกายเย็นชา
ในอดีต เนื่องจากถูกเจ้าสำนักสวรรค์ฟ้าเฉินหวูฮุยใส่ความ ฉู่ชวิ๋นจึงต้องถูกจับติดคุกอย่างน่าอนาถ พ่อแม่ต้องโดนจับตัว หลิวหรานผู้เป็นมารดาต้องตาบอดอยู่หลายปี เพียงแค่นี้ก็เป็นความแค้นที่ทำให้ฉู่ชวิ๋นอยากจะกำจัดคนของตระกูลหลิวให้หมดไปจากโลกนี้แล้ว
มิหนำซ้ำ ระหว่างการต่อสู้บนภูเขาเซวียนฉี ฮวาชิงหวู่ก็ได้รับบาดเจ็บจนต้องมีอันกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรานอนในโลงศพน้ำแข็งมาจนถึงปัจจุบัน นี่คือสิ่งที่คอยทิ่มแทงหัวใจของฉู่ชวิ๋นตลอดเวลา ไม่สามารถลบความเจ็บปวดของเขาได้กว่า 20 ปีแล้ว
สำหรับฉู่ชวิ๋น ทุกอย่างที่ตระกูลหลิวทำกับเขา เขาอยากจะเอาคืนให้มากขึ้นเป็นสิบเท่า
ขณะนี้ หลิวจิวหยวนกำลังแผ่รังสีอำมหิตอยู่เบื้องหน้า ดูเหมือนจะชัดเจนแล้วว่าคงมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลหลิวอยู่ไม่น้อย
เมื่อตระกูลหลิวในโลกมนุษย์ถูกกวาดล้างไปแล้ว งั้นเป้าหมายต่อไปของเขา ก็คือการกวาดล้างคนของตระกูลหลิวในโลกยุทธภพ!
“หลิวจิวหยวน เท่าที่ฉันรู้ ตระกูลหลิวในโลกมนุษย์ของนายถูกจำคุกเพราะใส่ความคนอื่น และยังจับพ่อแม่ของจอมมารฉู่ชวิ๋นไปคุมขังอย่างชั่วร้าย แม่ของจอมมารฉู่ชวิ๋นที่มีนามว่าหลิวหรานร้องไห้อย่างหนักจนตาบอด ซ้ำพวกแกยังทำให้คนรักของจอมมารฉู่ชวิ๋นต้องตายในภูเขาเซวียนฉี เมื่อมาคิดดูแล้ว ฉันว่ามันก็สมควรแล้วล่ะที่จอมมารฉู่ชวิ๋นจะทำลายตระกูลหลิวทิ้งไปซะ” ฉู่ชวิ๋นจ้องมองหลิวจิวหยวนเขม็งในขณะที่พูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“ไร้สาระ เรื่องนั้นไม่เป็นความจริง จอมมารฉู่ชวิ๋นแต่งเรื่องขึ้นมาเพื่อกลบเกลื่อนความชั่วร้ายของตัวเองต่างหาก” หลิวจิวหยวนพูด
ฉู่ชวิ๋นยิ้มอย่างใจเย็น แล้วตอบว่า “หลิวจิวหยวน ฉันเคยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจอมมารฉู่ชวิ๋นอยู่ไม่น้อย เมื่อเทียบกับแกแล้ว ฉันยอมเชื่อใจเขามากกว่า เสียดายที่ฉันไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงหรืออยู่ในภูเขาเซวียนฉีตอนเกิดเหตุ ไม่อย่างนั้น ฉันนี่แหละที่จะเป็นคนทำลายตระกูลหลิวทิ้งกับมือ”
“แก…” หลิวจิวหยวนโกรธจนหน้าเขียวคล้ำ
“หลิวจิวหยวน ไม่ต้องแสร้งทำตัวเป็นคนดี แกกับฉัน เราไม่มีทางเป็นมิตรกันได้เด็ดขาด” ฉู่ชวิ๋นจ้องมองหลิวจิวหยวนด้วยความเกลียดชัง แล้วพูดต่อ “ถ้าวันไหนจอมมารฉู่ชวิ๋นไปเล่นงานตระกูลหลิวของแกอีกละก็ ฉันจะรีบไปช่วยเขาทันที”
“คิดจะกวาดล้างตระกูลหลิวอย่างนั้นหรือ?” หลิวจิวหยวนหัวเราะด้วยความเหยียดหยาม “อย่าว่าแต่จอมมารฉู่ชวิ๋นเลย ต่อให้มีแกร่วมมือด้วย แม้แต่ประตูบ้านตระกูลหลิวของพวกเรา แกก็ไม่มีวันผ่านเข้ามาได้”
“งั้นลองดูหน่อยไหมล่ะ” ฉู่ชวิ๋นพูดน้ำเสียงราบเรียบ
“แก…” หลิวจิวหยวนกัดฟันกรอดด้วยความเกรี้ยวกราด
เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนทำท่าฮึดฮัดเข้าใส่กันอีกครั้ง พวกเกาโม่หานก็ต้องทำหน้าที่ห้ามศึกอีกหน
ชายวัยกลางคนทั้งสามรู้สึกเบื่อหน่ายอย่างยิ่ง ตอนนี้พวกมันกลายเป็นผู้สร้างสันติภาพไปแล้ว
แต่อย่างไรก็ตาม ชายวัยกลางคนทั้งสามคนก็มั่นใจจากคำพูดของหลุนหุยว่า ชายหนุ่มคนนี้ไม่ใช่จอมมารฉู่ชวิ๋นอย่างแน่นอน
หลิวจิวหยวนมองหน้าฉู่ชวิ๋นด้วยแววตาอำมหิตอยู่ตลอดเวลา
ฉู่ชวิ๋นไม่ได้ชอบหน้าหลิวจิวหยวนมาตั้งแต่แรก เมื่อได้รู้ว่าอีกฝ่ายมาจากตระกูลหลิวด้วยแล้ว เขายิ่งเพิ่มความเกลียดชังขึ้นอีกหลายเท่า
“ซากโบราณสถานอยู่ตรงหน้าพวกเราแล้ว พวกสัตว์ร้ายกลายพันธุ์กำลังจับตามองอยู่ เรามาหารือกันก่อนดีกว่า ว่าจะรับมือกับพวกมันยังไงดี” เกาโม่หานพยายามพูดเข้าเรื่องอีกครั้ง
แต่ในขณะที่เตียวซิงอี้กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง พลัน พื้นดินก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
“เกิดอะไรขึ้น?”
ฉู่ชวิ๋นทอดสายตามองไปบนยอดเขา ตอบด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “พวกสัตว์ร้ายกลายพันธุ์รวมตัวกันขึ้นไปบนยอดเขาแล้ว”
พูดจบ ร่างของเขาก็หายวับไปอย่างรวดเร็ว
บนยอดเขาอาจจะมีดอกซานเซิงอยู่ก็เป็นได้ ฉู่ชวิ๋นรู้สึกเคร่งเครียดขึ้นมา
พวกของเกาโม่หานตื่นตกใจไม่น้อย รีบพากันออกมาจากเต็นท์ที่พักเพื่อรับชมสถานการณ์
ฉู่ชวิ๋นเป็นคนแรกที่ขึ้นไปถึงยอดเขาฮั่นหยาง เป็นไปตามที่เขาคิด ผู้มีพลังขั้นเซียนของพวกสัตว์ร้ายกลายพันธุ์หกคน กำลังรวมตัวกันเพื่อสลายม่านพลังที่ป้องกันซากโบราณสถาน
นอกจากผู้มีพลังขั้นเซียนที่เขาเคยพบเห็นมาก่อนหน้านี้สามคน ผู้มีพลังขั้นเซียนของเผ่าพันธุ์มนุษย์คิงคองและเผ่าพันธุ์ผีดิบก็ปรากฏตัวออกมาเช่นกัน
ผู้มีพลังขั้นเซียนย่อมมีความรู้สึกฉับไว พวกมันพากันหันมามองทางฉู่ชวิ๋นในเวลาเดียวกัน
ฉู่ชวิ๋นเอามือไขว้หลัง เดินเข้าไปหาอย่างเชื่องช้า
“หยุดอยู่ตรงนั้น” หวงไห่ตะโกนออกมา
แต่ฉู่ชวิ๋นยังคงเดินต่อไป
พวกของหวงไห่มีสีหน้าเคร่งเครียด รู้ดีว่าฉู่ชวิ๋นมีฝีมือการต่อสู้เหนือธรรมดา และระดับพลังของเขาน่ากลัวไม่ใช่เล่น
“หลุนหุย ถ้าเข้ามาใกล้กว่านี้อีกนิด อย่าหาว่าพวกเราลงมือรุนแรงก็แล้วกัน” เฮยจงคำรามเหมือนเสียงฟ้าผ่า
ฉู่ชวิ๋นตอบกลับไปเสียงยานคางว่า “พื้นที่บนยอดเขาฮั่นหยางเป็นของพวกแกแค่ฝ่ายเดียวหรือไง?”
มนุษย์ผีดิบขั้นเซียนเค้นเสียงในลำคออย่างดูถูก มันเดินตรงเข้ามาหาฉู่ชวิ๋น ทำให้ผู้มีพลังขั้นเซียนคนอื่นๆ เดินตามมาพร้อมกัน
พวกมันหกคนยืนขวางหน้าชายหนุ่มเอาไว้ พลังกดดันแผ่ออกมาจำนวนมหาศาล กินพื้นที่หลายร้อยเมตร
วูบ…!
จังหวะนั้นเอง พวกเกาโม่หานก็มาถึงแล้ว พวกมันต่างเดินเข้าไปยืนเคียงข้างฉู่ชวิ๋นโดยทันที
พวกสัตว์ร้ายกลายพันธุ์ทั้งหกคนมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นกว่าเดิม ต่อให้ฉู่ชวิ๋นมีพลังฝีมือเหนือธรรมดา พวกมันก็ไม่สนใจ
แต่ถ้าเพิ่มจอมยุท์ธขั้นเซียนขึ้นมาอีกสี่คน ต่อให้จำนวนคนของฝ่ายสัตว์ร้ายกลายพันธุ์จะได้เปรียบ แต่ก็จะทำอะไรบุ่มบ่ามไม่ได้แล้ว
กลุ่มคนและสัตว์ร้ายกลายพันธุ์ที่อยู่บริเวณยอดเขาฮั่นหยางรีบล่าถอยออกไปทันที เนื่องจากแรงกดดันของผู้มีพลังขั้นเซียนเหล่านี้รุนแรงหนักหน่วง แม้แต่คนที่มีพลังขั้นจักรพรรดิระดับ 9 ก็ทนไม่ไหว
นี่คือการต่อสู้ระหว่างผู้มีพลังขั้นเซียน จอมยุทธ์ธรรมดาไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวเด็ดขาด
“พวกเราเป็นฝ่ายมาถึงก่อน พวกเจ้ารีบไสหัวกลับไปเดี๋ยวนี้” ค่งหลี่ฉุนพูด
“ยอดเขาฮั่นหยางไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่งสักหน่อย ถ้าอยากจะได้ของวิเศษ ก็แสดงความสามารถออกมา” เกาโม่หานหัวเราะเยาะตอบกลับไป
“แต่พวกเรามาถึงก่อน” มนุษย์ผีดิบคำราม
“มาถึงก่อนแล้วทำไม?” ฉู่ชวิ๋นพูดออกไปด้วยความเยือกเย็น “พวกแกสามารถทำลายม่านพลังได้หรือเปล่าล่ะ?”
“เจ้ามนุษย์ผู้ต่ำต้อย คงคิดอยากให้พวกเราทำลายม่านพลังให้สำเร็จ เพื่อจะได้ลงมือฉวยโอกาสสินะ” มนุษย์คิงคองพูดด้วยน้ำเสียงดุร้าย
ฉู่ชวิ๋นหัวเราะเยาะตอบกลับไปว่า “ในเมื่อมั่นใจกันเหลือเกิน งั้นพวกเราขอกลับก่อนก็แล้วกัน”
เกาโม่หานและคนอื่นๆ หันมามองหน้าฉู่ชวิ๋นด้วยความประหลาดใจ
“แกมีสิทธิ์ตัดสินใจแทนพวกเราตั้งแต่เมื่อไหร่?” หลิวจิวหยวนถาม
“ฉันแค่ตัดสินใจให้ตัวฉันเอง ใครอยากอยู่ต่อก็อยู่ไปเถอะ” ฉู่ชวิ๋นหัวเราะในลำคอ หันหลังกลับพูดทิ้งท้ายขณะเดินจากมาว่า “ฉันกล้าพูดได้เลยว่านอกจากฉันแล้ว ไม่มีใครสามารถสลายม่านพลังนี้ได้เด็ดขาด”
เสียงพูดยังไม่ทันขาดหาย ร่างกายของฉู่ชวิ๋นก็หายวับไปจากบริเวณนั้นทันที
เกาโม่หาน เตียวซิงอี้ และเกอจ้านหันมองหน้ากัน
“เดี๋ยวก่อน อย่าบอกนะว่าจะกลับกันหมด?” หลิวจิวหยวนอุทานออกมาด้วยความเหลือเชื่อ
“สหายน้อยหลุนหุยเพิ่งบอกว่า นอกจากเขาแล้ว ก็ไม่มีใครสลายม่านพลังได้เด็ดขาดอย่างนั้นหรือ?” เกอจ้านพูดกับตัวเอง
“เฮอะ ฉันว่ามันก็แค่โม้ไปเรื่อยเท่านั้นเอง” หลิวจิวหยวนพูดเย้ยหยัน
เกาโม่หานมีสีหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง พลันก็หันไปจ้องมองฝ่ายของสัตว์ร้ายกลายพันธุ์ เสร็จแล้วก็หันกลับมาพยักหน้ากับตัวเอง แล้วพูดว่า “สหายน้อยหลุนหุยกลับไปแล้ว พวกเราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกมัน เรามีทางเลือกเดียวคือต้องเชื่อใจเขาเท่านั้น”
“พี่เชื่อใจคนไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าแบบนั้นจริงๆ หรือ? ที่มันบอกว่าในโลกนี้ไม่มีใครสลายม่านพลังนี้ได้ พี่ก็เชื่อมันด้วยงั้นสิ?” ตอนแรกหลิวจิวหยวนพูดด้วยความไม่พอใจ แต่ทันใดนั้นเอง สีหน้าของมันก็เปลี่ยนไป
“หรือว่าจะเป็นเพราะเรื่องนั้น?”
“น้องหลิว เกิดเรื่องอะไรขึ้น? มีอะไรผิดปกติหรือไร?” เตียวซิงอี้ถามเมื่อเห็นสีหน้าผิดปกติของหลิวจิวหยวน
“ม่านพลังบนยอดเขานี้แข็งแกร่งมาก แม้แต่ผู้มีพลังขั้นเซียนหกคนของพวกสัตว์ร้ายกลายพันธุ์ก็ยังทำลายไม่ได้ แต่ถ้าไอ้หลุนหุยคนนี้สามารถทำได้ สิ่งที่ฉันสงสัยเอาไว้ก่อนหน้านี้ ก็อาจจะเป็นความจริง” หลิวจิวหยวนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงโหดเหี้ยม
“สงสัยเรื่องอะไร?”
เกาโม่หานและชายวัยกลางคนอีกสองคนยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นัก
“พวกพี่ต่างก็เคยได้ยินมาแล้วนี่นา ว่าจอมมารฉู่ชวิ๋นมันถนัดเรื่องการสลายม่านพลังและค่ายกลขนาดไหน” หลิวจิวหยวนพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“น้องหลิวยังสงสัยว่าสหายน้อยหลุนหุย เป็นจอมมารฉู่ชวิ๋นอยู่อีกหรือ?” เกาโม่หานถาม
หลิวจิวหยวนพยักหน้าตอบว่า “จอมมารฉู่ชวิ๋นมีความชำนาญเรื่องม่านพลังอย่างหาตัวจับยาก และไอ้หลุนหุยคนนี้ก็ดูมั่นอกมั่นใจเรื่องม่านพลังเหลือเกิน เมื่อลองคิดดูแล้ว มันมีหลายอย่างที่เหมือนจอมมารฉู่ชวิ๋นมากเกินไป ทุกคนไม่คิดแบบนั้นหรือ?”
พวกของเกาโม่หานขมวดคิ้วมุ่น
“ฉันว่าน้องหลิวคิดมากเกินไปแล้ว” เกาโม่หานพูด “ถึงโลกนี้จะมีคนที่สลายม่านพลังอยู่ได้ไม่กี่คนก็ตาม แต่จะเอาเหตุผลนี้ไปตัดสินว่าเขาเป็นจอมมารฉู่ชวิ๋นปลอมตัวมา ออกจะเป็นการด่วนสรุปเกินไปหน่อยกระมัง”
เตียวซิงอี้และเกอจ้านพยักหน้าเห็นด้วย
“แล้วถ้าเกิดมันเป็นจอมมารฉู่ชวิ๋นขึ้นมาจริงๆ ล่ะ จะทำยังไงกัน?” หลิวจิวหยวนยิ้มออกมาเล็กน้อย “ไอ้จอมมารนั่นมันบ้าเลือดขนาดไหนทุกคนก็รู้ดี มีข่าวลือว่าไม่ว่าใครเกี่ยวข้องกับมันก็ต้องตายหมดทุกคน ต่อให้มันสามารถสลายม่านพลังนี้ได้จริง ก็ไม่มีอะไรรับประกันเลยว่า มันจะไม่เห็นแก่ผลประโยชน์ และหันกลับมาไล่ฆ่าพวกเราได้หน้าตาเฉย”
“น้องหลิวพูดถูกต้อง ถ้าเกิดสหายน้อยหลุนหุยเป็นจอมมารปลอมตัวมาจริงๆ ด้วยพลังการต่อสู้และลักษณะนิสัยของเขาแล้ว ไม่มีอะไรจะรับประกันได้เลยว่าเขาจะไม่หันกลับมาฆ่าเราทีหลัง” เตียวซิงอี้เริ่มเอนเอียงเข้าข้างหลิวจิวหยวนบ้างแล้ว
เกาโม่หานนิ่งคิดอยู่หลายนาที ก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น
“ฉันเคยบอกหรือยังว่าพวกนายมองโลกในแง่ร้ายเกินไปแล้ว? เอาเป็นว่าถ้าเกิดสหายน้อยหลุนหุยเป็นจอมมารฉู่ชวิ๋นปลอมตัวมาจริงๆ? แล้วจะทำไมล่ะ? วิชาที่พวกเราเสียเวลาฝึกปรือมาหลายร้อยปี จะถึงกับใช้การไม่ได้เลยเชียวหรือ? พวกเราจะสู้เขาไม่ได้เลยหรือไง”
เกอจ้านชะงักไปเล็กน้อย สุดท้ายก็ต้องยิ้มแหยๆ ก่อนถอนหายใจ “พี่เกาพูดได้ถูกต้อง ดูเหมือนว่าเราจะเก็บตัวฝึกวิชานานเกินไป จนสูญเสียจิตวิญญาณของนักสู้กันหมดแล้ว ถ้าเกิดเขาเป็นจอมมารขึ้นมาจริงๆ แล้วจะทำไม? พวกเราเองก็มีฝีมือขั้นเซียน ยังมีอะไรให้ต้องเป็นกังวลอีก? นอกจากนี้ ฉันได้ข่าวมาว่าจอมมารฉู่ชวิ๋นจะโหดร้ายแค่กับศัตรูของเขาเท่านั้น เขาทำดีกับผู้ที่เป็นมิตรของตัวเองจะตายไป”
เตียวซิงอี้ลองคิดดูตอนนี้ก็รู้ตัวแล้วว่าหลงกลหลิวจิวหยวนเข้าอย่างจัง ในที่นี้ คนที่เคยมีปัญหากับจอมมารฉู่ชวิ๋นก็มีแต่เพียงหลิวจิวหยวนคนเดียวเท่านั้น มันเกือบจะถูกหลิวจิวหยวนจูงจมูกได้สำเร็จแล้วเชียว
“ไม่สำคัญหรอกว่าสหายน้อยหลุนหุยจะเป็นจอมมารปลอมตัวมาจริงหรือไม่ ต่อให้เขาปลอมตัวมาจริงๆ ก็ไม่เห็นมีอะไรที่เราต้องหวาดกลัวเลย” เตียวซิงอี้หันกลับไปมองหน้าหลิวจิวหยวน แล้วพูดว่า “ฉันจะกลับไปหารือกับสหายน้อยหลุนหุย นายยังจะอยู่ที่นี่ต่ออีกหรือไม่?”
“อยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์แล้ว ฉันขอกลับด้วยคนก็แล้วกัน” เกอจ้านว่า
เกาโม่หานมองหน้าหลิวจิวหยวนและพูดว่า “น้องหลิว กลับไปพร้อมกับพวกเราเถอะนะ”
หลิวจิวหยวนพ่นลมผ่านจมูกอย่างไม่พอใจ ไม่คิดเลยว่าตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ทั้งสามคนนี้จะไม่หลงกลอุบายของมัน
“พวกพี่ล่วงหน้าไปก่อนเถอะ ถ้าเกิดอะไรขึ้น เดี๋ยวฉันจะส่งสัญญาณไปบอก” หลิวจิวหยวนพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ถ้าอย่างนั้นพวกเรากลับก่อนนะ” เกาโม่หานพยักหน้าให้หลิวจิวหยวน แล้วหันหลังเดินกลับไปพร้อมกับเตียวซิงอี้และเกอจ้าน
พวกมันไม่ใช่ตัวโง่งม ไม่ว่าหลุนหุยจะเป็นจอมมารฉู่ชวิ๋นปลอมตัวมาหรือไม่ ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพวกมันด้วยเลย เนื่องจากคนที่เกี่ยวข้องด้วย มีแต่เพียงหลิวจิวหยวนผู้เดียวเท่านั้น
หลิวจิวหยวนมองชายชราทั้งสามคนเดินหายไปด้วยสายตาที่เย็นชามากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วหลังจากนั้น มันก็หันหน้าไปมองกลุ่มของสัตว์ร้ายกลายพันธุ์ขั้นเซียนด้วยแววตาเป็นประกายระยิบระยับ