ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 441: พระราชวังแห่งการสะท้อนเงา (3)
บทที่ 441: พระราชวังแห่งการสะท้อนเงา (3)
เงียบ
จุดสูงสุดของแท่นบูชาถูกปกคลุมด้วยความเงียบในฉับพลัน หลายจวิ่นเฉินจ้องมองฉินเย่อ้าปากค้าง และตัวสั่นเทา สามนาทีต่อมา เขาก็รีบพุ่งตัวไปที่ขอบของแท่นบูชา ทว่าก่อนที่เขาจะหนีไปได้สำเร็จ หอกยาวแหลมเล่มหนึ่งก็แทงเข้ามาที่ไหล่และยกร่างของเขากลับไปที่พระราชวังแห่งการสะท้อนเงาตามเดิม
“มาเถอะ นี่คือชะตากรรม… โจวซิ่ง ชายผู้ที่เจ้าเชิญให้ลงโอ่งในปีแห่งโชคชะตาเองก็คงจะโล่งอกเป็นอย่างมากที่ได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปเช่นนี้…”
“ไม่… ไม่นะ… ไม่!!!” หลายจวิ่นเฉินกรีดร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง “อย่าทำเช่นนี้! ข้ายังไม่อยากตาย!! ปล่อยข้า…ปล่อยข้า—…”
ฉินเย่จับหน้าของอีกฝ่ายให้หันเข้าหากระจกก่อนที่อีกฝ่ายจะเอ่ยปากอ้อนวอนขอความเมตตา
เขาพึมพำเบาๆ “น่าเสียดาย… แต่เจ้าไม่มีสิทธิ์ที่จะได้รับการไว้ชีวิต”
อ๊ากกกกกก!!!! เสียงร้องที่น่าสังเวชดังขึ้นจากด้านบนของแท่นบูชา ร่างของหลายจวิ่นเฉินกระตุกอย่างรุนแรง กลุ่มก้อนพลังหยินจำนวนมากถูกดึงออกจากร่างของเขาและซึมซับเข้าไปในกระจก ภายในเสี้ยววินาทีต่อมา ใบหน้าอันน่าสะพรึงกลัวของเขาก็ปรากฏขึ้นบนผิวหน้าของกระจกบานใหญ่!
อักขระโบราณปรากฏขึ้นที่อีกด้านหนึ่งของกระจก ตามมาติดๆด้วยหลายจวิ่นเฉินและสีหน้าหวาดกลัวของเขา เขามองไปรอบๆ พยายามเคาะที่อีกด้านหนึ่งของกระจกอย่างรุนแรง ราวกับพยายามตะโกนบอกอะไรบางอย่างที่สำคัญมาก แต่น่าเสียดายที่ไม่มีผู้ใดได้ยินเสียงร้องของเขาเลยแม้แต่น้อย
ณ บริเวณเมืองชั้นนอก เหล่าทหารม้าที่พยายามมุ่งหน้ากลับไปที่พระราชวังแห่งการสะท้อนเงาต่างก็ต้องดึงเชือกคุมบังเหียนของตนอย่างแรงและเงยหน้ามองขึ้นด้านบนด้วยความหวั่นสะพรึง
“ท่านหลาย…อย่างนั้นหรือ?” หนึ่งในแม่ทัพพึมพำออกมาด้วยเสียงแผ่วเบาทว่าแฝงไปด้วยความกลัว “ผู้บังคับบัญชาการกองกำลังของนครชฺวีฟู่ ด่านซานไห่…ท่านหลายน่ะหรือ?”
ไม่มีผู้ใดตอบ
แต่ถึงกระนั้น ทหารวิญญาณทุกนายที่กำลังมุ่งหน้ากลับเข้าเมืองชั้นในต่างหันไปมองหน้ากันอย่างไม่รู้ว่าต้องทำเช่นไรขณะที่ชะลอฝีเท้าของตนลง
ไม่มีผู้ใดเข้าใจภาพที่แปลกประหลาดนี้
เมื่อครู่นี้ พวกเขาเห็นหลายจวิ่นเฉินกุมศีรษะของตนด้วยมือทั้งสองข้าง กรีดร้องออกมาอย่างบ้าคลั่งจากอีกด้านหนึ่งของกระจก พลังหยินจำนวนมากหลั่งไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ดราวกับสึนามิ ภายในไม่กี่วินาที พลังหยินที่ปกคลุมกระจกทั้งบานก็เปลี่ยนเป็นผีเสื้อสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนที่บินจากไปในไม่ช้า และประกายแสงสีเขียวที่แผ่ออกมาจากผิวหน้าของกระจกก็จางหายไปและกลับกลายเป็นแสงสีขาวบางตามเดิม
หลังจากนั้น เสียงมีอำนาจก็ดังก้องไปทั่วทั้งด่านซานไห่ “สังหารแม่ทัพของศัตรู! ละเว้นผู้ที่ยอมจำนน!”
เหล่ากองกำลังของยมโลกที่กำลังต่อสู้กับฝ่ายนครชฺวีฟู่อย่างดุเดือด รวมถึงกองกำลังของยมโลกที่ใช้พลังไปจนหมดและนั่งพักอยู่ต่างตะโกนออกมาพร้อมกัน “สังหารแม่ทัพของศัตรู! ละเว้นผู้ที่ยอมจำนน” “ชัยชนะครั้งนี้เป็นของยมโลก!!!”
ในวินาทีนั้น กำแพงเมืองทั้งสี่ด้านพลันดังก้องไปด้วยเสียงกู่ร้องแห่งชัยชนะ!
มันเต็มไปด้วยความตื่นเต้นของการได้เห็นดวงอาทิตย์หลังจากพายุฝนที่ตกกระหน่ำ มันคือความตื้นตันใจที่ได้เห็นผลจากน้ำพักน้ำแรงและการเสียสละของตนเอง ทุกคนต่างตะโกนออกมาอย่างมีความสุขกับชัยชนะที่ได้มา!
จริงอยู่ที่พวกเขาทั้งหมดมีจำนวนน้อยราวกับหยดน้ำในมหาสมุทรเมื่อเทียบกับขนาดที่ใหญ่โตของด่านซานไห่ แต่ถึงกระนั้น เสียงประกาศชัยชนะของพวกเขาก็ยังดังไปถึงหูของทหารวิญญาณของนครชฺวีฟู่ทุกนาย
“พวกเรา…แพ้แล้ว?” ข่าวเกี่ยวกับการตายของผู้บังคับบัญชาการของตนแพร่กระจายออกไปในกองกำลังทั้งหมดราวกับโรคระบาด ส่งผลกับขวัญกำลังใจของคนทั้งหมดอย่างมหาศาล แม่ทัพของกองกำลังทหารม้าของนครชฺวีฟู่จ้องมองไปยังจุดสูงสุดของแท่นบูชาที่มีร่างๆหนึ่งยืนอยู่อย่างกล้าหาญพร้อมกับหอกแหลมในมืออย่างเหม่อลอย เขาเอ่ยพึมพำกับตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า
เคร้ง…เสียงที่คมชัดของโลหะดึงเขาออกมาจากภวังค์ความคิดของตนเอง หลังจากนั้น เสียงวัตถุตกลงพื้นก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เขาไม่จำเป็นต้องหันกลับไปมองก็รู้ดีว่ามันคือเสียงของอาวุธที่ตกลงพื้น
ไม่มีใครมีใจที่จะสู้อีกต่อไป
ด่านซานไห่ ป้อมปราการด่านแรกของกำแพงเมืองจีนได้ถูกพังทลายลง การสูญเสียของป้อมปราการของพวกเขาได้ทำลายจิตวิญญาณในการต่อสู้ทั้งหมดของพวกเขาไป นอกจากนี้ ในเมื่อผู้บังคับบัญชาการได้ตายไปแล้ว การสู้ต่อไปจะมีประโยชน์อะไร?
เสียงหลายเสียงดังสนั่นอยู่รอบด้าน รวมถึงเสียงของสายลม เสียงระเบิดและเสียงกระทบกันของโลหะหนัก แต่…มันก็เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกถึงความสงบสุข มันแทบจะเหมือนกับว่าหัวใจของเขาได้ตายไปจากโลกนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังได้ยินเสียงตะโกนของกองกำลังยมโลกดังก้องอยู่ภายในหู เสียงตะโกนแห่งชัยชนะเป็นเหมือนกับเสียงกลองที่ตีลงมาที่หัวใจของเขา
“ท่านแม่ทัพ…” ทันใดนั้น รองแม่ทัพผู้หนึ่งก็ตามมาหยุดอยู่ด้านข้างและเอ่ยเสียงเบา “พวกเรา—…”
“ยอมจำนน” ผู้เป็นแม่ทัพยังคงจ้องมองขึ้นไปบนฟ้า “ลดธงลง…และทิ้งอาวุธ… พวกเรายอมจำนน…”
มันนิ่งสงบ
ไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกใดๆ
รองแม่ทัพไม่ได้เอ่ยอะไรอีก ไม่กี่วินาทีต่อมา เขาก็ตอบกลับเสียงเบา “รับทราบ”
ฟึ่บ… ทันทีที่พวกเขาลดธงลง กองกำลังทหารม้าที่เหลืออยู่ทั้งหมดก็กระโดดลงจากหลังม้าศึกและทิ้งอาวุธในมือของตน
พวกเขาเป็นกลุ่มแรกที่มีปฏิกิริยาเช่นนั้น แต่หลังจากผ่านไปไม่นาน ที่อื่นๆในสนามรบ ทุกคนต่างก็ตัดสินใจทำสิ่งเดียวกัน
เปลวไฟแห่งสงครามถูกดับลงอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับเมื่อตอนแรงที่มันลุกโชนขึ้น ยุทโธปกรณ์ทุกรูปแบบถูกทิ้งลงกับพื้น ในขณะที่กองกำลังต่างๆลดธงของกลุ่มพันธมิตรแห่งความมืดลงตามลำดับ กองกำลังเพียงกลุ่มเดียวที่ยังคงมุ่งหน้ากลับไปที่แท่นบูชามีทหารอยู่ประมาณ 100,000 นายเท่านั้น
ทหารเหล่านี้คือกองกำลังที่ซื่อสัตย์ต่อกลุ่มพันธมิตรแห่งความมืด พวกเขาคือผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียในนครชฺวีฟู่ ดังนั้นตราบใดที่มันยังมีความหวังเหลืออยู่ แม้เพียงเล็กน้อย พวกเขาก็จะไม่มีทางยอมแพ้เด็ดขาด!
มันมักจะมีคนแบบนี้อยู่ในทุกๆองค์กร
ประชากรวิญญาณกว่า 10 ล้านตนจ้องมองไปยังภาพอันน่าเหลือเชื่อที่เกิดขึ้นตรงหน้า ไม่มีผู้ใดโวยวายออกมา พวกเขาเพียงมึนงง พวกเขาไม่ได้มีความสนใจในสงคราม ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้ถูกลากเข้าไปอยู่ท่ามกลางสนามรบ ขงโม่ได้ปกครองพวกเขาตามหลักสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานที่รัฐบาลพึงมอบให้ประชาชน แต่อีกฝ่ายไม่สามารถมอบผลประโยชน์ใดๆให้พวกเขาอย่างที่ฉินเย่สามารถทำได้ด้วยสมุดแห่งความเป็นตาย
ฉินเย่มองภาพตรงหน้าด้วยสีหน้านิ่งเฉย เหล่ากองกำลังผู้ซื่อสัตย์พุ่งตัวผ่านกองกำลังที่ยอมจำนน โดยในขณะที่พวกเขาวิ่งผ่าน ทั้งหมดก็พยายามจูงใจให้กองกำลังที่ยอมแพ้กลับมาเข้าร่วมรบโดยการก่นด่าและต่อว่าอีกฝ่าย แต่ถึงกระนั้น มันก็ไร้ผล
ฉินเย่ส่ายหน้าเบาๆ พวกเจ้าคิดจริงๆน่ะหรือว่ามันจะได้ผล?
ไม่มีทาง
ภาพรวมได้ถูกตัดสินแล้ว! การแสดงได้ถูกปิดฉากแล้ว!
หากพูดกันตามตรง นครชฺวีฟู่ได้ล่มสลายลงตั้งแต่ที่กองกำลังทหารกลุ่มแรกของนครชฺวีฟู่ได้ลดธงของพวกเขาลงแล้ว กองกำลังผู้ซื่อสัตย์ที่เหลืออยู่น้อยนิดจะสามารถต่อต้านขั้นตุลาการนรกของยมโลกได้อย่างนั้นหรือ?
นอกจากนี้…
ฉินเย่เหลือบมองขึ้นไปบนฟ้า เขาสัมผัสได้ถึงรัศมีที่ยิ่งใหญ่ซึ่งกำลังปกคลุมอยู่เหนือศีรษะ
สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปจะเป็นตะปูดอกสุดท้ายที่ถูกตอกลงบนฝาโลงซึ่งจะทำลายจิตวิญญาณในการต่อสู้ของทหารวิญญาณที่เหลืออยู่ทั้งหมดของนครชฺวีฟู่
ที่นี่ถูกปกครองโดยขงโม่มาเป็นเวลากว่าหลายสิบปีแล้ว ไม่มีประชากรวิญญาณหรือทหารวิญญาณตนใดที่นี่เคยได้ประสบกับการปกครองของยมโลกแห่งเก่า นับประสาอะไรกับการรู้ถึงข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาคือกบฏ
แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ
มันเป็นเรื่องง่ายที่จะสั่งสอนคนเหล่านี้ให้ได้รู้ถึงความจริง
ปาฏิหาริย์
ทั้งหมดที่ฉินเย่ต้องทำตอนนี้ก็คือการแสดงปาฏิหาริย์ให้อีกฝ่ายเห็น
“ฆ่ามันให้หมด!!!” หนึ่งในแม่ทัพผู้จงรักภักดีตะโกนออกมาสุดเสียงขณะที่พุ่งตัวขึ้นมาบนแท่นบูชา ตอนนี้กองกำลังของยมโลกเหลือทหารอยู่เพียงไม่กี่พันนายเท่านั้น ตราบใดที่พวกเขารีบลงมือ พวกเขาจะต้องสามารถจัดการกองกำลังทั้งหมดได้อย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นพระราชวังแห่งการสะท้อนเงาก็จะกลับมาอยู่ในการครอบครองของพวกเขา และพวกเขาก็จะสามารถควบคุมนครชฺวีฟู่ได้อีกครั้ง
พวกเขาจะสูญเสียนครชฺวีฟู่ไปไม่ได้เด็ดขาด! แม่ทัพผู้จงรักภักดีนายนี้คือรองผู้บัญชาการของกองกำลังชฺวีฟู่ เขารู้ดีว่าตัวเองจะไม่สามารถได้รับตำแหน่งนี้อีกหากผู้นำของนครชฺวีฟู่เปลี่ยนมือไป ดังนั้นเขาจึงอยากที่จะเดิมพันทุกอย่างเพื่อแย่งนครชฺวีฟู่กลับมา
ทหารวิญญาณกว่า 20,000 วิ่งตามเขามาติดๆ ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ขวัญกำลังใจของพวกเขาตกลงมาก แต่ถึงกระนั้น…คนทั้งหมดก็ยังทำตามคำสั่งของเขา
“ผู้ใดที่สามารถแย่งพระราชวังแห่งการสะท้อนเงากลับมาได้จะได้รับการเลื่อนตำแหน่งสามระดับและได้รับหินวิญญาณ 5,000 กิโลกรัม!!” เขาเอ่ยรางวัลที่น่าดึงดูดเพื่อยกระดับขวัญกำลังใจของกองกำลังทั้งหมดอีกครั้ง และตอนนี้เขาก็มองเห็นร่างของแม่ทัพคนอื่นๆอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก เฉินฟู่ไต่ เฉาพู่ถัง แม่ทัพโจว และคนอื่นๆต่างนำกองกำลังอีกอย่างน้อย 8 กองมุ่งหน้ามาที่พระราชวังแห่งการสะท้อนเงา และแม่ทัพแต่ละนายก็มีทหารวิญญาณตามหลังตนมาอีกคนละพันนาย
กองกำลังที่กำลังมุ่งหน้ากลับมามีจำนวนเกือบ 100,000 นาย! พวกเขายังมีหวัง!
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงกดหมวกเหล็กที่สวมอยู่ลงและกัดฟันแน่นขณะที่พุ่งตัวไปข้างหน้า ใกล้แล้ว… พวกเขาใกล้แล้ว! 5 กิโลเมตร… 3 กิโลเมตร… 1 กิโลเมตร! 500 เมตร… 300 เมตร… 100 เมตร!
“ฆ่ามัน!!!” พระราชวังแห่งการสะท้อนเงาอยู่ข้างหน้าแล้ว! เขาตะโกนสุดเสียงและเริ่มขึ้นไปด้านบนของแท่นบูชา
แต่เสี้ยววินาทีต่อมา พร้อมกับเสียงกรีดร้องที่ดังลั่น ร่างของเขากระเด็นออกมาหลายร้อยเมตร
เกิดอะไรขึ้น?!
เขาอ้าปากกว้างขณะที่มองไปยังพระราชวังแห่งการสะท้อนเงา มันรู้สึกราวกับว่า…มีกำแพงที่มองไม่เห็นกั้นอยู่รอบๆ
ทันใดนั้น พร้อมกับเสียงบางอย่างดังขึ้นเหนือศีรษะ รูขนาดใหญ่พอๆกับนครชฺวีฟู่ก็ปรากฏขึ้นเหนือท้องฟ้าด้านบน ลูกไฟนรกจำนวนนับไม่ถัวนตกลงมา ตามมาติดๆด้วยแรงกดดันมหาศาลที่กดทับลงมาจากบนฟ้า
ไม่มีใครมีสติพอที่จะตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ ตุบ ตุบ ตุบ… ภายใต้ท้องฟ้าของนครชฺวีฟู่ วิญญาณทุกตนต่างคุกเข่าลงกับพื้นด้วยร่างที่สั่นเทาขณะที่พวกเขามองขึ้นไปบนฟ้าด้วยความหวาดกลัว
มันคือแรงกดดันที่บีบคั้น
มันคือการมาถึงของท่านตี้ทิง!
ครืนนนน!!
ด่านซานไห่สั่นไหวอย่างรุนแรง และเริ่มบิดเบี้ยวเล็กน้อย ทหารวิญญาณทั้งหมดต่างจ้องมองขึ้นไปบนฟ้า ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ในขณะเดียวกัน อักขระสีแดงที่ถูกเขียนบนหน้ากระจกก็ค่อยๆจางหายไปขณะที่ด่านซานไห่ยังคงสั่นไหวอย่างต่อเนื่อง จากนั้น เมืองทั้งเมือง…ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย!
สิ่งเดียวที่เหลืออยู่มีเพียงผืนดินที่ว่างเปล่า และเทือกเขาที่อยู่ห่างออกไป หลังจากผ่านไปสักพักใหญ่ ราชาอสูรวิญญาณที่อยู่ห่างออกไปก็หันมามองด้วยความตกตะลึง สงสัยว่าเมืองขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ ณ ที่แห่งนี้มาเป็นเวลานานหลายสิบปีหายไปที่ใด
แล้ว…วิญญาณอื่นๆที่อยู่ที่นี่เล่า? พวกเขาหายไปที่ใดกันหมด?
ทั้งหมดที่เหลืออยู่มีเพียงดินแดนที่ถูกทิ้งร้าง
พงศาวดารของยมโลกแห่งใหม่ : ปีที่ 001 ของยมโลกแห่งใหม่ ท่านจ้าวนรกองค์ที่สาม ฉินเย่ ได้นำกองกำลังทหาร 100,000 และจัดการกับกองกำลังกบฏของกลุ่มพันธมิตรแห่งความมืด กองกำลังของยมโลกได้จัดการล้มกองกำลังทหารของฝ่ายศัตรูจำนวน 570,000 นาย แยกการควบคุมเหนือด่านซานไห่แห่งนครชฺวีฟู่ และแย่งวัตถุหยินระดับ 1 ของยมโลกอย่างพระราชวังแห่งการสะท้อนเงากลับมาได้สำเร็จ
จำนวนผู้เสียชีวิตของฝ่ายยมโลกมีจำนวนทั้งสิ้น 68,000 นาย แม่ทัพมู่กุ้ยอิงและแม่ทัพหยางเหยียนเต๋อได้เสียชีวิตลงในหน้าที่ การตายของทั้งสองได้มีส่วนสำคัญเป็นอย่างมากที่ทำให้ยมโลกประสบความสำเร็จในสงครามเพื่อขยายอาณาเขตครั้งแรกนี้
………………………………………………………………..
กลับมีที่หน้าผาเหนือมหาสมุทรอันกว้างใหญ่
มณฑลซานตง ลิมโบ กองกำลังกลุ่มพันธมิตรแห่งความมืดได้ประจำการอยู่ตามริมหน้าผา ค่ายทหารทั้งหมดสว่างไสวด้วยเปลวไฟนรกที่ลุกโชน ทหารวิญญาณจำนวนมากเดินลาดตระเวนอยู่ตามริมชายฝั่ง จับจ้องไปยังการเคลื่อนไหวของศัตรูจากลูกไฟสีแดงที่ลอยอยู่เหนือมหาสมุทร
ทันใดนั้นเอง เสียงคำรามที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวก็ดังมาจากกระโจมที่ตั้งอยู่ ณ จุดกึ่งกลางของค่ายทหาร “ใคร…มันเป็นใครกัน?!” ทหารวิญญาณที่อยู่โดยรอบทั้งหมดต่างหันมองไปที่กระโจมดังกล่าวด้วยความหวาดหวั่น
มันคือกระโจมของขงโม่…
“นายท่าน!” ผู้ติดตามคนหนึ่งรีบเดินเข้ามา แต่ก็ได้รับการตะโกนใส่อย่างเดือดดาลไม่แพ้กันกับเมื่อครู่ “ไปให้พ้น!!!” เขารีบเดินออกมาทันที
มันยังคงมีโคมไฟโครงกระดูกมนุษย์อยู่ภายในกระโจม รวมถึงแผนที่ของมณฑลซานตงแขวนอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงานดังเดิม แต่สิ่งอื่นๆที่อยู่ภายในห้องล้วนยุ่งเหยิง ขงโม่ได้คว่ำโต๊ะทำงานของตนเอง ส่งผลให้พู่กัน น้ำหมึก กระดาษ และแท่งหมึกกระจัดกระจายไปทั่ว แต่เขาก็ไม่แม้แต่หันไปสนใจมันเลยแม้แต่น้อย กลับกัน เขายังคงกัดฟันแน่นและมีสีหน้าเคร่งขรึมดังเดิม
ใต้ฝ่ามือของเขามีลูกตาที่ดูไม่ต่างอะไรกับกระจกปรากฏอยู่ และมันก็กำลังจางหายไปอย่างช้าๆ เขาพยายามอย่างมากเพื่อที่จะรักษามันเอาไว้ พยายามถึงแม้กระทั่งยกมันขึ้นถูกับศีรษะของตนจนมีพลังหยินและเปลวไฟออกมา เขาไม่คิดที่จะปล่อยมันไป
แต่ท้ายที่สุดแล้ว มันก็สูญเปล่า
เสี้ยววินาทีต่อมา ลูกตาดังกล่าวก็กระพริบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหายไปโดยสมบูรณ์ เขากรีดร้องออกมาสุดเสียง ดึงทึ้งศีรษะของตัวเองอย่างบ้าคลั่ง ใบหน้าิดเบี้ยวไม่เป็นทรงด้วยความโกรธ
“บัดซบ… บัดซบ!!”
“ยมโลกอย่างนั้นหรือ? หรือว่ากองกำลังพันธมิตรของโลกใต้พิภพ?! พระราชวังแห่งการสะท้อนเงา… พระราชวังแห่งการสะท้อนเงาของข้าหายไปจากลิมโบ?! ผู้ใดก็ตามที่ทำเช่นนี้…เจ้าควรจะเตรียมตัวให้พร้อมที่จะทุกข์ทรมานกับขุมนรกแห่งการลงทัณฑ์ทั้ง 18 ขุม!!!”
คลื่นความตกตะลึงและความโกรธที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ร่างของเขาสั่นเทาอย่างรุนแรง และเขาก็ใช้เวลากว่าหลายสิบนาทีก่อนที่จะสามารถรวบรวมสติและสงวนท่าทีของตนได้อีกครั้ง แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังมองไปยังท้องฟ้าที่อยู่ห่างออกไปอย่างสิ้นหวัง
เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?
เหตุใดทุกอย่างจึงกลายเป็นแบบนี้?!
เขาสามารถยอมรับการพ่ายแพ้ของนครชฺวีฟู่ได้ ไม่ว่าความเป็นไปได้ดังกล่าวจะน้อยนิดมากเพียงใด แต่ถึงกระนั้น…ด่านซานไห่ทั้งด่านจะหายไปเช่นนั้นได้อย่างไร?
มันหายไปที่ใด? ผู้ใดกันที่เป็นคนทำสิ่งนี้? พระราชวังแห่งการสะท้อนเงาคือแหล่งความมั่นใจที่มากที่สุดของเขา! ผู้ใดกันที่ได้มันไป?!
แล้ว…เขาควรทำเช่นไรต่อไป?
นี่เขา…ตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากแล้วอย่างนั้นหรือ?
หลายวินาทีต่อมา เขาก็ได้ระบายความโกรธเกรี้ยวและความบ้าคลั่งทั้งหมดภายในใจของตนเองด้วยเสียงคำรามที่ดังสนั่นไปทั่วทั้งสถานที่ “เจ้าจะต้องตาย!!!!”