ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - เล่มที่ 10 บทที่ 273 ผู้ที่ต้องการชีวิตเขาไม่ได้มีเพียงคนสองคน
- Home
- ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง
- เล่มที่ 10 บทที่ 273 ผู้ที่ต้องการชีวิตเขาไม่ได้มีเพียงคนสองคน
หลินชิงเวยยืนอยู่ข้างกายเซียวเยี่ยน นางหันไปพยักพเยิดปลายคางให้กับผู้เป่าขลุ่ย พร้อมกับยกยิ้มบนริมฝีปาก “เจ้าเป็นนักฝึกสัตว์หรือหมอผี?”
ไม่รอให้ผู้เป่าขลุ่ยตอบคำ เซียวเยี่ยนลงมือทันที แสงสีทองปรากฏขึ้นในมือของเขา มันดีดตัวออกไปทำลายขลุ่ยในมือของคนผู้นั้นแหลกละเอียด
ริมฝีปากแดงสดของหลินชิงเวยแย้มออกเล็กน้อย นางหัวเราะเบาๆ “วันนี้เจ้าพบข้า ถือว่าเจ้าโชคร้าย” ต่อมาด้วยคำสั่งของนางฝูงงูจึงโอบล้อมกันเข้ามาอยู่บนพื้นดิน ผู้เป่าขลุ่ยผู้นั้นหนีไม่ทันจึงถูกงูพันรัดข้อเท้าจนล้มลงบนพื้น ต่อมาเขาร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวด เขาถึงกับถูกฝูงงูกินทั้งเป็นเหลือเพียงโครงกระดูก
โลหิตสดๆ กระจายเต็มพื้นเป็นภาพน่าสยดสยองยิ่งนัก ฝูงงูกินอิ่มแล้วต่างเลื้อยไปข้างหน้า ชาวอวิ๋นหนานที่ถูกส่งมาสังหารเซียวเยี่ยนเห็นเหตุการณ์แล้วต่างมีสีหน้าหวาดกลัว
เพียงแต่ยังไม่รอให้พวกเขาถอนกำลัง ฝูงงูกลับล่าถอยไปก่อน บางส่วนเคลื่อนไหวรวดเร็ว บางส่วนเลื้อยเข้าไปในดิน บางส่วนเข้าไปในพงหญ้า หิมะบนพื้นถูกทำให้สกปรกเลอะเทอะและกลายเป็นเศษน้ำแข็งเปื้อนโลหิต งูที่เลื้อยช้าสักหน่อยมีหิมะติดอยู่ตามตัว และมีบางส่วนยังเลื้อยเข้าไปไม่ถึงถ้ำของตนก็เลื้อยไม่ไหว ในที่สุดงูพิษฝูงใหญ่ต่างนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น บนหิมะ ด้วยถูกทำให้หนาวตาย
งูเดิมทีก็เป็นสัตว์เลือดเย็น เมื่อถึงฤดูหนาวมันจะจำศีลอยู่ในถ้ำ หลินชิงเวยรู้ดีว่านางฝืนกำลังเรียกพวกมันออกมา และพวกมันยินดีที่จะเสี่ยงอันตรายออกมาช่วยเหลือนาง ถือเป็นคุณธรรมอันยิ่งใหญ่แล้ว หลินชิงเวยไม่คุ้นเคยกับงูเหล่านี้ แต่สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดล้วนมีวิธีการสื่อสารของพวกมันเอง พวกมันยอมออกมาแสดงให้เห็นว่าพวกมันคุ้นเคยกับนาง ในเมื่อคนเราสามารถสื่อสารกันในรัศมีพันลี้ งูก็เฉกเช่นเดียวกัน
เพียงแต่บัดนี้พวกมันออกมาจากถ้ำ ยืดหยัดยาวนานเช่นนี้ถือว่าสุดความสามารถ เลือดที่ไหวเวียนอยู่ในร่างกายของพวกมัน เดิมทีก็เป็นเลือดเย็นอยู่แล้ว ซ้ำยังมาผจญกับความหนาวเย็นภายนอก ร่างกายจึงถูกความหนาวเล่นงานจนแข็งตาย
หลินชิงเวยเห็นซากร่างงูที่อยู่บนพื้น แววตาจึงปรากฏให้เห็นความเจ็บปวดและเสียดาย หากมิใช่พวกมัน ไหนเลยจะช่วยชีวิตเซียวเยี่ยนของนางได้เล่า
ชัดเจนยิ่งนักว่าชาวอวิ๋นหนานกลุ่มนั้นเมื่อเห็นฝูงงูจึงล่าถอย แน่นอนว่าพวกเขาไม่ยอมเลิกราเพียงเท่านี้ หัวหน้ากลุ่มมือสังหารกำลังจะออกคำสั่งให้คนทั้งหมดโจมตีอีกครั้ง เสียงควบม้าดังขึ้นจากภูเขาอีกด้านหนึ่งในเวลานี้เอง และไม่ใช่ม้าตัวเดียวแต่เป็นม้าฝูงหนึ่ง
เสียงควบม้านั้นสับสนและหนักแน่น ชาวอวิ๋นหนานและเซียวเยี่ยนต่างไม่เคลื่อนไหว และไม่รู้ว่าผู้ที่กำลังจะมาเป็นมิตรหรือศัตรู
ทว่าหลินชิงเวยกลับรับรู้ได้ว่าร่างของเซียวเยี่ยนตึงเครียดขึ้นเล็กน้อย กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งตามร่างกายของเขา รังสีสังหารแผ่กำจายออกมารอบๆ กายของเขา
หลินชิงเวยหันไปมองเขา นางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ไม่พบหน้ากันหลายวัน บุรุษเบื้องหน้าผู้นี้ยังคงสูงใหญ่คมสัน แต่ผ่ายผอมลงไปมากทีเดียว กระดูกโหนกแก้มโปนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ขับให้ดวงตาทั้งคู่ของเขาเรียวยาวขึ้นอีก ทั่วร่างปรากฏให้เห็นความสูงศักดิ์ บนคางของเขามีตอหนวดเขียวครึ้มที่เพิ่งขึ้น ทำให้ดูเย้ายวนใจเล็กน้อย หลินชิงเวยยกมือขึ้นลูบคางของเขา ความรู้สึกคันยุบยิบที่ได้รับบริเวณฝ่ามือ ทำให้นางไม่อยากจะละมือออก
เซียวเยี่ยนหลุบตาลงมองนาง ราวกับความเหน็ดเหนื่อยก่อนหน้านี้ได้อันตรธานหายไปพร้อมกับความอ่อนโยนในแววตาของหลินชิงเวย แววตาของเขานิ่งลึกราวกับวังน้ำวนก็ไม่ปาน เขามองหลินชิงเวยและกล่าวว่า “เจ้ามาทำอะไร?”
หลินชิงเวยส่งยิ้มให้เขา เป็นนางในจินตนาการของเขา ผิวขาวประดุจหยก คิ้วตางดงามประดุจภาพวาด เมื่อยิ้มขึ้นมาแล้วงดงามยิ่งนัก นางกล่าวว่า “โชคดีที่ข้ามา โชคดีที่ข้ามาถึงไม่ช้าไม่เร็ว แต่มาทันเวลา”
ไม่อย่างนั้นนางจินตนาการไม่ออกว่าเซียวเยี่ยนจะก้าวผ่านอันตรายในวันนี้ได้อย่างไร เขาจะได้รับบาดเจ็บหรือไม่ จะมีอันตรายถึงชีวิตหรือไม่ ตนเองยังจะได้พบเขาอีกหรือไม่
มีความไม่แน่นอนมากมายเหลือเกิน
นางไม่เคยเสียใจที่เร่งเดินทางตามหาเขาเป็นระยะทางนับพันลี้ เพียงแต่เวลานี้นางได้พบเขาแล้ว เขายังมีชีวิตอยู่และยืนอยู่เบื้องหน้าตน แค่นี้ทุกอย่างก็เพียงพอแล้ว
หลินชิงเวยมองตามทิศทางที่มีเสียงควบม้า เป็นทิศทางที่ตนเองมา นางพูดอย่างแน่ใจว่า “น่าจะเป็นเซียวอี้ ข้าและเขาเดินทางลงใต้มาด้วยกัน” เซียวเยี่ยนตกตะลึง ต่อมาหลินชิงเวยยกมือของเซียวเยี่ยนขึ้นมาแล้วกัดลงบนหลังมือของเขา แล้วนำหนอนกู่ตัวหนึ่งจากภาชนะกระเบื้องฝังลงบนปากแผลของเขา
เซียวเยี่ยนหลุบตาลงมองเงียบๆ หลินชิงเวยเงยหน้ายิ้มให้เขา “สิ่งของนี้ช่วยรักษาชีวิต ท่านคงต้องอดทนสักหน่อย”
เซียวเยี่ยนพยักหน้า ราวกับคาดเดาได้ว่าหลินชิงเวยกำลังจะทำอะไรจึงไม่ไต่ถาม
หลินชิงเวยรู้ว่าในมือของเซียวอี้มีกำลังคน และเป็นไปไม่ได้ว่าจะไม่มีหูตาของเซียวเยี่ยนติดตามมาตั้งแต่นางออกมาจากโรงเตี๊ยม นางเพียงแต่เดินทางล่วงหน้ามาเท่านั้นเอง
แต่ต่อให้เซียวอี้มาถึงแล้วก็อย่าได้คาดหวังว่าเขาจะช่วยเซียวเยี่ยน เกรงว่าเขาจะเป็นเช่นชาวอวิ๋นหนานกลุ่มนั้นมุ่งหวังให้เซียวเยี่ยนรีบๆ ตายไปเสีย ยามนี้หลินชิงเวยและเซียวเยี่ยนสองคนคิดจะต่อกรกับชาวอวิ๋นหนาน จะเอาตัวรอดได้หรือไม่ยังเป็นปัญหา ผนวกกับกำลังคนของเซียวอี้ แต่ละคนล้วนปรารถนาให้เซียวเยี่ยนตาย เช่นนั้นโอกาสที่นางและเซียวเยี่ยนจะหนีไปได้ยิ่งริบหรี่
ยามนี้ไม่อาจใช้ไม้แข็ง ได้แต่ใช้วิธีการแยบยล
ชาวอวิ๋นหนานเห็นแล้วเช่นกัน และหัวหน้ากลุ่มจดจำเซียวอี้ได้ ดูท่าแล้วเซียวอี้และอวิ๋นหนานสมคบคิดกันนานแล้ว หัวหน้ากลุ่มชาวอวิ๋นหนานถลึงตาใส่เซียวเยี่ยนและหลินชิงเวย “เซ่อเจิ้งอ๋องแห่งแคว้นต้าเซี่ย ผู้ที่ต้องการชีวิตของท่าน ไม่ได้มีเพียงแค่คนสองคน ครั้งนี้ท่านจะหนีรอดไปได้อีกหรือ?”
ชั่วขณะนั้นคนและม้ากลุ่มนั้นหยุดลงไม่ไกลนัก พวกเขาแต่ละคนมีสีหน้าปึ่งชาเปี่ยมไปด้วยรังสีสังหารและประสบการณ์
เซียวอี้นั่งอยู่บนหลังม้า ทุกๆ อิริยาบถของเขาล้วนเป็นธรรมชาติ เขามองหลินชิงเวยแล้วพูดกลั้วหัวเราะ “เวยเวย ขอบคุณเจ้าที่นำทางให้ข้า หาไม่แล้วข้าคงหาตัวเขาพบไม่เร็วเช่นนี้” พูดแล้วสายตาของเขาก็ตกลงบนพื้นที่เต็มไปด้วยคราบเลือดและซากงู “ดูท่าแล้วก่อนหน้าที่เปิ่นหวางจะมาถึง ที่นี่ได้เกิดสงครามขึ้นครั้งหนึ่ง เซ่อเจิ้งอ๋อง สบายดีหรือ”
หัวหน้ากลุ่มชาวอวิ๋นหนานเอ่ยปากขึ้นว่า “ที่แท้เป็นเซี่ยนอ๋องที่มาทันเวลา เช่นนั้นดีเหลือเกิน วันนี้ให้พวกเรามาสังหารเซ่อเจิ้งอ๋องด้วยกันเถิด!”
ดวงตาหงส์ของเซียวเยี่ยนหรี่แคบลง เขามองเซียวอี้ “ในเมื่อเจ้ามาแล้ว ความผิดฐานสมคบคิดกับอวิ๋นหนาน ความผิดนี้เจ้าแบกรับไหวหรือ?”
เซียวอี้กุมสายบังเหียนในมือแล้วหัวเราะ สายตาที่ทอดมองเซียวเยี่ยนเต็มไปด้วยความเย็นชาและนิ่งลึก “ในเมื่อเจ้าพูดเช่นนี้ ข้าจะปล่อยให้เจ้ามีชีวิตรอดกลับไปได้อย่างไร?”
อวิ๋นหนานและเซียวอี้ล้อมเซียวเยี่ยนและหลินชิงเวยไว้ตรงกลาง ขอเพียงออกคำสั่งทั้งสองฝ่ายโจมตีกระหนาบเซียวเยี่ยน เซียวเยี่ยนต้องรับศึกทั้งสองด้านย่อมยากจะที่จะรับมือได้