ทะลุมิติมาเป็นภรรยาของตัวร้าย - ตอนที่ 762 วิกฤต
ตอนที่ 762 วิกฤต
สองปีมานี้ ซานเป่ามักอยู่กับลู่เจียว ลู่เจียวทุ่มเทสอนวิชาการแพทย์เขา สองแม่ลูกสนิทกันอย่างมาก ต้องมาห่างจากมารดาไปตอนนี้ ซานเป่าเองก็รู้สึกอาลัยไม่อาจตัดใจ แต่เขารู้ว่าชายชาตรีต้องมีปณิธานมุ่งมั่น เขาต้องทำงานของตนเอง
“อย่าได้ยุ่งยากเพียงนั้น เมืองหนิงโจวห่างจากเมืองหลวงมาก จดหมายฉบับแรกสิบวันยังไม่ทันถึง จดหมายฉบับที่สองก็ส่งออกมาแล้ว เจ้าเพิ่งไปถึงก็ย่อมมีเรื่องให้ต้องยุ่งอยู่มาก แต่จะยุ่งอย่างไร ก็ต้องเขียนจดหมายมาบอกเล่าสถานการณ์ทางนั้นให้แม่รู้ทุกเดือน ส่วนจดหมายก็ให้ส่งผ่านมาทางคนของร้านขนส่งสินค้าเหนือใต้”
ร้านขนส่งสินค้าเหนือใต้มีขบวนพ่อค้า ทุกสองสามวันจะปรับเปลี่ยนสินค้าหลายร้านในแคว้นต้าโจว ดังนั้นมักต้องเดินทางไปมา จดหมายมอบให้พวกเขาก็จะเร็วหน่อย
“ท่านแม่ ข้ารู้แล้ว”
ลู่เจียวพยักหน้า มองไปยังซานเป่า เห็นวงหน้ารูปงามอ่อนโยนของเขาแล้ว ช่างเป็นหมอหนุ่มงามสง่าเสียจริง
ปีนี้เขาสิบห้าแล้ว ตามหลักแล้วก็ควรหมั้นหมายได้แล้ว
แต่ทุกครั้งที่ลู่เจียวถามเขา เขาบอกว่ายังไม่อยากหมั้นหมายตอนนี้
“อีกเรื่องก็คือเรื่องแต่งงานของเจ้า แม่คิดมาตลอดว่าจะหมั้นหมายให้เจ้าก่อน เจ้าก็เอาแต่บอกว่าไม่รีบร้อน ไปถึงเมืองหนิงโจว หากต้องตาต้องใจหญิงใดก็เขียนจดหมายมาบอกแม่ แต่ข้าต้องบอกกับเจ้าก่อน ตระกูลเราแต่งสะใภ้ แม้ว่าไม่สนใจเรื่องสมฐานะ ไม่ใช่ว่าต้องเป็นบุตรีขุนนางใหญ่อันใด แต่อย่างไรชาติตระกูลก็ต้องพิถีพิถันหน่อย บุตรสาวที่อบรมออกมา พฤติกรรมแต่ละอย่างก็ต้องผ่านการอบรมมาอย่างดี สตรีที่ไร้การอบรมพวกนั้น แม่ไม่เห็นด้วยที่เจ้าจะแต่งด้วย”
ลู่เจียวพูดถึงตรงนี้ก็มีสีหน้าเป็นห่วง กลัวบุตรชายไปเมืองหนิงโจวแล้วถูกใจสตรีที่ไหนก็ไม่รู้
แม้ว่านางมิได้ดูแคลนเด็กจากตระกูลยากจน แต่เด็กจากตระกูลยากจนไร้การอบรม แต่ละอย่างก็ขาดตก แน่นอนว่าย่อมมีดี แต่ก็น้อยมาก
ดังนั้นลู่เจียวเป็นห่วงซานเป่าถูกหญิงสาวไม่ดีล่อลวงไป แต่งเอาลูกสะใภ้กระโดกกระเดกไร้การอบรมเข้ามา เช่นนั้นก็คงยุ่งยากยิ่ง
ซานเป่าได้ฟังคำพูดลู่เจียวก็อดหัวเราะไม่ได้
“ท่านแม่ บุตรชายยังเล็ก ยังไม่คิดแต่งภรรยา ตอนนี้ข้าคิดเพียงตั้งสำนักยาหลวงเมืองหนิงโจว ไม่คิดเรื่องแต่งงาน วันหน้าหากข้าจะแต่ง ต้องมาให้ท่านแม่ดูก่อนคนแรก หากท่านแม่รู้สึกว่าไม่ได้ ข้าก็ไม่แต่ง”
หลายปีมานี้ซานเป่ามองออกว่ามารดาไม่เพียงแต่สอนลูกเป็น ยังเลือกสะใภ้เป็น แววตาเฉียบคมมาก
ไม่เพียงแต่พวกเขา แม้แต่พี่หลิงเสวี่ยที่พี่ใหญ่ต้องใจ สองปีมานี้ท่านแม่ก็ชี้แนะอบรมจนตอนนี้มีสง่าราศีคุณหนูตระกูลใหญ่ จัดการการงานก็ใจกว้างเข้าที ที่สำคัญที่สุดก็คือนางได้อาศัยความสามารถตนเองสอบเข้าสำนักศึกษาสตรีซุ่ยเต๋อได้ อาจารย์ใหญ่ชื่นชมอยู่เสมอ มักได้คะแนนอยู่ในสามอันดับแรก นางถึงกับแต่งหนังสือ แม้ว่าหนังสือที่นางแต่งไม่เหมาะกับยุคสมัยนี้ ห่างไกลจากจารีตในตอนนี้บ้าง แต่กลับได้รับความนิยมจากสตรีแคว้นต้าโจว
สตรีแคว้นต้าโจวไม่รู้จักหูหลิงเสวี่ย สตรีไม่น้อยกลับรู้หนานซานจื่อ เรื่องของนางเป็นแรงบันดาลใจอย่างมาก
ในรถม้า ลู่เจียวได้ฟังซานเป่าก็ยิ้มลูบศีรษะบุตรชาย “แม่ไม่ได้คัดค้านหญิงสาวที่เจ้าจะชอบ เพียงแต่อยากช่วยเจ้าดูพฤติกรรมและความคิดนางก่อน ไม่ว่าอย่างไรพวกเราไม่อาจแต่งสตรีที่จะทำให้ครอบครัววุ่นวาย ฉลาดเกินไปจนไม่ยอมเสียเปรียบ ครอบครัวเราพี่น้องเยอะ สะใภ้ที่แต่งเข้ามาอย่างน้อยก็ต้องใจกว้างสักหน่อย ไม่อาจเป็นคนคิดเล็กคิดน้อย ไม่ยอมเสียเปรียบ ไม่เช่นนั้นครอบครัวก็จะแตกแยก”
ซานเป่าได้ฟังคำพูดลู่เจียวก็พยักหน้า พี่ชายน้องชายและน้องสาวล้วนน่ารักเมตตาอารี เขาเองก็ไม่อยากแต่งเอาคนที่จะเข้ามาทำให้ครอบครัววุ่นวาย ทำลายครอบครัวพวกเขา
“ข้าทราบแล้ว”
“อืม กลับบ้านไปแม่จะเก็บของให้เจ้าไปเมืองหนิงโจว”
ความจริงสองวันก่อนก็เก็บไปรอบหนึ่งแล้ว แต่ลู่เจียวสองวันนี้เตรียมของให้บุตรชายไม่น้อย เงินทองอันใดก็ไม่น้อย
ซานเป่าได้ฟังคำพูดลู่เจียว ก็ทำสีหน้าเหนื่อยล้าทันที “ท่านแม่ ยังเก็บของอีกหรือ ไม่ใช่ว่าเก็บเสร็จแล้วหรือ”
“เป็นพวกของขวัญที่เอาไปมอบให้ท่านปู่หูและขุนนางในที่ว่าการเมืองหนิงโจว ครั้งนี้เจ้าไปเมืองหนิงโจวตั้งสำนักยาหลวง แม้มีแม่เป็นเจ้ากรม มีพระราชโองการฝ่าบาท แต่หากคนในพื้นที่เมืองหนิงโจวไม่ให้ความร่วมมือ ก็ย่อมยุ่งยาก โชคดีท่านปู่หูเจ้าเป็นถงจือเมืองหนิงโจว เจ้าไปตั้งสำนักยาหลวง ความยุ่งยากไม่มาก แต่พวกเราก็ควรต้องมอบของขวัญ”
เรื่องนี้ซานเป่าไม่ค้าน หลายปีมานี้มารดาสอนพวกเขาพี่น้องด้วยตนเองทุกเรื่อง สติปัญญาไหวพริบพวกเขาไม่ได้ด้อยกว่าผู้ใด หลักการคบค้าสมาคมก็เข้าใจอยู่มาก
“ได้”
สองแม่ลูกกลับบ้านเก็บของ สุดท้ายก็เก็บออกมาได้ถึงสามคันรถ โชคดีลู่เจียวให้คนร้านขนส่งสินค้าเหนือใต้แยกส่งลงเรือขนสินค้าไปส่วนหนึ่ง ไม่เช่นนั้นคงต้องเช่าเรือไปเอง
กลางดึกพอคิดถึงว่าซานเป่าจะจากไปแล้ว ลู่เจียวก็นอนไม่หลับพลิกตัวไปมา
ใต้เท้าเซี่ยรู้ว่านางอาลัย ก็ยื่นมือไปโอบกอดนางไว้ กล่าวว่า “ลูกๆ โตแล้ว ย่อมต้องกางปีกบินดุจอินทรีน้อยทะยานจากอกพ่อแม่ แต่ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าตลอดไป”
ลู่เจียวคิดแล้วก็เห็นเช่นนี้จริง หันกลับไปโอบกอดเอวใต้เท้าเซี่ย “วันหน้ารอให้ลูกๆ โตแล้ว เราสองผู้เฒ่าก็จะอยู่กันสองคน”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นยิ้มกล่าวว่า “สองผู้เฒ่าอันใด พวกเราอายุยังน้อยอยู่”
ใช่ เพราะเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวมักดื่มน้ำพุจิตวิญญาณ ดังนั้นแม้ว่าอายุมากแล้ว แต่ทั้งสองคนหน้าตายังอ่อนวัยกว่าคนวัยเดียวกันสิบปีได้
ลู่เจียวถูกเขาหยอกจนยิ้มออก
เซี่ยอวิ๋นจิ่นรีบกอดนางเข้านอน สองสามีภรรยาเพิ่งจะหลับ หน้าประตูตระกูลเซี่ยก็มีคนมาเคาะดังตึงตัง รีบร้อนและเร่งด่วน สองสามีภรรยาตกใจตื่น พลิกตัวลุกขึ้นพร้อมกัน นั่งมองไปยังด้านนอก
มีเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านนอกรวดเร็ว พ่อบ้านเซียวนำคนมาเรือนด้านหลังด้วยตนเอง รายงานว่า “ใต้เท้า ไม่ได้การแล้ว ในวังมีคนเรียกตัวฮูหยินรีบเข้าวัง คล้ายว่าฝ่าบาทไม่ได้การแล้ว”
สีหน้าเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวพลันย่ำแย่ลงทันที รีบลุกขึ้นเปลี่ยนเสื้อผ้าวิ่งออกไป แม้แต่ผมเผ้าก็ไม่ได้จัดแต่งให้เรียบร้อย
ทั้งสองคนพอเห็นพ่อบ้านเซียว ก็ถามอย่างร้อนใจว่า “ผู้ใดนำสารออกมาจากในวัง”
“องครักษ์ม่อเป่ย คนของรัชทายาท”
ตั้งแต่ม่อเป่ยบอกความในใจกับลู่เจียวและโดนปฏิเสธก็ไม่เคยปรากฏตัวต่อหน้าลู่เจียวอีก คิดไม่ถึงว่าคืนนี้ถึงกับมาด้วยตนเอง
สองสามีภรรยาไม่สนใจเรื่องอื่นใดอีก รีบตรงออกนอกประตูจวน
พอม่อเป่ยเห็นพวกเขา ก็เอ่ยขึ้นอย่างร้อนใจ “ฮูหยินเซี่ย รีบตามข้าเข้าวัง ฝ่าบาทไม่ค่อยดี”
ลู่เจียวรีบกล่าวว่า “หลายวันก่อนข้าตรวจพระวรกายฝ่าบาท แม้พระวรกายฝ่าบาทไม่ดีนัก แต่ก็ไม่ได้มีอันใดหนักหนา ตอนนี้อยู่ๆ เกิดเรื่องได้อย่างไร”
ม่อเป่ยรอลู่เจียวกับเซี่ยอวิ๋นจิ่นขึ้นรถม้าแล้วก็รีบเอ่ยอย่างร้อนใจว่า “รัชทายาทสงสัยว่าพระมารดาอ๋องจิ้นวางยาฝ่าบาท แต่หมอหลวงตรวจไม่พบ บอกว่าฝ่าบาทเป็นโรคพระหทัย ดังนั้นจึงได้หมดพระสติไป ดูท่าฝ่าบาทจะไม่ไหวแล้ว อ๋องจิ้นกลับนำราชโองการลายพระหัตถ์ฝ่าบาทออกมาบอกว่าฝ่าบาทมอบราชบัลลังก์ให้แก่อ๋องจิ้น เดิมพวกเขายังคิดขวางไม่ให้รัชทายาทเข้าเฝ้าฝ่าบาท รัชทายาทนำคนบุกเข้าไปในตำหนักบรรทม พบว่าฝ่าบาทสลบไม่ได้พระสติแล้ว กำลังวิกฤตอย่างมาก ดังนั้นรับสั่งให้ข้ารีบมารับพวกเจ้าเข้าวัง”