บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1207: ปัญหาจากผู้บัญชาการสักการะที่สาม!
ตอนที่ 1207: ปัญหาจากผู้บัญชาการสักการะที่สาม!
“พูดไปเจ้าก็ไม่เข้าใจหรอก”
ซูอี้เก็บกล่องโลหะไป
เขาตั้งใจจะรอเข้าสู่ขอบเขตราชันแห่งภูมิก่อน แล้วจึงค่อยเข้าไปสำรวจความลับในกระดูกมือข้างนี้
“ข้าไม่เข้าใจหรือ?”
นกกระจอกวิญญาณดูฉุนเฉียวมาก แต่มันก็มิอาจทำอันใดได้
ไม่นานนัก หนึ่งพิรุณแสงก็โปรยปรายครอบคลุมร่างของซูอี้ จากนั้นก็พัดพาร่างของเขาไปสู่ถนนบททดสอบที่อยู่เบื้องหน้า
นกกระจอกวิญญาณกระพือปีกและติดตามไปเบื้องหลัง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด
ร่างของซูอี้เคลื่อนไหววูบวาบ และทันใดนั้นเบื้องหน้าก็ปรากฏในเห็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์สีดำอันมีปราณต้นกำเนิดฮุ่นตุ้นชุลมุนวุ่นวาย
ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ลูกนี้สูงตระหง่านใหญ่โต ยอดเขาทะลวงขึ้นสู่นภา ปราณกำเนิดฮุ่นตุ้นไหลลงมาเยี่ยงน้ำตกโอ่อ่า
เมื่อมองใกล้ ๆ จะพบว่าบนภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้มีแท่นศิลาอยู่มากมาย ทุกแห่งต่างปกคลุมด้วยหมอกทึบหนา
“นี่คือด่านที่สี่ วาสนา!”
นกกระจอกวิญญาณปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุ “บนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ศุภผลนี้ มีแท่นศิลามรดกอยู่สามสิบหกแห่ง แต่ละที่ล้วนเป็นมรดกของตัวตนในตำนานกลุ่มหนึ่งอันนำโดยท่านมหาเทพหง”
“แต่ละอย่างล้วนแต่เป็นมรดกสูงสุดในยามที่พวกเขารุ่งเรือง!”
“ผู้มีวาสนาจะได้รับมันไป!”
น้ำเสียงของนกกระจอกวิญญาณเจือไปด้วยอารมณ์อาวรณ์ “โชคร้ายที่นานมาแล้ว นอกจากเจ้า ก็ไม่เคยมีผู้ขัดเกลาคนใดมาถึงที่นี่ได้มาก่อน”
ซูอี้เงยหน้าขึ้นมองภูเขาสีดำพลางกล่าว “มรดกพลังของท่านมหาเทพหงก็อยู่ในภูเขาศักดิ์สิทธิ์ศุภผลนี้หรือ?”
นกกระจอกวิญญาณตอบโดยไม่ต้องคิดเลยสักนิด “ถูกต้อง! แต่ว่ามรดกของท่านมหาเทพหงมิได้สลักอยู่ในแท่นศิลาใด ๆ แต่หลอมรวมเข้ากับอำนาจกฎเกณฑ์ของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ศุภผลนี้”
ทันใดนั้น เสียงชราภาพอันเฉยเมยเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “ด่านนี้ให้ความสนใจกับกฎแห่งชะตา หากกฎแห่งชะตาไม่ยอมรับ ต่อให้เจ้าบุกเข้ามาก็ไร้ประโยชน์ แต่หากกฎแห่งชะตาหนุนส่ง ย่อมบรรลุได้โดยง่าย”
มวลหมอกม้วนวน ณ ตีนเขา ในขณะที่ชายชราผู้หนึ่งเดินออกมา
รูปร่างของเขาผอมซูบ สวมทับด้วยชุดผ้ากระสอบ เส้นผมยาวสีขาวถูกขมวดเป็นมวย
สิ่งที่เตะตาเป็นพิเศษคือ เขาแบกกล่องดาบสีแดงเลือดไว้ใบหนึ่ง!
เมื่อเขาปรากฏกาย แรงกดดันอันใหญ่ยิ่งที่มองไม่เห็นก็แพร่ออก
ดวงตาของซูอี้หรี่ลง
สัตว์ประหลาดเฒ่าในขอบเขตไร้ขีดจำกัด!
ครานี้ นกกระจอกวิญญาณก็กลับปฏิกิริยา ก่อนที่มันจะกล่าวอย่างนอบน้อม “ผู้ขัดเกลา นี่คือผู้บัญชาการสักการะที่สามซึ่งติดตามรับใช้ท่านมหาเทพหงเมื่อนานมาแล้ว และยังเป็นนักดาบอันแข็งแกร่งที่สุดภายใต้การปกครองของท่านมหาเทพหงอีกด้วย!”
หลังจากเว้นช่วงเล็กน้อย มันก็กล่าวต่อ “ด่านที่สี่นี้อยู่ในการอารักขาของใต้เท้าผู้บัญชาการสักการะที่สาม”
เมื่อได้ฟังเช่นนั้น ซูอี้ก็เข้าใจทันที
เขาจำได้ว่ายามที่ได้รับวัตถุศักดิ์สิทธิ์ฮุ่นตุ้น ‘เถาวัลย์มารดาฟ้าดิน’ ในด่านที่สองก่อนหน้านี้ นกกระจอกวิญญาณเคยกล่าวอยู่ว่าหากผู้บัญชาการสักการะที่สามผู้นี้เห็นเข้า ดวงตาคงแดงฉานด้วยละโมภเสียจนคิดฆ่าคนเพื่อชิงทรัพย์เป็นแน่
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านกกระจอกวิญญาณกำลังเอ่ยถึงผู้เฒ่าสวมชุดผ้ากระสอบผู้นี้
“นกกระจอกวิญญาณ เจ้าถอยไปก่อน”
ผู้เฒ่าสวมชุดผ้ากระสอบกล่าวอย่างราบเรียบ แววตาของเขาราวกับผู้ที่ผ่านกาลเวลามานาน
“รับทราบ”
นกกระจอกวิญญาณถอยไปด้านข้างอย่างเชื่อฟัง
สายตาของผู้เฒ่าสวมชุดผ้ากระสอบมองมายังซูอี้
ยามนั้น ความรู้สึกเหมือนถูกคมดาบเย็นเฉียบจ่อเชือดคอหอยทำให้ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ผู้ขัดเกลา นับแต่ยามที่เจ้าเข้ามาในเขตต้องห้ามเซียนอับโชค ข้าก็รู้ถึงทุกการเคลื่อนไหวของเจ้าแล้ว”
ผู้เฒ่าสวมชุดผ้ากระสอบกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา “ข้าจะไม่ปิดบังว่าไม่มีความรู้สึกดี ๆ ต่อเจ้าเลย และหากไม่ติดกฎเกณฑ์ที่ท่านมหาเทพหงบัญญัติไว้ ข้าคงออกไปไล่ฆ่าเจ้าแล้ว”
นกกระจอกวิญญาณที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อยพลันผงะอึ้งราวกับไม่อยากเชื่อ
ซูอี้ถอนใจกล่าว “เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?”
“เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้เหตุผลหรอก”
ผู้เฒ่าสวมชุดผ้ากระสอบกล่าวด้วยสีหน้าเฉยเมย “ยามนี้ข้าจะให้เจ้าเลือกสองทาง”
“หนึ่ง หากเจ้าหยุดดาบของข้าภายในสามกระบวนได้ เจ้าก็จะผ่านด่านนี้และเข้าไปเลือกมรดกวิถีในภูเขาศุภผลนี้ได้”
ทันทีที่วาจาเหล่านี้ดังออก นกกระจอกวิญญาณก็อดกล่าวมิได้ “ใต้เท้าผู้บัญชาการสักการะ… นี่จะไม่ยุติธรรมไปหน่อยหรือขอรับ?”
ผู้เฒ่าสวมชุดผ้ากระสอบเหลือบมองนกกระจอกวิญญาณอย่างเย็นชา “ข้าถูกสั่งให้อยู่ที่นี่และทำตามกฎ จะไม่ยุติธรรมได้เช่นไร? คิดจริง ๆ หรือว่ามรดกวิถีที่ท่านมหาเทพหงและคณะของท่านทิ้งไว้ ผู้ขัดเกลาคนใดก็มารับสืบทอดไปได้?”
นกกระจอกวิญญาณฟังแล้วก็ก้มหัว ไม่กล้าสบสายตากับผู้เฒ่าสวมชุดผ้ากระสอบอีก
และแม้ว่าซูอี้จะไม่อาจทราบได้ว่าไยชายชราผู้นี้จึงคิดร้ายกับเขานัก แต่เขาจะไม่รู้เช่นไรว่าตนกำลังถูกเลือกปฏิบัติ?
“นกยูงเฒ่า ทำตามกฎน่ะดีแล้ว แต่ใช้อารมณ์เป็นใหญ่ไม่ดีเลยนะ”
หนึ่งเสียงรำพันเบา ๆ
หนึ่งบุรุษชุดดำผู้มีจอนผมหงอกขาวปรากฏกายขึ้นจากอากาศธาตุ
นกกระจอกวิญญาณกล่าวขึ้นทันที “ผู้ขัดเกลา นี่คือผู้บัญชาการสักการะที่สอง และการปฏิบัติอันไม่เหมาะสมที่เจ้าได้รับยามอยู่ในเขตต้องห้ามเซียนอับโชคก่อนหน้านี้ก็ถูกคลี่คลายโดยคำสั่งของผู้บัญชาการสักการะที่สอง”
ซูอี้เข้าใจทันที
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเรื่องการปฏิบัติต่อเขา ผู้บัญชาการสักการะที่สองและสามมีข้อขัดแย้งกันอยู่!
“เป็นคน หาใช่ผักหญ้า หาไร้ใจไม่ แม้นกกระจอกวิญญาณนี้จะแปรเปลี่ยนจากอำนาจกฎเกณฑ์ แต่นานมาแล้ว มันก็เลียนแบบเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาแห่งผู้ครองสติ และมีจิตวิญญาณของตนเองเล็กน้อย”
ผู้เฒ่าสวมชุดผ้ากระสอบดูเฉยชาเยี่ยงก่อน “ยิ่งกว่านั้น ข้ายังยอมรับออกมาแล้วว่าหามีความรู้สึกดี ๆ ต่อผู้ขัดเกลาผู้นี้ไว้ และหาได้ซ่อนความไม่ยอมรับและเจตนาร้ายไว้ไม่”
“แต่ก็เพราะข้าทำตามกฎของท่านมหาเทพหงจึงมิได้กระทำการใดล้ำเส้น หาไม่ เจ้าคิดว่าเขาจะรอดมาถึงที่นี่ได้หรือ?”
คิ้วของชายชุดดำขมวดเข้าหากัน “เจ้าควรทราบว่าเขาคือผู้ขัดเกลาคนแรกที่ผ่านด่านที่สามนับแต่บรรพกาลนะ!”
“และยังเป็นคนแรกที่มาถึงหน้าภูเขาศุภผลนี้นับแต่บรรพกาลด้วยเช่นกัน!”
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ เขาก็จ้องมองผู้เฒ่าสวมชุดผ้ากระสอบด้วยดวงตาเฉยชา ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำ “หรือเพราะแค่เรื่องที่มหาเทพมืดมิดไม่ได้มาช่วยรบกับหายนะลึกลับ เจ้าจะคิดอยากระบายความแค้นเคืองของตนใส่ผู้ขัดเกลาซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์?”
น้ำเสียงของเขาเจือโทสะ
และเมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูอี้ก็อดผงะไปมิได้ เรื่องนี้เกี่ยวกับมหาเทพมืดมิดได้อย่างไร?
ผู้เฒ่าสวมชุดผ้ากระสอบกล่าวด้วยสีหน้าเยือกเย็น “เรื่องแบบนี้ เจ้าและข้าเถียงกันมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว และยังตกลงกันมิได้เสียที ดังนั้น… ทำตามกฎเสียดีกว่า”
กล่าวจบ เขาก็ชี้ห่างออกไปมิไกล ดวงตาจับจ้องชายชุดดำอย่างเฉยเมย “ระดับนี้ข้าอารักขา ส่วนเจ้าถอยไป หาไม่จะเป็นการฝืนกฎ!”
“เจ้า…”
เห็นได้ชัดว่าชายชุดดำรำคาญใจมาก และกำลังจะพูดบางอย่าง
ผู้เฒ่าสวมชุดผ้ากระสอบหันไปกล่าวกับซูอี้ “ข้าพูดเกี่ยวกับทางเลือกแรกไปแล้ว ทางเลือกที่สองคือให้เจ้าถอยไปเองแล้วเลือกเปลี่ยนตนเป็นผู้รักษาวิถี พิทักษ์เขตหวงห้ามสมุทรฮุ่นตุ้น แล้วเจ้าก็จะมิต้องกังวลว่าจะเกิดอุบัติเหตุใดอีก”
ชายชุดดำกล่าวอย่างโกรธจัด “นกยูงเฒ่า เจ้าคู่ควรกับหัวใจวิถีของเจ้าหรือ! ลืมแล้วหรือไรว่าเหตุใดท่านมหาเทพหงจึงให้เจ้าอยู่ที่นี่แต่แรก นั่นเป็นเพราะเจ้าคือนักดาบที่จะไม่มีวันปล่อยให้หัวใจวิถีมีมลทิน กระทำการน่าอัปยศ! แต่เจ้าในยามนี้กลับ…”
ไม่รีรอให้เขาพูดจบ ผู้เฒ่าสวมชุดผ้ากระสอบก็กล่าวขัด “หัวใจวิถีของข้าเปื้อนมลทิน ข้าย่อมรู้แก่ใจ แต่หากเจ้าเข้าแทรกแซงการเลื่อนระดับของผู้ขัดเกลาล่ะก็ เจ้าจะเข้ามายุ่งและขัดต่อกฎของท่านมหาเทพหง”
ชายชุดดำโกรธเสียจนแทบม้วนแขนเสื้อโจมตีไอ้แก่ดื้อดึงผู้นี้เสียเต็มที
ทว่าสุดท้ายเขาก็รามือ
“ทำให้เจ้าหัวเราะเสียแล้ว”
ชายชุดดำหันศีรษะมากล่าวกับซูอี้พลางถอนใจยาวด้วยสีหน้าจนใจ “นกยูงเฒ่าผู้นี้เคยมีหนี้แค้นในใจกับผู้ครองวัฏสงสารมาก่อน”
หลังจากเว้นช่วงเล็กน้อย เขาก็กล่าวขึ้นอย่างเคร่งขรึมด้วยสีหน้าจริงจัง “แต่อย่าห่วงไป ไม่ว่าเจ้าจะเลือกข้อใด ข้ารับปากว่าจะไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับเจ้า”
วาจานั้นกังวานชัดเจน
ผู้เฒ่าสวมชุดผ้ากระสอบซึ่งอยู่ไกลออกไปขมวดคิ้ว แต่ท้ายที่สุดก็หาได้กล่าววาจาใดไม่
ทว่าซูอี้กลับหัวเราะพลางกล่าวอย่างเลื่อนลอย “ข้าจะมิฝากความเป็นความตายของข้าไว้ในมือผู้อื่นหรอก”
ชายชุดดำอึ้งไป ก่อนจะแย้มยิ้มอย่างขมขื่น ถือวาจาเหล่านี้เป็นโทสะโดยหาตั้งใจไม่
“เจ้าเลือกเลย”
ผู้เฒ่าสวมชุดผ้ากระสอบกล่าวอย่างเฉยชา
เขาแบกกล่องดาบสีเลือดยืนลำพัง บรรยากาศรอบกายของเขาเย็นชาแฝงเจตนามุ่งร้าย หาได้ซุกซ่อนความไม่ยอมรับและเย็นชาต่อซูอี้ไม่
บรรยากาศเงียบขรึมกดดัน
นกกระจอกวิญญาณเงียบไป มันดูละอาย ก้มหัวไม่กล้ามองซูอี้อีก
ซูอี้ปัดอาภรณ์ของเขาด้วยท่าทีเรียบเฉย “ข้าไม่ต้องการทั้งสองตัวเลือก”
เขาหรือจะสนใจมรดกวิถีในภูเขาศักดิ์สิทธิ์ศุภผลนั่น?
ทั้งชายชุดดำและนกกระจอกวิญญาณต่างผงะอึ้ง
แม้แต่ผู้เฒ่าสวมชุดผ้ากระสอบก็แปลกใจเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “เจ้าคิดยอมแพ้แล้วออกจากเขตต้องห้ามเซียนอับโชคหรือไร?”
ซูอี้ส่ายหน้ากล่าว “ไม่ ข้าจะไปเขตหวงห้ามสมุทรฮุ่นตุ้น นกกระจอกวิญญาณเคยกล่าวไว้ว่า ไม่ว่าผู้ขัดเกลาเหล่านั้นจะผ่านระดับหรือไม่ ก็สามารถไปฝึกฝนยังเขตหวงห้ามสมุทรฮุ่นตุ้นได้ทั้งสิ้น ข้าไม่รู้ว่านี่ก็นับหรือไม่?”
นกกระจอกวิญญาณเหลือบมองผู้เฒ่าสวมชุดผ้ากระสอบอย่างเหนื่อยหน่าย และกล่าวเสียงหนักแน่นว่า “นับ! เพราะจากกฎของท่านมหาเทพหง เมื่อผ่านด่านมาถึงระดับหนึ่งก็สามารถไปฝึกฝนที่เขตหวงห้ามสมุทรฮุ่นตุ้นได้แล้ว!”
“เจ้าว่าเช่นไร?”
ซูอี้มองผู้เฒ่าสวมชุดผ้ากระสอบ
ผู้เฒ่าสวมชุดผ้ากระสอบกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “ตามกฎเกณฑ์การผ่านด่าน ผู้ขัดเกลาที่เลือกหนีโดยไม่สู้จะถูกริบโอกาสใด ๆ ที่ได้รับมา หรือก็คือหากเจ้ายอมแพ้ยามนี้ รางวัลทุกสิ่งที่เจ้าเคยได้รับจะถูกริบคืน!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซูอี้ตกตะลึงไปชั่วครู่ ก่อนจะหันไปมองนกกระจอกวิญญาณ “จริงหรือ?”
นกกระจอกวิญญาณพยักหน้าอย่างยากลำบาก
ชายชุดดำถอนใจยาว ก่อนจะกล่าวว่า “สหายเต๋า คงดีกว่าหากเจ้าจะเลือกผ่านด่านนะ ต่อให้เจ้าพ่าย ด้วยความสำเร็จมหาวิถีก่อนหน้านี้ของเจ้า เจ้าก็สามารถไปฝึกฝนในเขตหวงห้ามสมุทรฮุ่นตุ้นได้แล้ว”
เขาละอายเกินกว่าจะเผชิญหน้าซูอี้เล็กน้อย
ซูอี้แย้มยิ้ม
ในที่สุดเขาก็เข้าใจ ว่าหากต้องการไปฝึกฝนยังเขตหวงห้ามสมุทรฮุ่นตุ้น เขาต้องตัดสินใจเลือกเสียก่อน
“ข้าไม่สนใจมรดกวิถีเหล่านั้น แต่ยามนี้ ดูเหมือนข้าคงเลือกได้เพียงเท่านี้”
ซูอี้กระซิบ
กล่าวจบ เขาก็หันไปกล่าวกับผู้เฒ่าสวมชุดผ้ากระสอบ “ไม่จำเป็นต้องจบเพียงสามกระบวนหรอก พวกเรามาต่อสู้ชี้วัดแพ้ชนะให้ขาดกันไปเลยดีกว่า”
ชายชุดดำประหลาดใจ
นกกระจอกวิญญาณเองก็เบิกตากว้าง
จักรพรรดิในขอบเขตสานพันธะลึกล้ำคิดประลองตัดสินแพ้ชนะกับราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัด?
นี่มันบ้าบิ่นเพียงใดกัน!!!
ผู้เฒ่าสวมชุดผ้ากระสอบตะลึงนิ่งไปเนิ่นนาน ก่อนจะพยักหน้าน้อย ๆ “ความกล้านี้น่ายกย่อง”
กล้าหาญจนน่ายกย่อง?
เมื่อได้ยินคำประเมินเช่นนี้ ซูอี้ก็อดหัวเราะมิได้ ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อเดินไปด้านหน้า
เขาคร้านเกินกว่าจะมากความ
ตู้ม!
พลังมหาวิถีทั่วร่างคำรามก้อง ภาวะดาบไร้ใดเทียบเจือด้วยเคล็ดเวียนวัฏสงสารแผ่ทั่วฟ้าดิน
กิริยาดุดันและอำนาจกวนป่วนทั่วทศทิศ
สะกดทุกสายตา!