บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1216: เบิกม่านกาลเวลา
ตอนที่ 1216: เบิกม่านกาลเวลา
ซูอี้จากไปแล้ว
ทว่าทุกคนในบริเวณหุบเหวมโหฬารยังมิอาจคืนสติได้เนิ่นนาน
ทันใดนั้น ลู่เหยียนก็ถอนหายใจยาว ดวงตาของเขาทอประกายแรงกล้าขึ้นทีละนิด “ยุคสมัย… เปลี่ยนไปแล้ว!”
เป็นเพียงคำสี่พยางค์ แต่กลับหนักหนานับพันจิน ปลุกเหล่าผู้รักษาวิถีขึ้นจากภวังค์
พวกเขาทั้งหลายต่างเผชิญกับมรสุมมานาน และหลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย พวกเขาก็เข้าใจความหมายของลู่เหยียน
สำหรับภูมิดาราฟ้าดินทั้งหมด การปะทุของหายนะลึกลับนั่นก็เหมือนกับมหาคลื่นยักษ์ถล่ม
ในกาลก่อนอันรุ่งเรืองเจิดจรัส ตัวตนในตำนานได้ก่อกำเนิดขึ้นมากมาย ภูมิดาราฟ้าดินยังคงเป็นหนึ่งในสี่แดนบรรพชนต้นกำเนิดหมื่นวิถีในจักรดาราตงเสวียน!
มิอาจทราบได้ว่าผู้แข็งแกร่งจากจักรดารามากมายเพียงใดที่แห่กันมาหาราวกับผู้แสวงบุญ!
และหลังจากหายนะลึกลับนั่นบังเกิด กฎของภูมิดาราฟ้าดินก็พังทลาย ตัวตนในตำนานแห่งโลกหล้าล่มสลาย กระทั่งประวัติศาสตร์อันรุ่งเรืองก็ถูกลบสิ้น
จวบจนยามนี้ ภูมิดาราฟ้าดินอันยิ่งใหญ่ก็ถูกลดขั้นเหลือเพียงปิตุภูมิห้วงดารา จึงไม่มีผู้ใดในจักรดาราตงเสวียนคิดสนใจ
ไม่เพียงการฝึกฝนถอยหลังลงคลอง กระทั่งวิถีสู่สวรรค์ยังถูกสะบั้นขาด มิบังเกิดราชันแห่งภูมิคนใหม่ในโลกหล้าอีก!
โลกหล้าพลิกผัน ประวัติศาสตร์เปลี่ยนแปรเช่นนั้น
ทว่ายามนี้ เมื่อหอกศึกถูกทำลายลง หมายความว่าม่านแห่งอดีตถูกลดลง
ม่านแห่งยุคสมัยใหม่ถูกเบิกขึ้น!
นี่มิใช่การกล่าวเกินไปแต่อย่างใด
ตลอดมา ผู้รักษาวิถีในขอบเขตราชันแห่งภูมิมากมายถือกำเนิดขึ้นในเขตต้องห้ามเซียนอับโชค ทว่าเนื่องด้วยกฎของภูมิดาราฟ้าดินถูกทำลาย มีเพียงสมุทรฮุ่นตุ้นเท่านั้นที่ราชันแห่งภูมิเหล่านี้ยังสามารถฝึกฝนต่อได้
เช่นเดียวกันกับที่มีเพียงพลังของสมุทรฮุ่นตุ้นเท่านั้นที่กั้นขวางหอกศึกมิให้หนีไปได้
ทว่ายามนี้ หอกศึกนั่นกลับถูกทำลายลง อำนาจของสมุทรฮุ่นตุ้นในยามนี้จึงสามารถฟื้นตัวและซ่อมแซมกฎสวรรค์ที่พังทลายลงได้!
และในช่วงเวลาต่อจากนี้ เมื่ออำนาจต้นกำเนิดจักรวาลของภูมิดาราฟ้าดินหวนคืนสู่โลกหล้า มันก็จะปลุกเร้าโลกแห่งผู้ฝึกตนทีละน้อย
ในภายหน้า วิถีสู่สวรรค์ก็จะถูกรื้อฟื้น!
คลื่นแห่งกาลเวลาย่อมแปรเปลี่ยนตามไป
และทุกสิ่งเหล่านี้ล้วนเกี่ยวพันกับซูอี้
ผีเสื้อกระพือปีกแผ่วเบา ทว่าความเปลี่ยนแปลงที่อุบัตินั้นมากพอจะเบิกม่านแห่งยุคสมัยใหม่ได้!
“ไม่ใช่ว่าในอนาคต เรา… จะออกจากเขตต้องห้ามเซียนอับโชค คืนสู่โลกหล้าได้หรือ?”
ชายในชุดนักรบกล่าวอย่างตื่นเต้น
ผู้รักษาวิถีคนอื่น ๆ ต่างก็ตื่นตัวเช่นกัน
พวกเขาติดค้างที่นี่แสนนาน ใครเล่าจะไม่นึกอยากออกจากเขตหวงห้ามแสนร้ายกาจนี้ไปสู่โลกกว้างบ้าง?
“บางทีในช่วงสั้น ๆ นี้อาจทำมิได้ แต่ในภายหน้าได้”
ลู่เหยียนตอบกลับอย่างชัดเจน
เมื่อนานมาแล้ว เขาและข่งเซิ่นรับคำสั่งของท่านมหาเทพหง นำเหล่าเพชฌฆาตและผู้พิทักษ์มาปกปักษ์อยู่ในเขตต้องห้ามเซียนอับโชค
ประการแรกคือเพื่อเฟ้นหาผู้ขัดเกลามาสืบมรดกวิถี
ประการที่สองคืออารักขาแดนหวงห้ามนี้ มิให้หอกศึกหนีไปได้
ยามนี้ การปรากฏตัวของซูอี้ได้กลายเป็นผู้ฝึกตนคนแรกที่ผ่านเส้นทางบททดสอบในรวดเดียว
และยังทำลายหอกศึกลงอีกด้วย!
ทั้งหมดนี้ได้เปลี่ยนรูปแบบของเขตต้องห้ามเซียนอับโชคไปเสียสิ้น และสำหรับลู่เหยียน มันก็เท่ากับเติมเต็มความปรารถนาของท่านมหาเทพหง
ในภายหน้า ย่อมไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ที่นี่ต่อ!
นี่ทำให้ลู่เหยียนยากที่จะคุมหัวใจให้สงบได้
เขา… มีหรือจะไม่อยากออกไป?
“ขอบังอาจถามใต้เท้าผู้บัญชาการสักการะ สหายเต๋าผู้นั้นคือใครหรือ?”
ยามนี้เอง สตรีในชุดหลากสีนามว่าหมิงเหออดถามขึ้นอยากนอบน้อมมิได้
ผู้รักษาวิถีคนอื่น ๆ พลันเงี่ยหูฟัง
ความใคร่รู้อันไม่อาจดับได้พุ่งขึ้นมาในใจของพวกเขาเช่นกัน
“เขา…”
ในใจของลู่เหยียนปรากฏสารพัดภาพวีรกรรมที่ซูอี้สร้างนับแต่เข้ามายังเขตต้องห้ามเซียนอับโชค และมิอาจสรรหาคำใดมาบรรยายได้ชั่วขณะ
ครู่ต่อมา สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงให้เกียรติยิ่งกว่าหนใด
“เขามีนามว่าซูอี้ เป็นผู้ขัดเกลาผู้พิเศษที่สุดชั่วกาลนาน”
“จักรพรรดิผู้เดียวที่ผ่านเส้นทางบททดสอบ”
“นักดาบที่ท่านมหาเทพหงเรียกขานเป็นสหายเต๋า”
“แล้วยังเป็น…”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ลู่เหยียนก็ชะงักไป ดวงตาของเขาเต็มเปี่ยมด้วยอารมณ์ ก่อนจะพูดจาชัดเจนทุกถ้อยคำ “เขายังปิดฉากม่านแห่งยุคเก่า เบิกม่านกาลเวลา… สร้างตำนานแห่งยุคใหม่!”
ผู้รักษาวิถีทั้งสิบสามล้วนมองหน้ากัน ต่างคนต่างไร้วาจา
เป็นเพียงหนึ่งจักรพรรดิ แต่กลับเป็นที่ยกย่องยิ่งของใต้เท้าผู้บัญชาการสักการะ เท่านี้เพียงพอแล้วที่จะแบกรับความหนักอึ้งของคำว่าตำนานจริงแท้!
…
ในเกาะร้างเล็กจ้อยที่มีอาณาเขตเพียงสิบจั้ง
หลังจากซูอี้หวนกลับมา เขาก็ไพล่มือไว้เบื้องหลัง ขณะเงยหน้ามองขึ้นไปในนภา
อาภรณ์เขียวสะบัดโบกท่ามกลางลมทะเล
ด้วยเวลาที่เคลื่อนผ่าน เมฆาดำทมิฬดุจหมึกก็ปรากฏขึ้นอย่างไร้เสียง ณ ส่วนลึกแห่งท้องนภา ค่อย ๆ บิดเป็นเกลียวเยี่ยงวังวนวารี
บรรยากาศทั่วบริเวณสมุทรพลันตกสู่ความเงียบสงัดเยี่ยงป่าช้า
“ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน มิคิดปล่อยข้า คนแซ่ซูรอดชีวิตไปได้เลย”
ซูอี้แย้มยิ้ม ยกไหสุราขึ้นจิบ
ตลอดชีวิตแห่งการฝึกฝนของเขา ไม่ว่าจะก้าวข้ามขอบเขตมหาวิถีใด บททดสอบจากสวรรค์ที่เขาได้เผชิญจะแตกต่างกับผู้ฝึกตนคนอื่นโดยสิ้นเชิงเสมอ
อำนาจทำลายล้างเยี่ยงสวรรค์สั่งตาย มิคิดเหลือหวังรอดชีวิต
ด้วยประสบการณ์ในอดีตชาติของซูอี้ เขามิเคยเห็นหายนะที่ร้ายกาจและแปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อน
ซูอี้แน่ใจว่าหายนะประหลาดของเขานี้ ไม่มีทางที่ผู้ฝึกตนคนใดในโลกหล้าจะผ่านไปได้
เขาเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
เขากระทั่งสงสัยว่าหายนะประหลาดนี้สร้างมาเพื่อกำจัดเขาด้วยรับไม่ได้!
ทว่า แม้หายนะเช่นนี้จะแสนประหลาด แต่ซูอี้ก็ชาชินกับมันแล้ว และไม่ได้ลนลาน
“การมีอยู่ของดาบเก้าคุมขังมีทั้งเพื่อสะกดและผนึกกรรมวิถีอดีตชาติ แต่ว่า… ไม่ใช่ว่าก็มีไว้เพื่อสลายหายนะประหลาดที่ข้าพบพานระหว่างทางด้วยหรือ?”
“ยิ่งเป็นเช่นนี้ ยิ่งพิสูจน์ได้ว่าวิถีดาบที่ข้าขวนขวายในชาตินี้ถูกต้องแล้ว หาไม่ เหตุใดมันจึงนำไปสู่หายนะมากมายได้เพียงนี้?”
“ในภายหน้า ยามที่วิถีเต๋าของข้าสามารถต่อกรกับหายนะประหลาดนี้ได้ บางที… ข้าคงสามารถควบคุมดาบเก้าคุมขังได้จริง ๆ เสียที…”
ดวงตาของซูอี้ลึกล้ำ หัวใจไร้รอยกระเพื่อม
หายนะประหลาดกำลังมา
และซูอี้ก็เตรียมการมาพร้อมแล้ว
หกเดือนมานี้ เขาเก็บตัวฝึกฝน เรียบเรียงกรรมวิถีสามชาติ และเตรียมหัวใจวิถีของเขา
กระทั่งยามอยู่เหนือสมุทรฮุ่นตุ้นนี้ เขาก็ทำความเข้าใจพลังที่มาแห่งภูมิดาราฟ้าดิน และหลอมรวมการฝึกฝนของเขาเข้ากับกฎภูมิดาราฟ้าดินเรียบร้อย
เพียงเท่านี้ก็กลบข้อผิดพลาดของทัศนาจารย์ยามอยู่ในขอบเขตนี้ได้แล้ว!
“สหายเต๋ากำลังจะข้ามขอบเขต ต้องการให้ข้าพิทักษ์ให้หรือไม่?”
ลู่เหยียนและกลุ่มผู้รักษาวิถีซึ่งอยู่ไกลออกไปบนท้องสมุทรพุ่งทะยานเข้ามา
ลู่เหยียนกล่าวขึ้นพร้อมกับยิ้ม
ใต้เท้าผู้บัญชาการสักการะนี้มีสีหน้านอบน้อม และการวางตัวก็แตกต่างจากในอดีตอย่างเห็นได้ชัด
เบื้องหลังเขา ราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัดทั้งสี่คนและตัวตนในขอบเขตคืนสู่สามัญทั้งเก้าเองก็มองมายังซูอี้ด้วยสีหน้าท่าทางเคารพให้เกียรติ
“ไม่ต้องหรอก”
ซูอี้ส่ายหน้ายิ้ม ๆ
“งั้นข้าจะขอชมพิธีที่นี่ หวังว่าสหายเต๋าจะเข้าสู่ขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยง วิถีสู่สวรรค์ได้อย่างราบรื่น!”
ลู่เหยียนหัวเราะ
ทันใดนั้น เหล่าผู้รักษาวิถีล้วนกล่าวขึ้นอย่างเคร่งขรึม “หวังว่าสหายเต๋าจะเข้าสู่ขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยง วิถีสู่สวรรค์ได้อย่างราบรื่น!”
สุรเสียงก้องกังวานสะท้อนทั่วโลกหล้า
เปรี้ยง!
เหตุการณ์นี้ทำให้หัวใจของทุกคนกระตุกวูบ
กระทั่งลู่เหยียนผู้อยู่ในขอบเขตไร้ขีดจำกัดยังอดประหลาดใจมิได้ ช่างเป็นหายนะอสงไขยแท้เที่ยงอันร้ายกาจนัก!
หากไม่ได้ประสบด้วยตา คงมิอาจจินตนาการได้ว่าจักรพรรดิในขอบเขตสานพันธะลึกล้ำคนใดจะต้องเผชิญหายนะเช่นนี้ยามข้ามผ่านขอบเขต
มันพิเศษเฉพาะแน่แท้
กระทั่งยุคแรกเริ่มยังมิเคยมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น!
มีเพียงซูอี้ที่ดูเฉยเมยเช่นกาลก่อน
“ทำไมกัน… ท้ายที่สุดข้าก็ช้าไปก้าวหนึ่ง”
หนึ่งเสียงบ่นอย่างรำคาญใจแว่วมา
ไกลออกไปบนผืนสมุทร ชายชราผอมแห้งผู้หนึ่งแบกกล่องดาบสีเลือดมุ่งหน้ามาทางนี้พร้อม ๆ กับจักรพรรดิมารสวรรค์และเมิ่งฉางอวิ๋น
ผู้พูดคือจักรพรรดิมารสวรรค์
อาภรณ์ของนางแดงสดดุจเพลิง รูปลักษณ์งดงามตรึงตาใจ กิริยาสะกดทุกสรรพสิ่ง สำแดงอำนาจราชันแห่งภูมิในขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยง
ซูอี้ชะงักไป ก่อนจะกล่าวว่า “ไยจึงพูดเช่นนั้นเล่า?”
จักรพรรดิมารสวรรค์ถอนใจเบา ๆ “เดิมข้าคิดว่าหากเข้าสู่ขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงก่อนก้าวหนึ่ง ข้าคงสามารถใช้โอกาสนี้รังแกเจ้า ซูเสวียนจวินได้บ้าง ทว่ายามนี้ดูเหมือนจะ… ไร้หวังเสียแล้ว…”
นางเม้มปากสีกุหลาบของนาง ดูไม่เต็มใจอย่างมาก
ซูอี้นิ่งทื่อไป ก่อนจะถลึงตามองจักรพรรดิมารสวรรค์อย่างขุ่นเคือง นางมารผู้นี้ วัน ๆ เอาแต่คิดเรื่องอันใด!
“นกยูงเฒ่า เจ้า… คืนสติแล้วหรือ!?”
ขณะเดียวกัน ลู่เหยียนก็ประหลาดใจด้วยความปรีดา
ครึ่งปีมานี้ ข่งเซิ่นเสียสติบ้าคลั่ง ทำให้ลู่เหยียนกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่นาน
ทว่ายามนี้ ข่งเซิ่นกลับปรากฏกายขึ้นพร้อมจักรพรรดิมารสวรรค์และเมิ่งฉางอวิ๋น และจากปราณกับกิริยาของเขา มันแตกต่างจากกาลก่อนอย่างเห็นได้ชัด!
ข่งเซิ่นแค่นเสียงอย่างไร้อารมณ์
จากนั้นเขาก็พลันหันไปก้มหัวคำนับซูอี้ “นักดาบข่งเซิ่นขอขอบคุณสหายเต๋าที่ช่วยฟื้นฟูวิถี!”
วาจานั้นนอบน้อมจริงจัง ดุจผู้ศรัทธาแสวงบุญต่อสิ่งอันศรัทธา!
ภาพนี้ทำให้ทุกคนล้วนประหลาดใจ
มีเพียงลู่เหยียนที่เผยรอยยิ้มโล่งใจ ในที่สุดเจ้านกยูงเฒ่าผู้ดื้อรั้นหัวแข็งก็คืนสติ!
ซูอี้พยักหน้าน้อย ๆ “สำหรับเจ้ามันคือการฟื้นฟูวิถี แต่สำหรับข้าเป็นเพียงการชี้ทางเล็กน้อย ต่อให้ยามนี้เจ้าจะรู้สึกตื้นตัน แต่ก็อย่าได้เสียกิริยา เรานักดาบควรมีภาพลักษณ์ของนักดาบ”
ร่างของข่งเซิ่นชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะยืดหลังตรงพลางกุมกำปั้น “คนแซ่ข่งจะจดจำไว้”
ยามนี้ เมิ่งฉางอวิ๋นรีบกล่าว “ใต้เท้า หายนะใหญ่จะมาแล้ว โปรดระวังด้วย ตาเฒ่าผู้น้อยเตรียมสุราไว้แล้ว ขอเพียงรอให้ท่านข้ามขอบเขต ข้าก็จะฉลองให้ท่านขอรับ!”
ราชันแห่งภูมิในขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงซึ่งยอมจำนนต่อซูอี้มีรอยยิ้มถ่อมตนจริงใจบนใบหน้า
ซูอี้อดขำไม่ได้ เจ้าแก่นี่มิลืมหาโอกาสประจบประแจงเลยจริง ๆ!
ตู้ม!
ทันใดนั้น หายนะประหลาดซึ่งบ่มเพาะมาแสนนานปรากฏเหนือท้องนภาขึ้นในที่สุด
ยามอสนีบาตอันน่าหวาดหวั่นทะลวงลงมา ลู่เหยียน ข่งเซิ่นและคนอื่น ๆ ล้วนดูราวกับได้รับชมหายนะลึกลับกลับคืนสู่โลกหล้าอีกครั้ง
ไม่สิ มันแปลกประหลาดน่ากลัวเสียยิ่งกว่าหายนะลึกล้ำในกาลก่อนอีก!
ทุกคนล้วนพรั่นพรึง อารมณ์สั่นระรัวหยุดมิได้
หากมันสามารถทำให้ราชันแห่งภูมิเหล่านี้รู้สึอกสั่นขวัญแขวนได้ ก็คาดได้เลยว่าหายนะนี้น่าสะพรึงกลัวเพียงไร
ทว่า ซูอี้มิจำเป็นต้องกระทำการใด ๆ ทั้งสิ้น
ดาบเก้าคุมขังซึ่งเพิ่งอิ่มหนำปรากฏเงาหลอนขึ้น พุ่งทะยานจากไป
ยามนั้น ท้องนภาดูราวถูกแทงทะลุ
เมฆาทัณฑ์บิดวนคล้ายวังวารีสลายหาย
หนึ่งดาบทะลวงนภา ฟาดฟันแดนสรวง!