บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1255: อวสานอดีตกาล กลมายาว่างเปล่า
ตอนที่ 1255: อวสานอดีตกาล กลมายาว่างเปล่า
ภายในโถงทัณฑ์สวรรค์มีค่ายกลสังหารอันดับหนึ่งในเมืองสวรรค์เทพมายาตั้งอยู่
ตลอดกาลนานมา ชายชุดแดงสวมมงกุฎบงกชเคยคาดการณ์มันอยู่หลายหน
สรุปสุดท้ายก็คือ…
ค่ายกลนี้เพียงพอจะสังหารศัตรูทั้งมวลที่มิได้อยู่ในขอบเขตเซียน!
ทว่ายามนี้ เพียงไม่ถึงสองเค่อ ค่ายกลนี้กลับถูกทำลายลง
ยิ่งกว่านั้นยังถูกทำลายลงด้วยน้ำมือราชันแห่งภูมิในขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยง
สิ่งนี้ทำให้ชายชุดแดงสวมมงกุฎบงกชแทบตะลึงงัน หัวใจไม่อาจสงบลงได้เลย
“เจ้า…ทำได้เช่นไร?”
เขาอดถามมิได้
เขาอยากรู้และมิอาจทำความเข้าใจได้จริง ๆ
“เจ้าลองดูก็รู้เอง”
ซูอี้เดินออกมาจากในห้องโถง
บนร่างสูงใหญ่ของเขามีภาวะดาบพลุ่งพล่าน
ก่อนหน้านี้ เจตจำนงของค่ายกลสังหารจากภาพหมอกมงคลเคลื่อนสู่สรวงทั้งสามสิบหกเองก็ผลักดันการฝึกฝนของเขาอย่างไม่หยุดยั้งจากขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงขั้นต้น และในที่สุดก็เข้าสู่ขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงขั้นปลาย!
การฝึกฝนที่พุ่งทะยานเองก็ทำให้ความแข็งแกร่งของซูอี้แปรเปลี่ยนอย่างน่าอัศจรรย์ด้วยเช่นกัน
โดยเฉพาะในถ้ำโกลาหลมหาวิถีของเขา แสงเซียนในดินแดนดึกดำบรรพ์เป็นดั่งพฤกษาบรรพกาล และบนรากแห่งฟ้าดินก็มีร่องรอยต้นกำเนิดแห่งหมื่นวิถีจารึกไว้
รากแห่งฟ้าดินถือว่าเป็นรากฐานวิถีแห่งไตรภพสู่สวรรค์
ประตูสู่มารดาเร้นลับลึกลับซับซ้อน เทพกสิกรรมไร้มรณา คือรากแห่งฟ้าดิน
ราชันแห่งภูมิขอบเขตไร้ขีดจำกัดบางผู้อาจไม่สามารถสร้างรากแห่งฟ้าดินในถ้ำโกลาหลมหาวิถีของเขาก็ได้ ทว่ารากแห่งฟ้าดินของซูอี้ได้เริ่มสลักเคล็ดมหาวิถีของเขาเองแล้ว
นี่คือการแปรเปลี่ยนครั้งใหม่
มันหมายความว่า เมื่อการฝึกฝนของเขาพัฒนา เคล็ดมหาวิถีในรากแห่งฟ้าดินของเขาก็จะเติบโตเยี่ยงพฤกษา แผ่กิ่งผลิใบทะลวงสู่นภา!
และยามนี้ ด้วยการฝึกฝนที่เลื่อนขั้น ความแข็งแกร่งที่เพิ่มพูน จิตต่อสู้ของซูอี้ก็แรงกล้า ต้องการวัดความแข็งแกร่งของนักซ่อนกลผู้นี้!
“ช้าก่อน”
ร่างของชายชุดแดงสวมมงกุฎบงกชวูบไหวหลบไปไกลบนอากาศ ขมวดคิ้วกล่าว “เจ้าและข้ามีโอกาสได้พบพาน ไฉนมิร่วมมือแทนที่จะมาต่อสู้เข่นฆ่ากันเล่า?”
ซูอี้เมินวาจาของเขา หนึ่งดาบฟาดสู่อากาศ รุนแรงดุดันเยี่ยงอัสนี รวดเร็วเยี่ยงอสนีบาต
เปรี้ยง!
ร่างของชายชุดแดงสวมมงกุฎบงกชระเบิดเป็นมวลโลหิต
ทว่าอึดใจต่อมา ร่างของเขาก็ปรากฏขึ้นบนอากาศอีกฟากฝั่ง
เพียงแค่ว่า ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเต็มไปด้วยจิตสังหาร
“สุราฉลองไม่ดื่ม จะดื่มสุราลงทันฑ์ ไม่ต่างจากคนบ้านามเสิ่นมู่ยามก่อนเลย!”
เมื่อวาจาถูกกล่าว แขนเสื้อก็สะบัดโบก สิบนิ้วประทับตราฟาดเข้าใส่อากาศ
ตู้ม!
ดุจเทพเซียนตีกลองสวรรค์
สุญญะแหลกร้าว ทั่วฟ้าดินพลันตกสู่ค่ำคืนนิจนิรันดร์ ดวงดาราพร่างพรายประหนึ่งคบเพลิงแต่งแต้มทั่วนภา
ชายชุดแดงสวมมงกุฎบงกชแปรเปลี่ยนเป็นเทพมาร
สูงร้อยจั้ง ดวงตาเจิดจ้าดุจตะวันจันทรา สองขาเหยียบบนเมฆาทมิฬ ร่างดุจสำริดหลอม ผิวกายเปี่ยมเพลิงมารคุโชน
ในมือของเขามีง้าวสีขาวดุจหิมะเล่มหนึ่ง ปกคลุมด้วยแสงอสนีบาตแปลบปลาบ
ซูอี้พลันแปรสีหน้า
มิต้องสงสัยเลยว่านักซ่อนกลใช้เคล็ดวิชาหนึ่งเพื่อเล่นซ้ำภาพเก่าในอดีตกาลโดยใช้ตนเองเป็นตัวหลักของเหตุการณ์ดังกล่าว
เทพมารแข็งแกร่งทรงพลัง!
“ความมืดคือม่านคลุมร่างข้า ดวงดาราคือผู้ชี้ทางที่ข้าขับเคลื่อน!”
ในอากาศ ง้าวในมือนักซ่อนกลเคลื่อนเขย่า ลากหมู่ดาราบนผืนนภาฟาดฟันเข้าใส่ซูอี้
ซูอี้ทะยานสู่เวหา ฟาดฟันรุนแรง
ปราณดาบพุ่งทะยาน รัศมีแห่งวัฏสงสารวาดผ่านนภา ทลายหมู่ดวงดาราบนนภาลัย เข้าปะทะกับง้าวเล่มนั้น
เคร้ง!!!
อำนาจทำลายล้างน่าหวาดหวั่นแผ่กระจายระหว่างสองศาสตรา
ตาเปล่าก็เห็นได้ว่าด้วยการแผ่อำนาจเวียนวัฏสงสาร ม่านรัตติกาลมืดมิดพลันพังทลายไปเป็นบริเวณกว้าง และดวงดาราก็เคลื่อนลงแหลกสลายกลางอากาศ
ร่างของนักซ่อนกลซึ่งแปลงเป็นเทพมารซวนเซถอยไปหลายก้าว
“อวสานอดีตกาล? นี่… หรือจะเป็นพลังแห่งวัฏสงสาร!?”
ก่อนเขาจะทันมีปฏิกิริยา ซูอี้ก็ฟันดาบเข้าใส่เขาแล้ว
เปรี้ยง!
เพียงไม่กี่พริบตา ท้องนภามืดมิดแหลกสลายเช่นเดียวกับหมู่ดวงดารา
และนักซ่อนกลร่างสูงใหญ่เยี่ยงเทพมารก็แหลกสลายเยี่ยงฟองสบู่
ท่ามกลางพิรุณแสงโปรยปราย ทั่วฟ้าดินก็ฟื้นคืนกลับกลายเป็นเช่นกาลก่อน
บนอากาศไกลออกไป ร่างของนักซ่อนกลในอาภรณ์แดงและสวมมงกุฎบงกชปรากฏขึ้นอีกครั้ง
“เข้าใจแล้ว เป็นวัฏสงสารจริง ๆ!!”
นักซ่อนกลกระซิบด้วยนัยน์ตาน่าหวาดหวั่น “มิน่า เจ้าถึงทำลายทะเลครามสัญจร ขยี้อาวุธศักดิ์สิทธิ์อันสูญหายตลอดกาลนานได้ และกระทั่ง…กระทั่งเจตจำนงที่หลงเหลือในภาพหมอกมงคลเคลื่อนสู่สรวงยังมิอาจหยุดเจ้า…”
เขาเข้าใจแล้ว
มันสามารถอวสานอดีตกาล ทำลายอำนาจที่สูญหายล้มตายในอดีตได้!
“เพิ่งมาเข้าใจยามนี้ ไม่คิดว่าสายไปหน่อยหรือ?”
ซูอี้ฟาดฟันดาบโจมตีออกไปอีกครั้ง
แสงเงามืดทะมึนลึกลับแปรเปลี่ยนเป็นปราณดาบหกวิถีเวียนวัฏ ปกนภาบังตะวันราวกับจะฟาดฟันทั่วโลกหล้าเข้าสู่วัฏสงสาร!
“ไป!”
นักซ่อนกลตวาดลั่น
ตู้ม!
อึดใจต่อมา แดนสุขาวดีพลันอุบัติ แสงธรรมเจิดจรัสไพศาล วจีสวดสำนักฌานสนั่นลั่นเยี่ยงอัสนี
เหล่าพระคุณเจ้า โพธิสัตว์ ตัวตนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายต่างก้าวออกมา ร่างของพวกเขาพร่างพรายชัชวาล โจมตีซูอี้อย่างพร้อมเพรียง
ในขณะเดียวกัน นักซ่อนกลก็แปรเปลี่ยนเป็นหนึ่งพระพุทธย่างเหยียบลงบนแท่นบงกชสิบสองกลีบ รูปลักษณ์สำรวมเคร่งขรึม สองมือประกบ พุ่งเข้าโจมตีซูอี้
ภาพนี้ดูน่าหวาดหวั่นอย่างมิต้องสงสัย
เหมือนเช่นยามพระพุทธเจ้าออกปราบมวลมารทั่วโลกหล้า!
ซูอี้อดทอดถอนใจไม่ได้ว่ากฎเกณฑ์มหาวิถีที่นักซ่อนกลบรรลุนั้นน่าอัศจรรย์อย่างจริงแท้ สามารถสร้างอำนาจซึ่งสาบสูญไปในอดีตกาล ตีความแปรรูปร่างขึ้นมาสู่โลกหล้าใหม่ได้อีกครั้ง
ความจริงและความลวงเสริมสร้างกันและกัน!
นี่ไม่ใช่ภาพมายาว่างเปล่า แต่เป็นอำนาจที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ ดังนั้นจึงดูร้ายกาจ
เหมือนภาพที่เหล่าพุทธโพธิสัตว์เคลื่อนคล้อยตรงหน้าเหล่านี้เคยเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงมาก่อนชั่วกาลนาน ทว่ายามนี้มันถูกสร้างขึ้นใหม่ด้วยพลังของนักซ่อนกล
เมื่ออยู่ต่อหน้าหายนะเช่นนี้ แม้จะเปลี่ยนเป็นตัวตนในขอบเขตไร้ขีดจำกัดใด ๆ ในโลกหล้า ก็ย่อมยากจะต่อกรได้อยู่ดี!
ซูอี้ถามตนเองดูและได้คำตอบว่า หากเขาไม่ได้ถือครองเคล็ดเวียนวัฏสงสาร ลำพังความแข็งแกร่งของเขาคงยากจะปราบนักซ่อนกลลงได้!
การฝึกฝนของคนผู้นี้เกินคาดหยั่ง วิถีเต๋าที่เขาครอบครองพิสดารยิ่ง เป็นคู่ต่อสู้อันแข็งแกร่งที่สุดที่ซูอี้ได้พานพบนับแต่ฝึกฝนมาในชั่วชีวิตนี้
เพียงหนึ่งคำนึง ซูอี้ก็ฟาดดาบเข้าโจมตี
ปราณดาบพุ่งทะยานกู่คำราม ฉีกกระชากทั่วแดนสุขาวดี
เหล่าพระคุณเจ้า โพธิสัตว์ ตัวตนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายล้วนถูกอำนาจวัฏสงสารฉีกกระชากสลายหาย
ท้ายที่สุด พระพุทธเจ้าที่นักซ่อนกลจำแลงกายไปเป็นก็แหลกลาญ
ตู้ม!
ท้องนภาเต็มไปด้วยพิรุณแสง
บนอากาศ นักซ่อนกลในอาภรณ์แดงและสวมมงกุฎบงกชซวนเซถอยหลัง
เคล็ดวิชาประหลาดที่เขาใช้ถูกซูอี้ปราบลงสองครั้งติดกัน ทำให้ตัวเขาเองบาดเจ็บ ใบหน้าหล่อเหลาซีดลงสามส่วน!
“จากพันธสัญญาแห่งเทพ ไม่มีผู้ใดในโลกสามารถเวียนวัฏซ้ำได้ ไฉนเจ้าจึงควบคุมวิถีนี้ได้เล่า?”
นักซ่อนกลไม่อาจสงบใจลงได้ ทั้งตะลึงและโกรธเคือง
“ข้าเองก็อยากรู้เช่นกันว่าไฉนเทพทั้งหลายจึงร่างพันธสัญญาเพื่อไม่ให้วัฏสงสารเวียนซ้ำ”
ซูอี้กล่าว “เจ้ารู้หรือไม่?”
นักซ่อนกลกล่าวอย่างเย็นชา “ประสงค์แห่งเทพ ไฉนต้องมีเหตุผล?”
ซูอี้ถอนใจกล่าว “เทพที่เจ้าว่าคือผู้ใด?”
นักซ่อนกลเงียบเสียง
“เจ้าก็ไม่รู้เช่นกันหรือ?”
สีหน้าของซูอี้เผยความผิดหวัง
นักซ่อนกลแค่นเสียงอย่างเย็นชา กล่าวเน้นทีละคำ
“เทพทั้งหลายเป็นตัวแทนคำสั่งสูงสุดและกฎเหล็ก”
“เจตจำนงของเหล่าเทพเคลื่อนผ่านอดีต ปัจจุบันและอนาคต!”
“อำนาจแห่งเทพเหนือล้ำยิ่งกว่ายุคสมัยใด ๆ!”
“แล้วจะมีผู้ใดเล่าที่จะมาคาดเดาพันธสัญญาอันสร้างโดยทวยเทพได้?”
เสียงนั้นก้องกังวานเยี่ยงระฆังใหญ่ สะท้อนก้องทั่วโลกหล้า
ซูอี้เสสรวลว่า “เทพอันใดกัน หากพวกเขาขวางทางข้า ก็ย่อมต้องหายไป!”
นักซ่อนกลรู้สึกขบขันเล็กน้อย คนผู้นี้กล้าพูดจาลบหลู่เทพ เขามีบางสิ่งที่ไม่เข้าใจจริง ๆ หรือ?
ซูอี้กล่าวกับตนเอง “ผู้ฝึกตนเช่นข้า พบเทพสังหารเทพ พบพุทธะสังหารพุทธะ หากไม่กล้าเพียงนี้ เราจะฝึกฝนไปเพื่ออันใด ต้องการวิถีเช่นไร?”
เขากล่าวพลางฟาดดาบในมือ
ตู้ม!
สงครามดำเนินต่อ
นักซ่อนกลใช้เคล็ดวิชาเรียงร้อยเหตุการณ์ในอดีตซ้ำสอง
มันเป็นดั่งกลมายาที่ทำให้ผู้แข็งแกร่งในอดีตกาลปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ดึงเหล่ายอดฝีมืออันสร่างซาหายไปในธารสายยาวแห่งประวัติศาสตร์ให้หวนคืน…
ทว่าการเปลี่ยนแปลงร้อยพันของเขาก็ถูกอำนาจวัฏสงสารลบหายไป!
ไม่นานนัก นักซ่อนกลก็บาดเจ็บสาหัส ใบหน้าซีดขาวมากขึ้นทุกขณะ
“ไป!”
ซูอี้กล่าวเบา ๆ คีรีดาบอันแปรเปลี่ยนจากเคล็ดเวียนวัฏสงสารกดทับลงมา
ดวงตาของนักซ่อนกลวาวโรจน์ “คิดจริง ๆ หรือว่าข้ามีความสามารถเพียงเท่านี้?”
ด้วยหนึ่งพลิกฝ่ามือ ดาบหยกปลายมนสีแดงเพลิงเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้น และจากการโจมตีเรียบง่าย คีรีดาบที่ซูอี้ฟาดฟันออกมาพลันแหลกสลาย
ตู้ม!
แสงศักดิ์สิทธิ์พลุ่งพล่านโปรยปราย สุญญะบิดเบี้ยวผิดรูป
อำนาจร้ายกาจนี้เหวี่ยงร่างของซูอี้กระเด็นไป
ดวงตาของเขาเบิกกว้างขึ้น
ปราณของดาบหยกปลายมนสีแดงเพลิงนั้นน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง มันสลักลวดลายเร้นลับประหลาดบิดเบี้ยวเอาไว้ แรงกดดันมหาศาลเสียจนทำให้ฟ้าดินสะท้านทั่วบริเวณ สุญญะเผยสัญญาณมอดไหม้
ยามนี้ แท่นที่เงียบอยู่กลางแท่นเต๋าไกลออกไปพลันส่งเสียงคำราม
ทันใดนั้น พิรุณแสงเซียนพลันโปรยปรายทั่วฟ้าดิน อำนาจกฎเกณฑ์เปี่ยมด้วยพลังมหาศาลร่วงโรยสายแล้วสายเล่า
และทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพื่อสยบอำนาจดาบหยกปลายมนสีแดงเพลิงนั้น!
เห็นได้ชัดว่านักซ่อนกลกำลังดิ้นรน ตกอยู่ในแรงกดดันมหาศาลเกินคาดเดา มุมปากของเขามีโลหิตย้อยหยด
ทว่าเห็นได้ชัดว่าเขาตัดสินใจแน่วแน่ ดึงดันจะใช้ดาบหยกปลายมนสีแดงเพลิงนั่น
เขามองซูอี้ด้วยแววตาบ้าคลั่ง ริมฝีปากยกยิ้มโหดร้าย “ขอเพียงข้าฆ่าเจ้า ชิงเคล็ดเวียนวัฏสงสารมาได้ ทุ่มทุนสักหน่อยจะเป็นอันใดไป?”
ตู้ม!
เขาเหวี่ยงดาบหยกปลายมนสีเพลิงทะยานเวหามาสังหาร
ยามนั้น ทั่วฟ้าดินถูกย้อมแดงเยี่ยงอัคคี เจิดจ้าจรัสแสง
ทั้งหมดนี้ทำให้ดาบหยกปลายมนสีแดงเพลิงในมือของเขาร้ายกาจยิ่งขึ้นอีก มันดูราวกับสมบัติต้องห้ามอันมีอำนาจถล่มเวหาทลายแดนดิน
เมื่อเผชิญภาพนี้ ดวงตาของซูอี้ก็ฉายความเสียดาย
เช้ง!
อึดใจต่อมา หนึ่งวจีดาบก็โอดครวญ
เงาแห่งดาบเก้าคุมขังปรากฏขึ้นบนฟากฟ้า
ราวกับมิอาจรีรอลิ้มรสอาหารมื้อใหญ่ วจีแห่งดาบดุร้ายเดือดพล่าน อำนาจดาบร้ายกาจชวนผวา
โลกหล้าพลันหยุดนิ่งกับที่
พิรุณแสงเซียนและอำนาจกฎเกณฑ์ล้วนเงียบกริบ
ร่างของนักซ่อนกลผู้พุ่งทะยานโจมตีชะงักนิ่งกับที่
และดาบหยกปลายมนสีเพลิงในมือของเขาก็สั่นระรัว หวาดกลัวร้องระงม!