ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 450 ศิษย์แผนกวิชายุทธ
บทที่ 450 ศิษย์แผนกวิชายุทธ
“เหรินหมิง พูดจะห่าเหวอะไรของเจ้าเนี่ย กัปตันพึ่งจะจากไป นี่เจ้าก็คิดที่จะขายพี่สะใภ้ของพวกเราเลยงั้นรึ”
เมื่อพูดจบ หลานซานเอ๋อก็ได้เดินไปตรงหน้าของเฉินเฉียง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเฉินเฉียงแล้วหัวเราะออกมา “ฮี่ฮี่ฮี่ ท่านผู้อาวุโสผู้คุมกฎ พวกเรานั้นไม่คิดจะยัดเยียดให้ท่านหรอกนะ แต่ท่านก็เห็นว่าพี่สะใภ้ของพวกข้านั้นโฉมงามขนาดไหน ทั่วทั้งสำนักสวรรค์ชั้นฟ้าของพวกเรานั้นหามีหญิงสาวนางใดเปรียบได้ไม่”
เมื่อพูดจบ หลางซานเอ๋อก็เดินกลับไปลากหยานเสวี่ยให้มายืนตรงหน้าเฉินเฉียง
หยานเสวี่ยนั้นเกือบจะคลั่งขึ้นมาที่ถูกเหล่าคนในกองกำลังเทียนเว่ยทำกับนางราวกับเป็นของเล่น
แต่ก็อีกนั่นแหละ หากเธอไม่เออออตามไปด้วย ด้วยสถานะของเฉินเฉียงที่เป็นผู้คุมกฎในตอนนี้นั้น มันหมายความว่าเธอต้องแยกจากออกห่างเฉินเฉียงไม่ใช่รึไงกัน
เมื่อคิดได้แบบนี้ หยานเสวี่ยเองก็เริ่มที่จะลังเล
เมื่อเห็นว่าหลางซานเอ๋อและคนอื่นๆเล่นละครซะใหญ่โต เฉินเฉียงก็อดนึกละอายใจแทนขึ้นมาไม่ได้ แต่กระนั้น เขาก็ยังต้องยอมรับว่าสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่นี้มีเหตุผล
และนี่ทำให้เมื่อเฉินเฉียงเห็นหยานเสวี่ยมีท่าทีอิดออดอยู่ตรงหน้า เฉินเฉียงก็ถึงกับนึกหัวเราะขึ้นมาอยู่ในใจ
นั่นก็เพราะหากหยานเสวี่ยไม่คิดตามน้ำ พวกเขาทุกคนก็คงไม่อาจจะบังคับเธอได้
แต่หากเธอเล่นด้วย ในอนาคต เธอและเขานั้นก็จะยังคงอยู่ด้วยกันดังเดิม แต่เพิ่มเติมคือเธอนั้นจะต้องคอยสู้หน้าคนอื่นในสำนักก็เท่านั้น
นั่นก็เพราะเฉินเฉียงในตอนนี้ตกอยู่ในรูปลักษณ์ของชายชราวัยห้าสิบ
“หึ”
ท้ายที่สุด หยานเสวี่ยในตอนนี้บังเกิดความรู้สึกที่อับอายและขุ่นเคืองใจ เธอสบถออกมาทีหนึ่งก่อนจะหันหลังเดินออกไป
หนี่เฟิงและเม่ยหลัวหลันก็ไล่ตามเธอไปติดๆ
เมื่อพวกเธอจากไป หลางซานเอ๋อและคนอื่นๆยังก่อเรื่องไม่เลิกรา พวกเขาได้ตะโกนออกมาอย่างโวยวาย “ท่านผู้อาวุโสผู้คุมกฎ ท่านเห็นรึเปล่า พี่สะใภ้ของพวกเรานั้นไม่ได้คิดปฏิเสธนะนั่น แล้วท่านจะรออะไรอีก ท่านรีบตามนางไปสิ นางทอดสะพานให้ท่านซะขนาดนี้แล้วนา”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ใช่แล้ว ผู้อาวุโสผู้คุมกฎ รีบตามนางไปเร็วเข้า ข้ารับรองว่าพี่สะใภ้ของพวกเราจะต้องเปิดใจในทันทีที่ท่านไปถึง”
เฉินเฉียงในตอนนี้รีบคิดติดตามไปใจจะขาด แต่ก่อนที่เขาจะตามหยานเสวี่ยไป เขาก็ได้พูดทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนตามไป “ฝากไว้ก่อนเถอะ”
หลังจากเฉินเฉียงจากไปแล้ว กัวเหลียงก็รีบส่งข้อความไปหาจางหยวนและคนอื่นๆให้มารวมตัวกันที่บ้านพักของเฉินเฉียง
กองกำลังเทียนเว่ยทุกคนที่อยู่ในสำนักสวรรค์ชั้นฟ้าได้มารวมตัวกันที่บ้านพักของเฉินเฉียงในตอนนี้แล้ว
“จางหยวน ม่อโชว พวกเจ้าไปไหนมากัน พวกเจ้านั้นได้พลาดละครบทใหญ่ของกัปตันเราไปเลยนะนั่น”
“กัปตันของเราเข่นฆ่าไอ้พวกตัวน่ารำคาญไปสี่ตัวบนสนามประลองเป็นตายสี่ครั้งติดเลยนะเว้ย พวกเจ้าไม่เห็นรึไงกัน”
กัวเหลียงที่พูดไม่หยุดก็ได้ชี้นิ้วไปที่เฉินเฉียงและพูดออกมา “แล้วก็ตอนนี้กัปตันของพวกเรานั้นคือหนึ่งในสองของผู้อาวุโสแห่งหอผู้คุมกฎ และเขามีสิทธิ์อำนาจในการควบคุมกองกำลังผู้คุมกฎอีกด้วยนา”
“นี่เจ้าคิดว่าข้าอยากจะพลาดฉากเหล่านั้นไปงั้นรึ” จางหยวนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเซ็งจิตอย่างที่สุด “แต่สองวันมานี้ ไอ้พวกแผนกหุ่นเชิดโลหิตที่มีที่พักใกล้กับหลิวซวนเอ๋อนั้นคุกคามนางอย่างไม่หยุดหย่อน หลังจากข้าจัดการพวกมันไป ไอ้พวกแผนกวิชายุทธเองที่รับรู้เรื่องราวก็มายกข้าให้เป็นหัวหน้าพวกมัน”
“โอ้….ฉิบ ไอ้ตาถั่วตัวไหนกันที่กล้ามาหาเรื่องพวกเราเนี่ย”
หลางซานเอ๋อได้ยืนขึ้นมาก่อนจะคำรามลั่นอย่างอารมณ์เสียหลังจากได้ยินเรื่องนี้
หลู่จี้ได้ยกมือขึ้นก่อนจะพูดออกมา “เอาอย่างนี้สิ หลางซานเอ๋อ ในเมื่อตอนนี้พวกเราไม่ได้อยู่ใกล้กันมากนัก ข้าว่าพวกเราย้ายไปอยู่ด้วยกันกับลองกัปตันจะดีกว่าไหม”
“เจ้านั้นอาจจะไม่รู้ แต่ไอ้พวกที่มาหาเรื่องพวกเรานั้นล้วนแล้วแต่ไม่ได้จบลงด้วยดี”
“นี่ขนาดข้ากับหลู่จี้เป็นผู้ชายนะ ยังโดนตามเหมือนกัน”
“โอ้” เฉินเฉียงเมื่อได้ยินก็ประหลาดใจก่อนจะมองไปที่จางหยวน “จางหยวน ภายในสำนักแห่งนี้มีเรื่องราวแบบนี้อยู่บ่อยๆงั้นรึ”
“แน่นอนว่าไม่”
หลางซานเอ๋อได้พูดออกมาด้วยท่าทางตื่นเต้นยินดี “ข้าไม่คิดเลยจริงๆว่าทักษะของพวกเราที่เรียกได้ว่าหางอึ่งบนโลกมนุษย์ กลับกลายเป็นตัวตนที่สูงล้ำบนโลกปีศาจแห่งนี้ เพียงแค่นึกถึงเรื่องนี้แม้แต่ข้าเองก็ยังอดที่จะมีความสุขไม่ได้”
หากว่ากันตรงๆแล้ว นอกจากการคงอยู่ของผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตและสัตว์ปีศาจ เฉินเฉียงและคนอื่นๆในกองกำลังนั้นก็ใช่ว่าจะไม่ได้ชื่นชอบผู้คนบนโลกปีศาจแห่งนี้
ตราบใดที่ไม่มีใครมาหาเรื่องพวกเขาได้ พวกเขาย่อมต้องการที่จะมีชีวิตอย่างสงบสุขอยู่ที่นี่
“กัปตัน ข้ารู้ดีว่าภารกิจของพวกเรานั้นการสืบเรื่องราวเกี่ยวกับสัตว์ปีศาจของโลกปีศาจแห่งนี้ แต่จากที่ข้าเห็นสถานการณ์ต่างๆของโลกนี้ มันทำให้ข้าอดที่จะคิดไม่ได้ว่าเรานั้นควรจะสร้างความขัดแย้งระหว่างผู้บ่มเพาะบนเส้นทางอื่นๆกับผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิต ในเมื่อคนบนโลกนี้ได้รับความเดือดร้อนจากพวกมันไม่น้อย ก็ควรให้คนพวกนี้เป็นคนจัดการ”
“โฮ่ แล้วเจ้าว่าพวกเราควรจะเริ่มจากทำสิ่งใดก่อนล่ะ”
เฉินเฉียงนึกสนใจความคิดนี้จึงได้เอ่ยถามออกมา
หลู่จี๋เองก็ไม่ได้คิดขัดแนวคิดนี้ แถมเขายังกล่าวเสริมขึ้นมาในทันที “กัปตัน ไม่ต้องมองไปไกลมาก เอาข้าสถานการณ์ในสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าในช่วงนี้ก็พอแล้ว ในช่วงไม่กี่วันมานี้ เหล่าศิษย์แผนกอื่นๆของสำนักได้แสดงออกมาทั้งความเกลียดชังและความหวาดกลัวที่มีต่อศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตอย่างเห็นได้ชัด”
“อีกทั้งพวกเขานั้นพึ่งจะได้รับรู้ว่าสำนักสวรรค์ชั้นฟ้าแห่งนี้ได้มุ่งเน้นไปที่การหนุนนำให้ศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตเหยียบย่ำแผนกอื่นๆเพื่อที่จะอยู่สูงขึ้นไป นี่ทำให้ศิษย์แผนกอื่นเองรู้สึกโกรธแค้นศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตอยู่ไม่น้อย เพียงแต่พวกเขาไม่กล้าที่จะพูดออกมาเท่านั้น”
“และด้วยเรื่องนี้เองจึงทำให้มีศิษย์จากหลากหลายแผนกได้ให้ความเคารพรองกัปตันมากขึ้นในแต่ละวันจนยกย่องให้เขากลายเป็นลูกพี่ของพวกนั้น หลังจากรับรู้ว่ากัปตันได้ใช้ทักษะทางด้านอัสนีฆ่าไอ้พวกศิษย์หุ่นเชิดโลหิตไปไม่กี่คน”
“ดังนั้นจะดีกว่าหากพวกเรารับศิษย์พวกนี้มาเป็นลูกน้องแล้วจัดตั้งองค์กรต่อต้านขึ้นมา ส่วนชื่อนั้นก็เอาเป็นกลุ่มเหมันต์จันทราก็แล้วกัน”
“ตราบใดที่มีคนมาหาเรื่องกลุ่มเหมันต์จันทรา พวกเราก็จะลงมือสั่งสอน”
หลังจากการร่ายยาวของหลู่จี้นี้ ทุกคนนั้นก็เห็นด้วยในทันที
เฉินเฉียงนั้นก็ไม่ได้ขัดข้องในเรื่องนี้ ก่อนที่จะกล่าวเสริมออกมา “ถ้าอย่างนั้น ข้าจะใช้สถานะของผู้อาวุโสผู้คุมกฎของหอผู้คุมกฎสำนักสวรรค์ชั้นฟ้าสร้างความร้าวฉานภายในหอก็แล้วกัน”
“วิธีการนี้จะทำให้ไอ้พวกนั้นวุ่นวายพอที่จะทำให้พวกเราเคลื่อนไหวได้ง่ายขึ้น”
“ศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตทุกคนที่กล้ามาแตะต้องพวกเรา พวกมันจะต้องตกตายไปจนหมดสิ้น”
“ฮี่ฮี่ฮี่ ในเมื่อกัปตันนั้นพูดออกมาเองถึงขนาดนี้ ข้าเองก็วางใจ”
หลังจากได้รับความยินยอมจากเฉินเฉียงแล้ว หลางซานเอ๋อ เหรินหมิง และกัวเหลียงก็มีดวงตาที่ลุกวาวในทันที
ตราบใดที่พวกระดับสูงของสำนักเต๋าวิหารชั้นฟ้าไม่เข้ามายุ่งเกี่ยว เพียงแค่เขาสามคนก็เพียงพอที่จะทำให้สำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าแห่งนี้ต้องลุกเป็นไฟ
หลังจากพูดคุยกันจนเสร็จสิ้น เฉินเฉียงก็เปลี่ยนเป็นรูปลักษณ์ของผู้อาวุโสผู้คุมกฎพร้อมกับป้ายคำสั่งในมือแล้วพุ่งตรงไปยังหอตำราของสำนัก
ในฐานะที่เขาเป็นผู้อาวุโสผู้คุมกฎ เขานั้นมีคะแนนผลงานอยู่ราวๆสองร้อยคะแนน มันมากพอที่จะทำให้เฉินเฉียงใช้จ่ายไปกับสิ่งที่ต้องการได้จนหมด
“ดูนั่นสิ นั่นมันผู้อาวุโสหอผู้คุมกฎไม่ใช่เหรอ ทำไมเขาถึงมายังหอตำรายุทธของพวกเรากัน”
“นั่นสิ เขาเป็นผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตนี่นา ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ควรจะมายุ่งเกี่ยวกับแผนกวิชายุทธแบบนี้ การที่เขามาที่นี่ ข้าว่าเขาน่าจะมาหาข้อมูลของแผนกพวกเรา”
“อย่าได้พูดไร้สาระ แผนกหุ่นเชิดโลหิตจะมาเทียบเคียงกับแผนกวิชายุทธของพวกเรายังไง โดยเฉพาะเขาที่เป็นผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตนั้นจะมาดูข้อมูลของพวกเราไปทำซากอะไรกัน”
“ก็ไม่แน่นา เจ้าไม่ได้ยินมาเหรอว่าวันนี้ผู้อาวุโสผู้นี้ได้ออกปากรับผู้คนจากแผนกวิชายุทธให้เข้าร่วมเป็นกองกำลังผู้คุมกฎของเขาน่ะ”
“ไอ้ฉิบหาย เป็นไปได้ยังไง นับจากข้าเข้ามาอยู่ที่นี่ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าจะมีศิษย์จากแผนกวิชายุทธถูกเกณฑ์เข้ากองกำลังผุ้คุมกฎเลยนะ หากเป็นอย่างนั้นจริง ข้าว่า อนาคตของแผนกของพวกเรานั้นย่อมไม่เลวร้ายอย่างแน่นอน”
“ชู่วววว เบาเสียงหน่อยสิเว้ย นี่เป็นเพียงแค่เรื่องเล่าเท่านั้น แต่ความจริงนั้นใครจะรู้กัน อย่าให้เขาได้ยินดีกว่า ไม่อย่างนั้นล่ะก็ หากท่านผู้อาวุโสหว่านไจ๋โกรธขึ้นมา พวกเราไม่รู้จะตกตายลงอีท่าไหน”
ที่ทางเข้าของหอตำราวิชายุทธ ศิษย์วิชายุทธมากมายที่เฉินเฉียงเดินผ่านไปนั้นต่างก็จ้องมองและพูดคุยเรื่องราวเกี่ยวกับเฉินเฉียงราวกับเขาเป็นตัวประหลาด บางคนถึงขั้นลอบส่งเสียงผ่านจิตวิญญาณพูดคุยกันอย่างจริงจัง
เฉินเฉียงนั้นก็ไม่ได้ใส่ใจกับความแตกตื่นของศิษย์เหล่านี้แต่อย่างใด เขาได้มุ่งตรงขึ้นไปยังชั้นสอง ก่อนที่จะตรงไปยังกล่องหยกที่เขียนไว้ว่า ภาพวาดแห่งห้วงมหาสมุทร