ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 393 :วัตถุดิบชั้นสูง ปรุงด้วยกรรมวิธีธรรมดา
- Home
- ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล)
- ตอนที่ 393 :วัตถุดิบชั้นสูง ปรุงด้วยกรรมวิธีธรรมดา
ตอนที่ 393 :วัตถุดิบชั้นสูง ปรุงด้วยกรรมวิธีธรรมดา
หลังจากที่นำปูลงไปผัดในหม้อแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็ทำอาหารเพิ่มอีกสองจานจากปลาและกุ้งที่จับมาได้ จากนั้นก็เอาขิงมาขูดฝอย และเตรียมส่วนผสมอื่น ๆ เพื่อทำน้ำจิ้มปูนึ่ง
ผู่ซิ่นหนานได้ออกไปย้ายโต๊ะไปที่สนามหญ้า จากนั้นสี่คนพ่อแม่ลูก และแขกอีกสี่คนก็ได้นั่งรอบโต๊ะและเริ่มเพลิดเพลินไปกับอาหารเย็นของวันนี้
ถังเสี่ยวโจวแทบรอไม่ไหวที่จะหยิบปูผัดเซียงล่าขึ้นมาชิมชิ้นหนึ่ง เพราะอยากรู้ว่ารสชาติมันแตกต่างไปจากกุ้งอบน้ำมันไหม แต่พอชิมแล้วมันก็อร่อยไม่ต่างกันเลย
หลินเจียจวินและผู่ซิ่นหนานไม่เคยกินกุ้งอบน้ำมันมาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้กินอาหารที่รสจัดและครบรสขนาดนี้ พวกเขาทั้งคู่พบว่ามันมีกลิ่นหอมและเผ็ดจัดจ้าน ต่างคนต่างชื่นชมเมนูนี้ไม่ขาดปาก
ผู่ซิ่นหนานกล่าวว่า “เสี่ยวเจียง คุณสุดยอดมาก คนที่นี่ไม่รู้ว่าปูสามารถนำมาทำแบบนี้ได้ เราคิดว่าปูไม่อร่อยมาตลอด เพราะไม่มีเนื้อให้กิน แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ว่าปูไม่อร่อย แต่เราต่างหากที่ทำไม่เป็น”
จงซิ่วหงกล่าวว่า “แน่นอนว่าเราทำไม่ได้หรอกอาหารแบบนี้ ดูสิว่าเสี่ยวไป๋ใช้ทั้งน้ำมัน เครื่องเทศ และเครื่องปรุงมากมายแค่ไหนในการทำ เกษตรกรอย่างเรา ๆ ใครจะเต็มใจทำอาหารยาก ๆ แบบนี้ล่ะ ? ”
ผู่ซิ่นหนานพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำอีก “มันอร่อยจริง ๆ แต่เราทำกินไม่ไหวหรอก ! ”
หลินเจียจวินกล่าวว่า “ไม่น่าแปลกใจเลยที่พ่อหมกมุ่นอยู่แต่อาหารรสมือนาย ขนาดฉันที่ได้กิน ก็ยังอยากกินมันทุกวันเลย”
เจียงชานพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “หนูได้กินข้าวฝีมือป่าป๊าทุกวันเลยค่ะ ! ”
แค่ประโยคนี้ประโยคเดียวทำหลินเจียจวินรู้สึกอิจฉาแล้ว
เขากลอกตา แล้วพูดว่า “เสี่ยวไป๋ ฉันอยู่ที่เจียงเฉิงไม่มีอะไรทำเลย ให้ฉันไปเป็นคนขับรถให้นายไหม ? ”
ผู่ซิ่นหนานและจงซิ่วหงไม่รู้ว่าหลินเจียจวินคือใคร ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร มีแต่ถังเสี่ยวโจวที่รู้จึงรู้สึกตะลึง
เจียงเสี่ยวไป๋จะกล้าดีอย่างไรให้หลินเจียจวินไปเป็นคนขับ เขาจึงรีบพูดว่า “พี่จวิน หยุดล้อเล่นได้แล้ว ! ”
หลินเจียจวินกลับพูดอย่างจริงจังว่า “นายคิดว่าฉันล้อเล่นหรือ ? ”
พูดแล้ว เขาก็หันไปพูดกับเจียงเสี่ยวไป๋ต่อ “ฉันจะเป็นคนขับรถให้นาย เงินเดือนเท่าไหร่ไม่สำคัญ นายแค่ทำอาหารให้ฉันกินทุกวันก็พอ”
เจียงเสี่ยวไป๋กลอกตาใส่เขาแล้วพูดว่า “พี่ไม่ได้จะมาเป็นคนขับรถให้ผม แต่ต้องการให้ผมเป็นคนทำอาหารให้พี่กินทุกวันต่างหาก ! ไม่เอา ผมไม่ทำ ! ”
หลินเจียจวินหัวเราะเบา ๆ “อย่างไรนายก็รู้จุดประสงค์ของฉันแล้วนี่ ลืมมันไปเถอะ ฉันว่านายมาสอนวิธีทำปูผัดเซียงล่าให้ฉันดีกว่า ฉันจะได้เอาความรู้ไปเปิดร้านปูผัดเซียงล่าในเจียงเฉิง ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร เขาเพียงแต่บอกว่าจะหารือเรื่องนี้ในภายหลัง
เขาให้ทุกคนกินอาหารต่อ ส่วนเขาก็ไปที่ห้องครัวเพื่อยกปูนึ่งออกมา
ผู่เสี่ยวหยู ผู่เสี่ยวเซี๋ย และเจียงชานต่างก็มองดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น เมื่อเห็นปูขนที่ถูกมัดขาไว้
“คุณอามัดปูทำไมหรือคะ ? ” ผู่เสี่ยวเซี๋ยถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
เจียงเสี่ยวไป๋ตอบด้วยรอยยิ้ม “ถ้าเราจะกินมัน มันจะให้เรากินง่าย ๆ ไหม ? ”
ผู่เสี่ยวเซี๋ยส่ายหัวไปมา จู่ ๆ เธอก็เข้าใจและพูดว่า “ปูอยากวิ่งหนี ก็เลยมัดมันด้วยเชือก”
ผู่เสี่ยวหยูสัมผัสตัวน้องสาวของเขา แล้วพูดว่า “คุณอากำลังล้อเล่นเธออยู่ ถ้าเราจะกินมัน แล้วไม่อยากให้มันไต่หนีออกจากหม้อที่นึ่ง ทำไมเราไม่ฆ่ามันไปเลยละครับ หรือว่ามันมีผลต่อรสชาติ ? ”
ผู่เสี่ยวเซี๋ยอายุ 7 ขวบ ส่วนผู่เสี่ยวหยูอายุ 9 ขวบ แม้จะอายุห่างกันเพียงเล็กน้อย แต่ก็มีความคิดที่เป็นผู้ใหญ่กว่ามาก
แต่ผู่เสี่ยวหยูไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องมัดปู
เจียงเสี่ยวไป๋อธิบายด้วยรอยยิ้ม “เนื่องจากปูนึ่งต้องนึ่งตอนปูเป็น ๆ ปูจึงต้องถูกมัดไว้ก่อนเพื่อป้องกันไม่ให้ปูดิ้นอย่างรุนแรงในระหว่างที่เราเอามันลงไปนึ่ง ซึ่งอาจทำให้ขาของมันหลุดได้”
ผู่เสี่ยวหยูพยักหน้าบอกว่าเข้าใจ
อย่างไรก็ตาม เขายังคงถามต่อด้วยความสงสัย “คุณอา แค่เอาปูมานึ่งแบบนี้โดยไม่ต้องทอดหรือต้ม มันจะอร่อยหรือครับ ? ”
ไม่เพียงแต่เธอเท่านั้นที่สงสัย แม้แต่ถังเสี่ยวโจวและหลินเจียจวินก็อยากรู้และมองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋พร้อมกันเพื่อรอคำตอบ
เจียงชานที่นั่งอยู่ข้าง ๆ พ่อของเธอจึงพูดว่า “ส่วนผสมระดับสูง ต้องทำด้วยวิธีการที่ง่ายที่สุดเท่านั้นค่ะ ! ”
ทุกคนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง พวกเขาประหลาดใจที่เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ พูดแบบนี้ออกมา
เด็กน้อยรู้สึกเขินอายเล็กน้อยที่ทุกคนมองมาที่เธอ เธอจึงก้มหน้าลงแล้วพูดว่า “ป่าป๊าพูดอะไรสักอย่างสิ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะเสียงดัง “ดูสิ แม้แต่ลูกสาวของผมก็ยังรู้เลย ! ”
หลังจากหัวเราะ เขาก็พูดว่า “แม้ว่าวิธีการปรุงปูขนจะเรียบง่าย แต่การกินปูนั้นค่อนข้างเป็นศิลปะ และมีแง่มุมทางวัฒนธรรมอยู่ด้วย ! ”
ถังเสี่ยวโจวและหลินเจียจวินหันมามองหน้ากัน และถามพร้อมกันว่า “มันเป็นศิลปะและมีแง่มุมทางวัฒนธรรมอย่างไร ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ในสมัยโบราณ การกินปูเป็นกิจกรรมที่ประณีตมาก ผู้ที่ชื่นชอบทานปูจะเพลิดเพลินกับการทานปูไปพร้อม ๆ กับชื่นชมดอกเบญจมาศ และทุกคนก็มีชุดเครื่องมือพิเศษสำหรับการทาน ซึ่งรู้จักกันทั่วไปในชื่ออุปกรณ์ทานปู 8 อย่าง”
“สิ่งที่เรียกว่า ‘อุปกรณ์ทานปู 8 อย่าง’ ได้แก่ โต๊ะสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ค้อนกลมสั้น ขวานด้ามยาว ส้อมด้ามยาว กรรไกรหัวกลม แหนบ ส้อม และช้อนอันเล็ก สิ่งของทั้ง 8 อย่างนี้มีหน้าที่แตกต่างกันเช่น การกิน กระแทก การตอก การแยก การเสียบ การตัด การบีบ การหยิบ และการเสิร์ฟ”
“เมื่อปูนึ่งร้อน ๆ ถูกเอามาเสิร์ฟบนโต๊ะ คนกินจะวางปูไว้บนโต๊ะสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ตัดก้ามทั้งสองและขาของปูออกด้วยกรรไกรหัวกลม จากนั้นจึงใช้ค้อนกลมอันเล็กค่อย ๆ ทุบให้ทั่วกระดองปู แล้วใช้ขวานด้ามยาวแยกกระดองหลังและตะปิ้งออก จากนั้นใช้ส้อมด้ามยาว แยก เสียบ ตัด บีบ หยิบเอาไข่ปูสีทองแวววาวหรือนมปูออก ก็จะเจอเนื้อปูสีขาวหิมะที่ซ้อนอยู่ในเปลือกปู”
“เครื่องมือแต่ละชิ้นจะถูกใช้ตามลำดับสลับกันไป ราวกับกำลังบรรเลงเพลงอาหารเป็นจังหวะ”
“จากนั้น ตักน้ำจิ้มด้วยช้อนเล็ก ๆ ราดลงไปบนเนื้อปู หยิบขึ้นมากิน รสชาติอร่อยเข้มข้นเลยทีเดียว”
“และอุปกรณ์ทั้ง 8 ชิ้นนี้เอง ที่ทำให้สามารถกินเนื้อปูขนได้ทุกส่วนอย่างหมดจด”
หลังจากที่เจียงเสี่ยวไป๋พูดจบ เขาก็พูดต่ออีกว่า “หลังจากที่คนโบราณกินปูขนเสร็จแล้ว พวกเขายังสามารถนำกระดองปูกลับมาต่อรวมกันเป็นโครงของปูที่สมบูรณ์ได้อีกด้วย”
ทุกคนประหลาดใจเมื่อได้ยินสิ่งนี้
ผู่ซิ่นหนานถึงกับส่ายหัว “การกินปูมันซับซ้อนมาก ต้องใช้เวลานานแค่ไหนกันเนี่ย ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ก็ถ้าเป็นคนใจเย็นและละเอียด ก็จะใช้เวลาหลายชั่วโมงในการกินปู”
ผู่ซิ่นหนานส่ายหัวไปมาแล้วพูดว่า “คงหิวอีกครั้งก่อนที่จะอิ่ม ฉันคงไม่มานั่งทำอะไรแบบนี้ ! ”
ถังเสี่ยวโจวและหลินเจียจวินหัวเราะออกมา แต่พวกเขาสนใจในเรื่องที่เจียงเสี่ยวไป๋เล่าออกมามาก
เจียงเสี่ยวไป๋พูดว่า “ผมไม่ได้พูดไร้สาระนะ ถ้าคุณมีเวลา คุณก็ลองไปที่ห้องสมุดแล้วหาหนังสือบอกเล่าเรื่องราวของราชวงศ์หมิง ชื่อว่า “เก้าจี้” มีบันทึกที่ชัดเจนอยู่ในนั้น ว่ากันว่าวิธีการกินแบบนี้คิดค้นโดยชายชาวซูโจวชื่อเฉาซู่”
ถังเสี่ยวโจวส่ายหัว เขาไม่ได้คาดหวังว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะอ่านหนังสือประเภทนี้ด้วยซ้ำ และเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกละอายใจเล็กน้อย
หลินเจียจวินยิ้มและพูดว่า “สิ่งที่นายพูดมานั้นน่าทึ่งมาก เราไม่มีอุปกรณ์กินปูทั้งแปดอย่างที่นายกล่าวถึง แล้วเราจะกินปูขนพวกนี้อย่างไรล่ะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ผมแค่เล่าให้ฟังเท่านั้น เราไม่จำเป็นต้องกินปูแบบประณีตมากนักหรอก เพราะยังมีวิธีการกินแบบอื่นอยู่ ยุคสมัยนี้คงไม่มีใครมานั่งกินปูแบบนั้นหรอกครับ”
พูดจบ เจียงเสี่ยวไป๋ก็ขอกรรไกรจากจงซิ่วหง
ในความเป็นจริง เขาสามารถทำได้โดยไม่ต้องใช้กรรไกร แต่เขารู้ว่าถังเสี่ยวโจวรอคอยการกินปูในครั้งนี้มาก ดังนั้นเขาจึงต้องจริงจังให้มากขึ้นในครั้งนี้ และใช้กรรไกรก็สะดวกกว่า
เมื่อจงซิ่วหงนำกรรไกรมา เจียงเสี่ยวไป๋ก็หยิบปูตัวเมียขึ้นมา แก้เชือกแล้วพูดว่า “พูดง่าย ๆ คือการกินปูขนสามารถแบ่งออกเป็นสิบขั้นตอน”
เขาเริ่มสาธิตและอธิบายอย่างละเอียด