ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 91 :บทเพลงไล่ตามจันทร์
ตอนที่ 91 :บทเพลงไล่ตามจันทร์
จนกระทั่งถึงเวลาหกโมงครึ่ง เหรินฉางเซี่ยถึงได้กลับมาถึงบ้าน
“ขอโทษที พอดีมีงานด่วนเข้ามาในสำนักงานเลยกลับมาช้า”
พอมาถึง เขาก็กล่าวขอโทษ
“ไม่เป็นไร ผมกำลังคุยกับลูกชายของคุณอยู่พอดี” เจียงเสี่ยวไป๋พูดด้วยรอยยิ้ม
เหรินจวินกลับมาถึงบ้านหลังจากที่เจียงเสี่ยวไป๋มาถึงได้สักพักหนึ่ง แต่เมื่อเทียบกับนิสัยจริงจังของเหรินฉางเซี่ยแล้ว เหรินจวินดูมีชีวิตชีวากว่ามาก
คุณย่ากำลังทำอาหารในครัว และน้องสาวของเขายังเด็ก ดังนั้นเขาจึงเหมือนผู้ใหญ่ตัวเล็ก ๆ ที่กำลังพูดคุยกับเจียงเสี่ยวไป๋และหลินเจียอินในห้องนั่งเล่น
“เด็กเหลือขอ เรียนรู้จากอาเจียงของลูกให้ได้เยอะ ๆ หน่อย”
เหรินฉางเซี่ยมองลูกชายของเขาด้วยความเอ็นดู แต่กลับเรียกลูกชายว่าเป็นเด็กเหลือขอ
จู่ ๆ เหรินจวินก็มีสีหน้าขมขื่น “พ่อ เรามีแขกอยู่นะ ช่วยหยุดเรียกผมว่าเด็กเหลือขอได้ไหม ? ”
เหรินฉางเซี่ยหัวเราะและเข้าไปในครัวเพื่อช่วยจงหยุนฟางทำอาหาร
“แม่ครับ ไปพักเถอะ ผมทำเอง”
“ไป ไป แกไปคุยกับเสี่ยวเจียงเถอะ” จงหยุนฟางไล่เขาออกไปด้วยตะหลิวในมือ “อีกเดี๋ยวก็จะเสร็จแล้ว ไม่ต้องมาวุ่นวายตรงนี้เลย”
“แม่ก็แบบนี้แหละ ดื้อตลอด”
เหรินฉางเซี่ยผายมือออกอย่างช่วยไม่ได้ขณะพูดออกมา
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้ม ก่อนหน้านี้เขาก็อาสาเข้าไปช่วยทำกับข้าวในครัวเช่นกัน ทว่าจงหยุนฟางยืนกรานจะไม่ยอมให้เขาช่วยลูกเดียว
คนแก่ก็เป็นแบบนี้ ตราบใดที่พวกเขาสามารถเคลื่อนไหวและทำอะไรได้ด้วยตัวเอง ก็ไม่มีทางพึ่งพาลูกหลานให้เสียเวลา
ไม่นาน อาหารก็พร้อมเสิร์ฟบนโต๊ะ
เมื่อมองไปที่เตาที่กำลังเดือดอยู่บนโต๊ะ เจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกอบอุ่นหัวใจอย่างบอกไม่ถูก
แต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือคากิที่กำลังตุ๋นอยู่ในหม้อ
ในยุคนี้ คากิไม่เพียงแต่หายากและมีราคาสูงเท่านั้น แต่ยังมีความหมายสำคัญในเทศกาลพิเศษอีกด้วย
หลายคนคิดว่าคากิก็เหมือนกับตีนหมู แต่ที่จริงแล้วมันไม่ใช่
หมูมีคากิเพียง 2 ข้างต่อหมู 1 ตัว โดยทั่วไปตีนหมูจะถูกแบ่งเป็นกีบหน้าและขาหลัง กีบหน้าต่างหากที่เป็นคากิจริง ๆ ส่วนขาหลังจะนำมาทำเป็นแฮม
มันแตกต่างกัน
ในชนบทของปี 1983 มีเพียงครอบครัวที่มีฐานะดีเท่านั้นที่จะมารวมตัวกันเฉลิมฉลองวันตรุษจีน ซึ่งจะมีการตุ๋นคากิไว้ เมื่อตุ๋นจนสุกดี คากินอีกข้างจะส่งไปให้แม่สามีในตอนไปไหว้วันตรุษจีน
จงหยุนฟางต้อนรับเจียงเสี่ยวไป๋ด้วยเมนูคากิตุ๋น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเธอรู้บุญคุณที่เจียงเสี่ยวไป๋นั้นมีต่อเธอ
อาหารมื้อนี้ถือว่าเป็นมื้อที่หรูหรามาก ไม่เพียงแต่อาหารสองสามจานที่จงหยุนฟางทำเท่านั้น แต่ยังรวมถึงพะโล้ที่เจียงเสี่ยวไป๋เอามาอีกด้วย
ทั้งเหรินจวินและเหรินไฉเซี๋ยต่างก็ชอบกินขาไก่พะโล้ ในขณะที่เหรินฉางเซี่ยชอบกินหูหมูแกล้มกับเหล้าเหมาไถ
ส่วนเจียงชานน้อยนั้นกินเมนูพะโล้ของที่ร้านทุกวันจนเธอเบื่อ เธอจึงเลือกที่จะกินคากิตุ๋นแทน เธอถือคากิชิ้นใหญ่ขึ้นมาด้วยมือเล็ก ๆ และแทะกินด้วยความเอร็ดอร่อย
เจียงเสี่ยวไป๋ดื่มเหมาไถกับเหรินฉางเซี่ย แต่เนื่องจากเขาต้องขี่รถกลับไปที่เจียงวานอีก เขาจึงดื่มไม่มาก
พวกเขารับประทานอาหารกันจนถึงสองทุ่ม ซึ่งตอนนี้ข้างนอกก็มืดแล้ว
ในยุคสมัยนี้มักจะมีธรรมเนียมปฏิบัติในการต้อนรับแขก แต่อย่างไรก็ตาม บ้านของเหรินฉางเซี่ยนั้นไม่ได้กว้างขวางมากนัก ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ยื้อให้เจียงเสี่ยวไป๋อยู่นาน เพียงแค่บอกเจียงเสี่ยวไป๋ให้ขี่รถดี ๆ เพราะนี่มันก็ดึกมากแล้ว
ชนบทตอนกลางคืนนั้นเงียบสงบมาก และไม่มีรถสักคันบนถนน
“บื้น บื้นบื้น ! ”
เสียงมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างของเจียงเสี่ยวไป๋ได้ทำลายความเงียบสงบของท้องฟ้ายามค่ำคืน ไฟหน้าสองดวงส่องแสงจ้าออกมา ทำให้ถนนด้านหน้าสว่างไสวขึ้นจนมองเห็นได้อย่างชัดเจน
ขี่รถในตอนกลางคืน มีลมพัดเข้ามาปะทะหน้าเย็นสบาย
ทั้งหลินเจียอินและเจียงชานต่างรู้สึกผ่อนคลาย นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่พวกเธอได้นั่งรถตอนกลางคืน
“พ่อคะ เรากำลังไล่ตามดวงจันทร์อยู่ใช่ไหม ? ”
เจียงชานเอนตัวไปในอ้อมแขนของหม่าม๊าของเธอ พลางแหงนมองดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยวบนท้องฟ้า และพบว่ามันดูเหมือนจะเคลื่อนที่ออกไปเรื่อย ๆ เธอจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอัศจรรย์ใจและถามออกมาด้วยความสงสัย
“ใช่แล้ว เรากำลังไล่ตามดวงจันทร์อยู่”
เจียงเสี่ยวไป๋แกล้งหยอกลูกสาว
“แล้วเราจะตามทันไหมคะ ? ” หนูน้อยถามอย่างมีความหวัง
“คง…ไม่ทันแล้วล่ะ”
คำถามของหนูน้อยนั้นซับซ้อนเกินไป จึงทำให้เจียงเสี่ยวไป๋ไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร
“ถ้าเป็นแบบนั้น ป่าป๊าคะ หนูต้องทำงานให้หนักกว่านี้แล้ว หม่าม๊าเคยบอกหนูว่ามีผู้ชายคนหนึ่ง ชื่อว่าคว่าฝู เขาสามารถไล่ตามดวงอาทิตย์ได้ แล้วทำไมคนอย่างหนูถึงจะไล่ตามดวงจันทร์ไม่ได้ล่ะคะ ? ”
หลินเจียอินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาหลังจากได้ยินเรื่องนี้
เจียงเสี่ยวไป๋พูดไม่ออกอยู่พักหนึ่ง เขาหันไปมองหลินเจียอิน เห็นเธอยิ้มด้วยความขบขัน จนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกร้อนรุ่มอยู่ภายใน
เมื่อรู้สึกได้ถึงการจ้องมองของเจียงเสี่ยวไป๋ หลินเจียอินจึงพูดด้วยความโกรธว่า “อย่าเอาแต่มองมาที่ฉันสิ ขับรถดี ๆ ก่อน ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋จึงรีบเบือนหน้าของเขาออกไป
อนิจจา…คว่าฝูไล่ตามดวงอาทิตย์วันแล้ววันเล่า เขาต้องวิ่งตามอยู่อย่างนั้น
คิดแล้วก็รู้สึกอารมณ์ไม่ค่อยดี แถมยังต้องโกหกลูกสาวอีก
“ชานชาน ให้พ่อร้องเพลงให้หนูฟังไหม ? ”
“ได้ค่ะ หนูอยากให้ป่าป๊าร้องเพลงเกี่ยวกับดวงจันทร์”
เด็กน้อยปรบมือและร้องขอออกมา
เจียงเสี่ยวไป๋จำเพลงที่เกี่ยวกับดวงจันทร์ได้ไม่กี่เพลง เช่น ‘จันทร์เต็มดวง’ และ ‘ภัยจากดวงจันทร์’ ที่ได้รับความนิยมในยุคสมัยหลัง
หลังจากคิดแล้ว เขาก็เริ่มร้องเพลงออกมา
“ดวงจันทร์ไปไหน ฉันก็จะไปด้วย”
“ฉันไปส่งพี่ชายที่หน้าหมู่บ้าน”
“ถึงหน้าหมู่บ้าน”
“พี่ชายของฉันจะเป็นผู้พิทักษ์ชายแดน”
“มันยากที่จะได้เห็นหน้า เมื่อต้องห่างกันไกล”
“มันยากที่จะได้เห็นหน้า”
“โอ้ เมฆไล่ตามเดือน”
“ลมใต้พัดผ่านต้นหลิว”
“ดวงจันทร์ทรงกลดที่สว่างไสว”
“เราไม่ได้พูดลากันสักคำ”
“……”
เสียงขับขานบทเพลงล่องลอยไปในท้องฟ้ายามราตรีที่เงียบสงบดังออกไปไกล
ดวงตาคู่งามของหลินเจียอินมองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋ด้วยความทึ่ง
เธอไม่รู้มาก่อนว่าเขาร้องเพลงได้ แถมยังร้องเพลงได้ไพเราะมากอีกด้วย
“เพราะจังเลยค่ะ”
“ดวงจันทร์ไปไหน ฉันก็จะไปด้วย”
หนูน้อยดูเหมือนจะชอบประโยคนี้มากและร้องตาม
เมื่อเห็นว่าเธอชอบ เจียงเสี่ยวไป๋ก็ร้องท่อนนี้ออกมาและสอนเธอร้องทีละประโยค
ระหว่างทาง สองพ่อลูกต่างก็ฮัมเพลงกันอย่างสนุกสนาน
เมื่อกลับมาถึงบ้าน หนูน้อยก็เกือบจะร้องเพลงได้จนจบแล้ว และยังคงฮัมเพลงนี้ต่อไปไม่หยุด
หลินเจียอินเห็นแบบนั้นจึงกล่าวว่า “ฉันเห็นว่าเด็กทุกคนในเมืองที่มีอายุไล่เลี่ยกับชานชานได้เข้าโรงเรียนอนุบาลแล้ว ทำไมเราไม่ส่งลูกไปโรงเรียนอนุบาลล่ะ ? ”
หลังจากได้ยินเรื่องนี้ เจียงเสี่ยวไป๋ก็อดไม่ได้ที่จะถามออกไปว่า “ทำไมจู่ ๆ คุณถึงอยากส่งลูกไปโรงเรียนอนุบาลล่ะ ?”
หลินเจียอินกล่าวว่า “คุณก็ดูสิว่าลูกเรียนร้องเพลงได้เร็วแค่ไหน ถ้าเราให้ลูกไปโรงเรียนอนุบาลเร็ว ลูกก็จะยิ่งเรียนรู้ได้เร็วยิ่งขึ้น”
เจียงเสี่ยวไป๋ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “ช่างเถอะ ผมจะยังไม่ให้ลูกไปเรียนที่โรงเรียนอนุบาล เพราะผมอยากปล่อยให้ลูกมีวัยเด็กได้เต็มที่ก่อนที่จะไปเรียนโรงเรียนประถม”
หลินเจียอินชะงักไปชั่วขณะ ไม่คาดคิดเลยว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะไม่เห็นด้วยที่เธอจะให้ลูกสาวไปเรียนที่โรงเรียนอนุบาลในตอนนี้
การศึกษาของลูกสำคัญแค่ไหน แต่เขากลับไม่ค่อยให้ความสำคัญ
คิดแบบนั้น เธอก็เริ่มโกรธขึ้นมา
เจียงเสี่ยวไป๋เองก็ทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน ในแง่ของการศึกษาสำหรับลูก ผู้ปกครองส่วนใหญ่มักจะเชื่อว่าการส่งลูกไปโรงเรียนก่อนเป็นเรื่องที่ดี
พ่อแม่ส่วนใหญ่สนใจแต่ผลการเรียนของลูก แต่ไม่เคยสนใจว่าลูกชอบอะไรจริง ๆ
ดังนั้น ในยุคของคนรุ่นหลังจึงเริ่มมีคลาสสอนแต่งหน้า คลาสเรียนเต้น คลาสสอนพิเศษต่าง ๆ นอกหลักสูตรผุดขึ้นมามากมาย
แม้ว่าในปี 1983 จะไม่มีสิ่งเหล่านี้ แต่ความคิดที่จะให้เด็กไปโรงเรียนก่อนเวลาเพื่อที่จะได้เรียนรู้ก่อนคนอื่น นี่แหละคือความหวังที่ผู้ปกครองเริ่มบ่มเพราะและคาดหวังแต่ผลการเรียนของลูก
ทว่าเจียงเสี่ยวไป๋กลับไม่ได้คิดเช่นนั้น
ในชาติที่แล้ว เขาได้ไตร่ตรองถึงสถาบันการศึกษา และเชื่อว่าโรงเรียนสอนให้เด็กมีความรู้มากขึ้นก็จริง แต่ขาดการสร้างอุปนิสัยของเด็ก กระตุ้นความสนใจและบ่มเพาะนิสัยใจคอ
แต่เขานั้นกลับเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาวิธีคิด และความสามารถในการลงมือทำของเด็กมากกว่าความรู้ที่อยู่ในตำราเรียน
แต่เขาไม่สามารถอธิบายสิ่งเหล่านี้ให้หลินเจียอินเข้าใจได้
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อวานนี้เขาก็มีความคิดบางอย่างเกี่ยวกับวิธีการเลี้ยงลูกสาวของเขา และเดิมที เขาวางแผนว่าจะเริ่มลงมือหลังจากทำบ้านหลังใหม่เสร็จแล้ว
ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะต้องเริ่มแผนการให้เร็วกว่าเดิมแล้วล่ะ
มิฉะนั้นภรรยาของเขาอาจจะเป็นคนแรกที่ไม่เข้าใจสิ่งที่เขาคิด