ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - ตอนที่ 664 ฟังคำพูดของหลินเจียอินพลันนึกย้อนถึงวันเก่า หลังจากที่เจียงเสี่ยวไป๋คุยกับหลี่เฉิงหรูเสร็จแล้ว เฉินอี้เฟย จางกุ้ยหลัน และคนอื่นที่ไม่ค่อยสนิทกับเขาสักเท่าไหร่ก็มาคุยกับเขาสักพัก “ผู้ช่วยเจียง คุณพอใจกับการตกแต่งสปาครั้งที่แล้วไหม ? ” เฉินอี้เฟยถามด้วยรอยยิ้ม “พอใจมาก ! ” เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า “ต่อไป ยังมีสปาอีกหลายแห่งที่ต้องปรับปรุง แต่ก็ยังคงสไตล์ที่เรียบง่ายเหมือนกัน ทั้งในเจียงเฉิง ชิงโจวและเจี้ยนหยาง ฉะนั้นพวกคุณต้องเตรียมการ” เฉินอี้เฟยกล่าวว่า “ไม่มีปัญหา บริษัทโฮเนสท์ โลจิสติกส์มียานพาหนะจำนวนมาก ใช้บรรทุกคนงานและวัสดุได้สบาย ๆ ” เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ดีแล้ว ผมก็แค่อยากจะเตือนคุณล่วงหน้า” เฉินอี้เฟยกล่าวว่า “ฉันก็ได้ยินผู้จัดการเฝิงพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้” เจียงเสี่ยวไป๋จำเรื่องที่เฝิงเยี่ยนหงพูดถึงเรื่องจะบอกให้เฉินอี้เฟยตกแต่งสวนได้ จึงถามไปว่า “ผู้จัดการเฝิงขอให้คุณไปตกแต่งสวนที่บ้านเหรอ ? ” “ใช่แล้ว ! ” เฉินอี้เฟยพยักหน้า “เธอบอกว่าเธออยากได้สวนแบบนั้น หลังจากที่ไปสปามา” เจียงเสี่ยวไป๋พูดว่า “อืม” และพูดเน้นย้ำ “การตกแต่งบ้านแตกต่างจากการตกแต่งที่ทำงาน ฉะนั้นคุณต้องใส่ใจรายละเอียดให้ดี” เฉินอี้เฟยกล่าวว่า “อย่ากังวล ผู้ช่วยเจียง ตอนที่ฉันตกแต่งบ้านของคุณในเจียงวาน พี่จวงขอให้ฉันใส่ใจกับรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนี้มาก ฉันจำมันขึ้นใจเลย” เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “ดีแล้วที่ละเอียดรอบคอบ” หลังจากคุยกับเฉินอี้เฟยสักพัก เขาก็คุยกับจางกุ้ยหลันต่อ เวลาผ่านไปโดยไม่รู้ตัว จากนั้นเมิ่งเสี่ยวเป่ย เย่กวงโต้วและหลินเจียจวินก็ได้เข้ามาที่ห้องประชุมแล้ว เมิ่งเสี่ยวเป่ยเดินไปหาเจียงเสี่ยวไป๋และกระซิบว่า “ผู้ช่วยเจียง เริ่มการประชุมเปิดเจียงเจียกรุ๊ปได้เลยค่ะ ! ” เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า เมิงเสี่ยวเป่ยพูดเสียงดังทันที “ทุกคน กรุณาเงียบหน่อย ต่อไปเราจะได้เริ่มทำการประชุมเปิดแล้ว” การประชุมในช่วงต้นทศวรรษ 1980 นั้นต่างจากรุ่นหลัง ๆ ที่สามารถใช้ลำโพง ไมโครโฟน ฯลฯ ได้ ฉะนั้นโดยพื้นฐาน ผู้พูดจะต้องพูดเสียงดังให้มากที่สุด ทำให้ในสมัยนั้นคนที่มีเสียงดังจึงเหมาะที่จะเป็นผู้นำมากกว่า ไม่เช่นนั้น ถ้ามัวแต่พูดจาสุภาพ คงไม่มีใครฟังพวกเขาในที่ประชุม แม้ว่าเมิ่งเสี่ยวเป่ยจะเป็นผู้หญิงที่สวยและพูดจาไพเราะ แต่เสียงของเธอก็ดังในที่ประชุม เมื่อเธอตะโกน ทุกคนก็เงียบลงทันทีและนั่งลงในที่ของตัวเอง เมิ่งเสี่ยวเป่ยรอให้ทุกคนนั่งลง จากนั้นเธอก็ลุกขึ้นและพูดว่า “วันนี้เป็นวันที่เจียงเจียกรุ๊ปได้รับการก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยจะมีกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย ก่อนกิจกรรมเหล่านี้ ผู้บริหารอาวุโสของบริษัทจะทำการประชุม ซึ่งฉันจะเป็นผู้ดูแลการประชุมในครั้งนี้” ด้านล่าง เจียงเสี่ยวไป๋และคนอื่น ๆ ก็ได้ปรบมือขึ้น เมื่อเสียงปรบมือหยุดลง เมิ่งเสี่ยวเป่ยก็กล่าวว่า “การประชุมมีสองขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1 คือการกล่าวสุนทรพจน์ของประธาน และการแต่งตั้งผู้บริหารบริษัท ขั้นตอนที่ 2 ผู้ช่วยเจียงจะขึ้นมาพูดคุย” “ต่อไป ฉันอยากจะเชิญประธานหลินเจียอินจากเจียงเจียกรุ๊ปขึ้นมากล่าวสุนทรพจน์ค่ะ” หลังจากพูดอย่างนั้น เธอก็ปรบมือนำทุกคน “แปะ แปะ แปะ…” ท่ามกลางเสียงปรบมืออันอบอุ่น หลินเจียอินยืนขึ้นอย่างช้า ๆ เธอยิ้มเล็กน้อย พลางเหลือบมองเจียงเสี่ยวไป๋ก่อน จากนั้นจึงถอยหลังและโค้งคำนับให้ทุกคน เนื่องจากเธอตั้งท้อง เธอจึงก้มได้ไม่มาก แต่ทุกคนยังคงสัมผัสได้ถึงความจริงใจของประธานและเสียงปรบมือก็ดังขึ้นไปอีก หลินเจียอินยกมือขึ้นเพื่อหยุดเสียงปรบมือและกล่าวว่า “ในฐานะประธานเจียงเจียกรุ๊ป ฉันไม่ได้มีส่วนช่วยใด ๆ ให้กับบริษัทเลย มันคือทุกคนที่อยู่ที่นี่ ทุกคนในห้องนี้ ภายใต้การนำของเจียงเสี่ยวไป๋ สามีของฉัน เราเริ่มต้นธุรกิจทีละขั้นตอนจากการตั้งแผงขายผัดมันฝรั่งเล็ก ๆ กับหวังผิงและเฝิงเยี่ยนหง ฉันจำได้ว่าตอนนั้นเจียงเสี่ยวไป๋ต้องขี่จักรยานของหวังผิงเอาลูกสาวและฉันซ้อนเข้าไปในเมืองทุกเช้า วันนั้นของเดือนพฤษภาคม……” หลินเจียอินดูเหมือนจะหวนนึกถึงเรื่องราวเก่า ๆ โดยเล่าถึงประสบการณ์ของเธอในการเริ่มต้นธุรกิจกับเจียงเสี่ยวไป๋ ในห้องประชุม หวังผิง เฝิงเยี่ยนหง และถานเสวี่ยเฉาที่เคยประสบอยู่ในเหตุการณ์นั้นร่วมกัน หลังจากฟังคำพูดของหลินเจียอิน พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงความทรงจำนั้นในวันวาน จากนั้นมุมตาของพวกเขาก็มีน้ำตาคลอเล็กน้อย หวังผิงนึกถึงตอนที่เจียงเสี่ยวไป๋มาหาเขา ความคิดแรกของเขาคือเจียงเสี่ยวไป๋ต้องมาหาเขาเพื่อขอยืมเงิน ตอนนั้นเขาจึงพูดไปว่า: ‘นายมาหาฉันแบบนี้ต้องหนีไม่พ้นเรื่องยืมเงินแน่ ๆ ฉันจะให้นายสูงสุด 3 หยวน เพราะช่วงนี้เยี่ยนหงเข้มงวดเรื่องเงินกับฉันมาก’ แต่ใครจะไปรู้ว่าเจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้มาหาเพื่อขอยืมเงิน เขาพูดว่า : ‘ฉันอยากคุยกับนายเรื่องเช่าที่ และสัญญาว่าจะให้เงินค่าเช่านายเดือนละ 30 หยวน’ นั่นคือตอนที่ธุรกิจของพวกเขาเริ่มต้นขึ้น เฝิงเยี่ยนหงนึกถึงตอนที่เธอได้ยินว่าเจียงเสี่ยวไป๋บอกว่าจะขายผัดมันฝรั่ง เธอบอกตามตรงว่าตอนนั้นเธอมองว่าหัวคิดของเจียงเสี่ยวไป๋ตื้นมาก หากการขายผัดมันฝรั่งสามารถสร้างรายได้ได้จริง เธอจะยอมเรียกชื่อของเขาแบบกลับหลังไปตลอดชีวิต ขณะที่ช่างไม้ถานฟังที่หลินเจียอินพูด เขาก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงครั้งแรกที่เจียงเสี่ยวไป๋ไปหาเขา เพื่อขอให้ทำป้ายโฆษณาให้ ในเวลานั้น เจียงเสี่ยวไป๋ยังคงเป็นผู้ชายสารเลวในสายตาเขาอยู่ เมื่อเจียงเสี่ยวไป๋บอกเขาว่าจะจ้างเขา 10 หยวน เขาก็คิดว่าเจียงเสี่ยวไป๋กำลังมาหลอกเขาอยู่ จนกระทั่งหลินเจียอินเอาเงินมาจ่ายให้เขาจริง ๆ ก่อนจะชวนถานเสี่ยวฟางลูกสาวของเขาไปทำงานในเมือง อดีตกำลังจางหายไป แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครึ่งปีที่แล้วดูเหมือนกับว่าได้ผ่านมาหลายปีแล้ว เป็นเรื่องจริงที่ช่วงเวลาสั้น ๆ นี้มีการเปลี่ยนแปลงมากมายเกิดขึ้น ตอนนี้ เขาเปลี่ยนจากช่างฝีมือธรรมดามาเป็นผู้ถือหุ้น และลูกสาวของเขาก็เปลี่ยนจากพนักงานเป็นผู้จัดการระดับสูงด้วย ครอบครัวที่แต่เดิมไม่มีเงินซื้อยาให้ภรรยาที่ล้มป่วยกลายเป็นครอบครัวแรกที่มีเงิน 10,000 หยวนในเจียงวาน (เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ใช่เศรษฐีในความคิดของเขา แต่เขาเป็นเจ้านายใหญ่ คนที่ไม่พูดถึงเรื่องเงิน) และสิ่งดี ๆ ที่เข้ามาในชีวิตของเขาก็มาจากเจียงเสี่ยวไป๋ทั้งหมด เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็ไม่สามารถกลั้นน้ำตาไว้ได้ ? ช่างไม้ถานเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุด จวงปี้เฉิง หลี่เฉิงหรู และเฉินอี้เฟย ได้พบกับเจียงเสี่ยวไป๋ตอนที่พวกเขายังขายผัดมันฝรั่ง พวกเขาคือช่างที่รับหน้าที่ปรับปรุงโรงน้ำชาให้กลายเป็นร้านอาหารที่ขายพะโล้ ที่มาของร้านอร่อยสามมื้อ ถานซิงซานเพิ่งรู้จักเจียงเสี่ยวไป๋อย่างเป็นทางการเมื่อเขาช่วยช่างไม้ถานไปส่งโต๊ะและเก้าอี้ให้กับร้านของเจียงเสี่ยวไป๋ หลังจากที่เจียงเสี่ยวไป๋เริ่มเปิดร้านขายกุ้งอบน้ำมัน ส่วนเรื่องของหลิวซือกั๋ว ก่อนหน้านั้นเขาและภรรยาของเขาเก็บมันฝรั่ง เขาจึงเข้าไปหาเจียงเสี่ยวไป๋ และบอกว่ายินดีที่จะขายมันฝรั่งให้เจียงเสี่ยวไป๋ในราคาที่ต่ำ แต่เจียงเสี่ยวไป๋ก็ปฏิเสธ และยังจะรับซื้อมันของหลิวซือกั๋วในราคาที่สูง เมื่อเขาเจอแบบนี้ ความประทับใจของเขาที่มีต่อเจียงเสี่ยวไป๋ก็เปลี่ยนไปตั้งแต่ครั้งนั้น และเป็นเพราะความประทับใจในครั้งนั้น ต่อมา เมื่อเขาไปช่วยช่างไม้ถานส่งโต๊ะและเก้าอี้ เขาก็เห็นเจียงเสี่ยวไป๋ทำงานแบบติดดิน เขาจึงขอไปทำงานกับเจียงเสี่ยวไป๋ และกลายเป็นผู้จัดการคนแรก ไม่นานหลังจากนั้น เจียงเสี่ยวไป๋ก็ได้ก่อตั้งโรงงานแห่งแรก เขาจึงได้กลายเป็นผู้จัดการโรงงาน หลังจากฟังเรื่องราวของหลินเจียอิน ดวงตาของเขาก็มีน้ำตาคลอเบ้าเช่นกัน
- Home
- ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน
- ตอนที่ 664 ฟังคำพูดของหลินเจียอินพลันนึกย้อนถึงวันเก่า หลังจากที่เจียงเสี่ยวไป๋คุยกับหลี่เฉิงหรูเสร็จแล้ว เฉินอี้เฟย จางกุ้ยหลัน และคนอื่นที่ไม่ค่อยสนิทกับเขาสักเท่าไหร่ก็มาคุยกับเขาสักพัก “ผู้ช่วยเจียง คุณพอใจกับการตกแต่งสปาครั้งที่แล้วไหม ? ” เฉินอี้เฟยถามด้วยรอยยิ้ม “พอใจมาก ! ” เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า “ต่อไป ยังมีสปาอีกหลายแห่งที่ต้องปรับปรุง แต่ก็ยังคงสไตล์ที่เรียบง่ายเหมือนกัน ทั้งในเจียงเฉิง ชิงโจวและเจี้ยนหยาง ฉะนั้นพวกคุณต้องเตรียมการ” เฉินอี้เฟยกล่าวว่า “ไม่มีปัญหา บริษัทโฮเนสท์ โลจิสติกส์มียานพาหนะจำนวนมาก ใช้บรรทุกคนงานและวัสดุได้สบาย ๆ ” เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ดีแล้ว ผมก็แค่อยากจะเตือนคุณล่วงหน้า” เฉินอี้เฟยกล่าวว่า “ฉันก็ได้ยินผู้จัดการเฝิงพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้” เจียงเสี่ยวไป๋จำเรื่องที่เฝิงเยี่ยนหงพูดถึงเรื่องจะบอกให้เฉินอี้เฟยตกแต่งสวนได้ จึงถามไปว่า “ผู้จัดการเฝิงขอให้คุณไปตกแต่งสวนที่บ้านเหรอ ? ” “ใช่แล้ว ! ” เฉินอี้เฟยพยักหน้า “เธอบอกว่าเธออยากได้สวนแบบนั้น หลังจากที่ไปสปามา” เจียงเสี่ยวไป๋พูดว่า “อืม” และพูดเน้นย้ำ “การตกแต่งบ้านแตกต่างจากการตกแต่งที่ทำงาน ฉะนั้นคุณต้องใส่ใจรายละเอียดให้ดี” เฉินอี้เฟยกล่าวว่า “อย่ากังวล ผู้ช่วยเจียง ตอนที่ฉันตกแต่งบ้านของคุณในเจียงวาน พี่จวงขอให้ฉันใส่ใจกับรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนี้มาก ฉันจำมันขึ้นใจเลย” เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “ดีแล้วที่ละเอียดรอบคอบ” หลังจากคุยกับเฉินอี้เฟยสักพัก เขาก็คุยกับจางกุ้ยหลันต่อ เวลาผ่านไปโดยไม่รู้ตัว จากนั้นเมิ่งเสี่ยวเป่ย เย่กวงโต้วและหลินเจียจวินก็ได้เข้ามาที่ห้องประชุมแล้ว เมิ่งเสี่ยวเป่ยเดินไปหาเจียงเสี่ยวไป๋และกระซิบว่า “ผู้ช่วยเจียง เริ่มการประชุมเปิดเจียงเจียกรุ๊ปได้เลยค่ะ ! ” เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า เมิงเสี่ยวเป่ยพูดเสียงดังทันที “ทุกคน กรุณาเงียบหน่อย ต่อไปเราจะได้เริ่มทำการประชุมเปิดแล้ว” การประชุมในช่วงต้นทศวรรษ 1980 นั้นต่างจากรุ่นหลัง ๆ ที่สามารถใช้ลำโพง ไมโครโฟน ฯลฯ ได้ ฉะนั้นโดยพื้นฐาน ผู้พูดจะต้องพูดเสียงดังให้มากที่สุด ทำให้ในสมัยนั้นคนที่มีเสียงดังจึงเหมาะที่จะเป็นผู้นำมากกว่า ไม่เช่นนั้น ถ้ามัวแต่พูดจาสุภาพ คงไม่มีใครฟังพวกเขาในที่ประชุม แม้ว่าเมิ่งเสี่ยวเป่ยจะเป็นผู้หญิงที่สวยและพูดจาไพเราะ แต่เสียงของเธอก็ดังในที่ประชุม เมื่อเธอตะโกน ทุกคนก็เงียบลงทันทีและนั่งลงในที่ของตัวเอง เมิ่งเสี่ยวเป่ยรอให้ทุกคนนั่งลง จากนั้นเธอก็ลุกขึ้นและพูดว่า “วันนี้เป็นวันที่เจียงเจียกรุ๊ปได้รับการก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยจะมีกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย ก่อนกิจกรรมเหล่านี้ ผู้บริหารอาวุโสของบริษัทจะทำการประชุม ซึ่งฉันจะเป็นผู้ดูแลการประชุมในครั้งนี้” ด้านล่าง เจียงเสี่ยวไป๋และคนอื่น ๆ ก็ได้ปรบมือขึ้น เมื่อเสียงปรบมือหยุดลง เมิ่งเสี่ยวเป่ยก็กล่าวว่า “การประชุมมีสองขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1 คือการกล่าวสุนทรพจน์ของประธาน และการแต่งตั้งผู้บริหารบริษัท ขั้นตอนที่ 2 ผู้ช่วยเจียงจะขึ้นมาพูดคุย” “ต่อไป ฉันอยากจะเชิญประธานหลินเจียอินจากเจียงเจียกรุ๊ปขึ้นมากล่าวสุนทรพจน์ค่ะ” หลังจากพูดอย่างนั้น เธอก็ปรบมือนำทุกคน “แปะ แปะ แปะ…” ท่ามกลางเสียงปรบมืออันอบอุ่น หลินเจียอินยืนขึ้นอย่างช้า ๆ เธอยิ้มเล็กน้อย พลางเหลือบมองเจียงเสี่ยวไป๋ก่อน จากนั้นจึงถอยหลังและโค้งคำนับให้ทุกคน เนื่องจากเธอตั้งท้อง เธอจึงก้มได้ไม่มาก แต่ทุกคนยังคงสัมผัสได้ถึงความจริงใจของประธานและเสียงปรบมือก็ดังขึ้นไปอีก หลินเจียอินยกมือขึ้นเพื่อหยุดเสียงปรบมือและกล่าวว่า “ในฐานะประธานเจียงเจียกรุ๊ป ฉันไม่ได้มีส่วนช่วยใด ๆ ให้กับบริษัทเลย มันคือทุกคนที่อยู่ที่นี่ ทุกคนในห้องนี้ ภายใต้การนำของเจียงเสี่ยวไป๋ สามีของฉัน เราเริ่มต้นธุรกิจทีละขั้นตอนจากการตั้งแผงขายผัดมันฝรั่งเล็ก ๆ กับหวังผิงและเฝิงเยี่ยนหง ฉันจำได้ว่าตอนนั้นเจียงเสี่ยวไป๋ต้องขี่จักรยานของหวังผิงเอาลูกสาวและฉันซ้อนเข้าไปในเมืองทุกเช้า วันนั้นของเดือนพฤษภาคม……” หลินเจียอินดูเหมือนจะหวนนึกถึงเรื่องราวเก่า ๆ โดยเล่าถึงประสบการณ์ของเธอในการเริ่มต้นธุรกิจกับเจียงเสี่ยวไป๋ ในห้องประชุม หวังผิง เฝิงเยี่ยนหง และถานเสวี่ยเฉาที่เคยประสบอยู่ในเหตุการณ์นั้นร่วมกัน หลังจากฟังคำพูดของหลินเจียอิน พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงความทรงจำนั้นในวันวาน จากนั้นมุมตาของพวกเขาก็มีน้ำตาคลอเล็กน้อย หวังผิงนึกถึงตอนที่เจียงเสี่ยวไป๋มาหาเขา ความคิดแรกของเขาคือเจียงเสี่ยวไป๋ต้องมาหาเขาเพื่อขอยืมเงิน ตอนนั้นเขาจึงพูดไปว่า: ‘นายมาหาฉันแบบนี้ต้องหนีไม่พ้นเรื่องยืมเงินแน่ ๆ ฉันจะให้นายสูงสุด 3 หยวน เพราะช่วงนี้เยี่ยนหงเข้มงวดเรื่องเงินกับฉันมาก’ แต่ใครจะไปรู้ว่าเจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้มาหาเพื่อขอยืมเงิน เขาพูดว่า : ‘ฉันอยากคุยกับนายเรื่องเช่าที่ และสัญญาว่าจะให้เงินค่าเช่านายเดือนละ 30 หยวน’ นั่นคือตอนที่ธุรกิจของพวกเขาเริ่มต้นขึ้น เฝิงเยี่ยนหงนึกถึงตอนที่เธอได้ยินว่าเจียงเสี่ยวไป๋บอกว่าจะขายผัดมันฝรั่ง เธอบอกตามตรงว่าตอนนั้นเธอมองว่าหัวคิดของเจียงเสี่ยวไป๋ตื้นมาก หากการขายผัดมันฝรั่งสามารถสร้างรายได้ได้จริง เธอจะยอมเรียกชื่อของเขาแบบกลับหลังไปตลอดชีวิต ขณะที่ช่างไม้ถานฟังที่หลินเจียอินพูด เขาก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงครั้งแรกที่เจียงเสี่ยวไป๋ไปหาเขา เพื่อขอให้ทำป้ายโฆษณาให้ ในเวลานั้น เจียงเสี่ยวไป๋ยังคงเป็นผู้ชายสารเลวในสายตาเขาอยู่ เมื่อเจียงเสี่ยวไป๋บอกเขาว่าจะจ้างเขา 10 หยวน เขาก็คิดว่าเจียงเสี่ยวไป๋กำลังมาหลอกเขาอยู่ จนกระทั่งหลินเจียอินเอาเงินมาจ่ายให้เขาจริง ๆ ก่อนจะชวนถานเสี่ยวฟางลูกสาวของเขาไปทำงานในเมือง อดีตกำลังจางหายไป แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครึ่งปีที่แล้วดูเหมือนกับว่าได้ผ่านมาหลายปีแล้ว เป็นเรื่องจริงที่ช่วงเวลาสั้น ๆ นี้มีการเปลี่ยนแปลงมากมายเกิดขึ้น ตอนนี้ เขาเปลี่ยนจากช่างฝีมือธรรมดามาเป็นผู้ถือหุ้น และลูกสาวของเขาก็เปลี่ยนจากพนักงานเป็นผู้จัดการระดับสูงด้วย ครอบครัวที่แต่เดิมไม่มีเงินซื้อยาให้ภรรยาที่ล้มป่วยกลายเป็นครอบครัวแรกที่มีเงิน 10,000 หยวนในเจียงวาน (เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ใช่เศรษฐีในความคิดของเขา แต่เขาเป็นเจ้านายใหญ่ คนที่ไม่พูดถึงเรื่องเงิน) และสิ่งดี ๆ ที่เข้ามาในชีวิตของเขาก็มาจากเจียงเสี่ยวไป๋ทั้งหมด เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็ไม่สามารถกลั้นน้ำตาไว้ได้ ? ช่างไม้ถานเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุด จวงปี้เฉิง หลี่เฉิงหรู และเฉินอี้เฟย ได้พบกับเจียงเสี่ยวไป๋ตอนที่พวกเขายังขายผัดมันฝรั่ง พวกเขาคือช่างที่รับหน้าที่ปรับปรุงโรงน้ำชาให้กลายเป็นร้านอาหารที่ขายพะโล้ ที่มาของร้านอร่อยสามมื้อ ถานซิงซานเพิ่งรู้จักเจียงเสี่ยวไป๋อย่างเป็นทางการเมื่อเขาช่วยช่างไม้ถานไปส่งโต๊ะและเก้าอี้ให้กับร้านของเจียงเสี่ยวไป๋ หลังจากที่เจียงเสี่ยวไป๋เริ่มเปิดร้านขายกุ้งอบน้ำมัน ส่วนเรื่องของหลิวซือกั๋ว ก่อนหน้านั้นเขาและภรรยาของเขาเก็บมันฝรั่ง เขาจึงเข้าไปหาเจียงเสี่ยวไป๋ และบอกว่ายินดีที่จะขายมันฝรั่งให้เจียงเสี่ยวไป๋ในราคาที่ต่ำ แต่เจียงเสี่ยวไป๋ก็ปฏิเสธ และยังจะรับซื้อมันของหลิวซือกั๋วในราคาที่สูง เมื่อเขาเจอแบบนี้ ความประทับใจของเขาที่มีต่อเจียงเสี่ยวไป๋ก็เปลี่ยนไปตั้งแต่ครั้งนั้น และเป็นเพราะความประทับใจในครั้งนั้น ต่อมา เมื่อเขาไปช่วยช่างไม้ถานส่งโต๊ะและเก้าอี้ เขาก็เห็นเจียงเสี่ยวไป๋ทำงานแบบติดดิน เขาจึงขอไปทำงานกับเจียงเสี่ยวไป๋ และกลายเป็นผู้จัดการคนแรก ไม่นานหลังจากนั้น เจียงเสี่ยวไป๋ก็ได้ก่อตั้งโรงงานแห่งแรก เขาจึงได้กลายเป็นผู้จัดการโรงงาน หลังจากฟังเรื่องราวของหลินเจียอิน ดวงตาของเขาก็มีน้ำตาคลอเบ้าเช่นกัน
ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน นิยาย บท 5737
พูดจบ จึงนำมีดแซะชายื่นไปให้ชิวอิงซาน
ชิวอิงซานรับมีดแซะชามา รีบกล่าวขอบคุณ จะนำโอสถแบ่งออก ณ ตอนนั้น
ตอนนี้เย่เฉินเอ่ยปากกล่าว: “ท่านชิวไม่จำเป็นต้องลำบากครับ”
ชิวอิงซานตกตะลึงไปเล็กน้อย หันไปมองเย่เฉินโดยไม่ตั้งใจ
เย่เฉินในเวลานี้นำยาอายุวัฒนะอีกเม็ดหนึ่งออกมา ยื่นให้แก่ชิวอิงซาน เอ่ยปากกล่าว: “เม็ดนี้ ขอมอบให้ฮูหยินของท่าน รบกวนท่านช่วยส่งมอบแทนผมด้วยครับ”
ทันทีที่คำพูดนี้ออกไป ไม่เพียงแค่ชิวอิงซานตกตะลึงอ้าปากค้าง แม้แต่หลินหว่านเอ๋อร์ก็ตะลึงงันไปเช่นกัน
เธอคิดไม่ถึงเลยว่า เย่เฉินยังจะนำยาอายุวัฒนะที่มีมูลค่ามหาศาลเม็ดหนึ่งออกมาอีก มอบให้แก่คนที่ไม่เคยพบหน้ามาก่อน ภรรยาของชิวอิงซาน
เย่เฉินมาที่โฮมสเตย์จื่อจินหลายครั้ง ภรรยาของชิวอิงซานล้วนเป็นฝ่ายหลีกเลี่ยงความสงสัยไปพร้อมกับคนอื่น ยังไม่เคยพบหน้ากับเย่เฉิน
และนี่ก็เป็นครั้งแรกของเย่เฉินที่นำยาอายุวัฒนะมอบให้แก่คนแปลกหน้าที่ไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน
ที่เขาทำแบบนี้ ทั้งหมดทั้งมวลก็เป็นเพราะขอบคุณที่หลินหว่านเอ๋อร์ที่ช่วยชีวิตตนเองไว้
ผู้อาวุโสตรงหน้าทั้งสามท่านนี้ ล้วนเป็นเด็กกำพร้าที่หลินหว่านเอ๋อร์เลี้ยงดูจนเติบใหญ่ ส่วนภรรยาของชิวอิงซาน คิดไปก็งคงจะเป็นคนที่หลินหว่านเอ๋อร์ค่อนข้างไว้เนื้อเชื่อใจ เย่เฉินคิดเสมอว่า หลินหว่านเอ๋อร์ให้แหวนมหัศจรรย์วงหนึ่งกับตน ช่วยชีวิตของตนเอาไว้ บุญคุณครั้งนี้มากมายถึงขนาดที่ว่าตนไม่รู้ว่าควรจะตอบแทนอย่างไร ดังนั้น เขาจึงใจกว้างกับคนข้างกายของหลินหว่านเอ๋อร์ เป็นอย่างมาก
ในมุมมองของเย่เฉิน บุญคุณแม้เพียงน้ำหยด ก็ควรตอบแทนให้ได้ดั่งสายธาร ในมุมมองที่หลินหว่านเอ๋อร์มีบุญคุณกับตน ไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นยาอายุวัฒนะไม่กี่เม็ด แม้จะให้ตนหลอมยาอายุวัฒนะให้พวกเขาสักเตาหนึ่งโดยเฉพาะก็ไม่เป็นไร
และชิวอิงซานในเวลานี้ ถึงแม้ภายในใจจะตื่นตะลึงทั้งตื่นเต้นดีใจ แต่กลับไม่กล้าลงมือหยิบโอสถโดยพลการ ดังนั้นทำได้แค่เพียงมองไปทางหลินหว่านเอ๋อร์ รอให้เธอพยักหน้าอนุญาตเสียก่อน
ถึงแม้ว่าชิวอิงซานจะไม่รู้ว่าทำไมเย่เฉินจะต้องดีกับพวกเขาสามคน แม้กระทั่งภรรยาของตนขนาดนี้ แต่ว่าภายในใจของเขาแน่ใจข้อหนึ่ง ทั้งหมดนี้ ไม่ใช่เพราะพวกเขาอย่างแน่นอน จะต้องเป็นเพราะคุณหนูของตนอย่างแน่นอน
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ที่เย่เฉินใจกว้างขนาดนี้ ทั้งหมดทั้งมวลเป็นเพราะเห็นแก่เกียรติของคุณหนูของตน
และเดิมทีพวกเขาก็เป็นคนที่ถูกหลินหว่านเอ๋อร์เลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เดิมทีก็คือซาบซึ้งใจในหลินหว่านเอ๋อร์เป็นล้นพ้น ในเวลานี้จะกล้าหักหน้าหลินหว่านเอ๋อร์ที่ไหนกัน มาเพื่อผลประโยชน์บางอย่างของตนเอง
ดังนั้น ยาอายุวัฒนะเม็ดนี้จะรับไว้ได้หรือไม่ ก็ต้องดูว่าคุณหนูของตนอนุญาตหรือไม่
หลินหว่านเอ๋อร์จ้องมองเย่เฉินอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง ภายในใจประทับใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ จากนั้นถึงกล่าวกับชิวอิงซาน: “คุณชายเย่มีเจตนาดี เธอก็ไม่ต้องบ่ายเบี่ยงลังเลแล้ว คุกเข่าขอบคุณคุณชายเย่แทนภรรยาของเธอที่มอบของขวัญให้!”
ชิวอิงซานมองไปด้วยความดีใจ รีบคุกเข่าลงบนพื้นอีกครั้ง กล่าวด้วยความเคารพเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง: “กระผมชิวอิงซาน ขอบคุณคุณชายเย่ที่มอบของขวัญให้!”
เย่เฉินจนปัญญา ก็ทำได้เพียงยอมให้เขาคุกเข่า จากนั้นก็ยื่นโอสถไปที่มือของเขา เอ่ยปากกล่าว: “ท่านชิว รีบลุกขึ้นมาทานยาเร็วเข้าเถอะครับ!”
ดังนั้นชิวอิงซานถึงได้ค่อยๆลุกขึ้น สบตากับเพื่อนวัยเดียวกันสองคนแวบหนึ่ง ทั้งสามคนนำยาอายุวัฒนะเม็ดหนึ่งใส่ลงไปในปากพร้อมกัน
ความมหัศจรรย์ของยาอายุวัฒนะ แสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนอีกครั้ง
ร่างกายของทั้งสามคน ทั้งหมดกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของการย้อนเวลากลับไปสู่อดีตด้วยความเร็ว
หลินหว่านเอ๋อร์จ้องมองทั้งสามคนนี้จากความแก่ชรากลายเป็นวัยรุ่นขึ้นมาก ในเบ้าตาอดไม่ได้ที่จะเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา
ตามที่เธอพูด หลังจากที่สงครามโลกครั้งที่สองจบลง เนื่องจากเธอหลบหนีการตามไล่ฆ่าขององค์กรพั่วชิงยากขึ้นเรื่อยๆ จึงไม่ได้รับเลี้ยงเด็กกำพร้าอีก
พูดขึ้นมา ชิวอิงซานพวกเขา คงจะเป็นผลสำเร็จเพียงเล็กน้อยที่เหลืออยู่ ในบรรดาเด็กกำพร้าที่เธอเคยรับเลี้ยง
ถ้าหากพวกเขาสามคนเสียชีวิตไป หลินหว่านเอ๋อร์ก็จะเข้าสู่สภาวะโดดเดี่ยวอย่างแท้จริง อีกอย่าง นี่อาจจะเป็นความโดดเดี่ยวที่กินเวลานานถึงร้อยปี ที่ไม่สามารถหวนคืนได้จนกระทั่งถึงแก่ความตาย
ดังนั้น ถึงแม้เธอจะแสดงออกอย่างค่อนข้างเฉยเมยกับทั้งสามคนมาโดยตลอด แต่ภายในใจกลับมีความรู้สึกพึ่งพาอยู่มาก
ทั้งสามคนนี้สามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกยี่สิบปี ก็แสดงว่าความโดดเดี่ยวของตนต้องก็จะต้องลดลงไปตามยี่สิบปี……