novel-lucky | นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย PDF
  • หน้าหลัก
  • ดูอนิเมะ anime
  • anime
  • โดจิน
ค้นหานิยาย
Sign in Sign up
  • จันทร์
  • อังคาร
  • พุธ
  • พฤหัสบดี
  • ศุกร์
  • เสาร์
  • อาทิตย์
  • ทุกวัน
  • จบแล้ว
  • นิยาย PDF
  • จันทร์
  • อังคาร
  • พุธ
  • พฤหัสบดี
  • ศุกร์
  • เสาร์
  • อาทิตย์
  • ทุกวัน
  • จบแล้ว
  • นิยาย PDF
Sign in Sign up
Prev
Next
hotgraph Hydra888 xoslotz ดูบอลสด UFAC4 PANAMA888 lotto432 ufabet london168 newyork UFAZEED UFA1919 PG freefire เว็บหวยฮานอย ซื้อหวยฮานอย SSGAME350 เล่นเซ็กซี่บาคาร่า AE SEXY เว็บบาคาร่าดีที่สุด dgthai nowbet หวยออนไลน์

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) - บทที่ 255 จักรพรรดิที่กำลังจะคลั่งตาย

  1. Home
  2. พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)
  3. บทที่ 255 จักรพรรดิที่กำลังจะคลั่งตาย
Prev
Next

บทที่ 255 จักรพรรดิที่กำลังจะคลั่งตาย

เกาหยูอาจเป็นสิ่งมีชีวิตที่พิเศษที่สุดในอาณาจักรจันทราทั้งหมด ตราบเท่าที่เขาได้รับการเลี้ยงดูด้วยอาหารเป็นอย่างดี เขาจะอยู่ในทุกที่ที่เขาถูกบอกให้อยู่

อย่างไรก็ตามหากเขายังไม่อิ่ม เขาก็จะคอยเดินตามหลังหลิงยี่เทียนและขออาหารจากหลิงยี่เทียน นี่เป็นเพราะหลิงตู้ฉิงบอกว่าจะขออะไรให้ไปขอหลิงยี่เทียน

และตอนนี้เขาหิวอีกแล้ว!

หลิงยี่เทียนพูดด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย “ข้าเพิ่งให้หมีเหมันต์กับเจ้าไป 2 ตัว เมื่อวานนี้เองไม่ใช่เหรอ?”

“ก็นั่นมันเมื่อ 2 วันที่แล้วนี่นา และข้าก็กินมันหมดไปตั้งแต่วันที่ได้มาแล้วด้วย ตอนนี้ข้าไม่ได้กินอะไรมา 2 วันแล้ว ดูท้องข้าสิ!” เกาหยูพูดด้วยสีหน้าน่าสงสาร

หมีเหมันต์ เป็นสัตว์อสูรของป่าสัตว์เวทย์ หมีเหมันต์แต่ละตัวมีน้ำหนักอย่างน้อยสองถึงสามพันกิโลกรัม พูดอีกนัยหนึ่งคือใน 2 วัน เกาหยูได้ย่อยหมีเหมันต์ทั้ง 2 ตัวจนหมด

สิ่งที่ทำให้หลิงยี่เทียนยิ่งพูดไม่ออกก็คือหลังจากที่เกาหยูกินหมีเหมันต์ทั้งสองไปแล้ว น้ำหนักของเกาหยูก็ไม่ได้ขึ้นเลย

“ถ้าขืนยังเป็นแบบนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วข้าคงจะถูกเจ้ากินไปด้วย!” หลิงยี่เทียนแทบจะอาเจียนเป็นเลือด “เจ้ารู้ไหมว่าการกินล้างผลาญของเจ้าแบบนี้ ข้าถึงกับต้องใช้เสบียงถึง 1 ใน 1,000 ส่วนของเสบียงที่เลี้ยงคนได้ทั้งอาณาจักรเพื่อแบ่งให้กับเจ้า!”

หลิงยี่เทียน ตอนนี้นับวันเขาเริ่มรู้สึกว่าเกาหยูค่อย ๆ ห่างจากคำว่ามนุษย์ไปทุกที จนเขากลายเป็นเหมือนสัตว์เลี้ยงสำหรับเขาซะมากกว่า

เกาหยูหัวเราะแห้ง ๆ และพูดว่า “โธ่ ฝ่าบาท ข้ารับประกันเลยว่ามันคุ้มค่าแน่นอน รอจนกว่าข้าจะแข็งแกร่งขึ้นก่อนเถอะ ฝ่าบาท ข้าจะเอาชนะใครก็ได้ที่ท่านต้องการให้ข้าเอาชนะ! นอกจากนี้อย่าจับสัตว์อสูรธรรมดาอย่างหมีเหมันต์มาให้ข้ากินเลย การกินสัตว์ชนิดนี้ไม่เป็นประโยชน์สำหรับข้าสักเท่าไหร่แล้ว ต่อให้ข้ากินมันพอเวลาผ่านไปได้ชั่วประเดี๋ยวประด๋าวข้าก็หิวอีก อันที่จริงถ้าจะให้ดีที่สุดนะฝ่าบาท ท่านควรจะหาเนื้อแบบเดียวกับเนื้อกวางที่อาจารย์หลิงให้ข้ากินในครั้งสุดท้ายนั่นจะดีที่สุด”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลิงยี่เทียนเส้นเลือดบนขมับของเขาปูดโปนขึ้นมาด้วยความโมโหทันที “นั่นคือกวางวิเศษที่อยู่จุดสูงสุดของขอบเขตนภา เจ้าคิดว่าเราจะได้พบมันได้ง่าย ๆ อย่างงั้นเหรอ?”

“แต่ข้าหิวนี่นาฝ่าบาท และที่สำคัญอาจารย์หลิงก็เป็นคนบอกเองนี่ว่าถ้าข้าหิวเมื่อไหร่ เขาก็บอกให้ข้ามาบอกกับท่านได้ทุกเมื่อ” เกาหยูมองไปที่หลิงยี่เทียนด้วยแววตาน่าสงสาร

ตอนนี้วิชาปีศาจศักดิ์สิทธิ์กลืนกินของเกาหยูมีพลังมากขึ้นเรื่อย ๆ และพลังงานภายในร่างกายของเขาก็เผาผลาญอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเท่ากับบังคับให้เขาต้องดูดซับพลังงานจำนวนมากยิ่งขึ้น และเมื่อความต้องการของพลังงานสูงขึ้นมันก็ยิ่งง่ายที่เขาจะหิวไวขึ้น หากเป็นสัตว์อสูรธรรมดา แม้ว่ามันจะมีน้ำหนักหลายหมื่นกิโล แต่เมื่อต้องเผชิญกับระบบภายในของเขาที่เผาผลาญพลังงานได้เร็วเช่นนี้ มันก็ใช้เวลาแค่เพียงไม่กี่นาทีในการย่อยสลายให้หมดไป

หลิงยี่เทียนจ้องไปที่เกาหยูสักพัก เขาเอามือกุมขมับและพูดว่า “กงเจี้ยน จงไปที่ป่าสัตว์เวทย์และจับสัตว์อสูรในขอบเขตรวมแสงดาราสัก 2-3 ตัวมาให้เขา จะจับมาแบบเป็น ๆ หรือตายแล้วก็ได้ทั้งนั้น แต่ขอแค่อย่างเดียวคือให้เน้นพวกที่ตัวใหญ่ ๆ เท่านั้นพอ!”

“พะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!” กงเจี้ยนบินตรงไปยังป่าแห่งสัตว์เวทย์อย่างงงงัน เขาที่เป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์ที่สูงส่ง แต่ตอนนี้กลับได้มากลายเป็น ‘ผู้ดูแลสัตว์เลี้ยง’ ไปซะแล้วงั้นเหรอ?

“ขอบพระทัย ฝ่าบาท!” เกาหยูพูด หลิงยี่เทียนโบกมือและพูดว่า “ออกไปรอกงเจี้ยนข้างนอกซะ พอเขาเอาสัตว์อสูรกลับมา เจ้าก็ค่อยเอาพวกมันไปกินด้วยตัวเอง!”

เกาหยูหันหลังกลับอย่างเชื่อฟัง อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้จากไปไหนไกล แต่นั่งอยู่บนขั้นบันไดนอกพระราชวัง เขาจะไม่ออกไปจนกว่ากงเจี้ยนจะกลับมา

“ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าท่านพ่อส่งเขามาให้ข้าทำไม?” หลิงยี่เทียนอดไม่ได้ที่จะบ่นกับจูเหยียนและเหมยจู้

จูเหยียนยิ้มและพูดว่า “เมื่อพูดถึงการบ่มเพาะ เกาหยูเป็นคนที่ฝึกฝนได้เร็วที่สุดในศาลาศักดิ์สิทธิ์ของเรา พวกเราเองยังอยู่แค่ในขอบเขตประสานทะเลปราณระดับสูงเอง แต่เขากลับอยู่ในขอบเขตรวมแสงดาราไปแล้ว”

นี่คือความน่าสะพรึงของเกาหยู

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา สิ่งที่เกาหยูกินเข้าไปนั้นมีมูลค่ามากกว่าหลายล้านล้านเหรียญทองของหลิงยี่เทียน และที่สำคัญเขายังเคยกินผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราระดับ 9 เข้าไปด้วย

หรือจะพูดได้อีกอย่างหนึ่งก็คือ ทั้งตัวของเกาหยูนั้นก็ไม่ต่างอะไรจากสิ่งมีชีวิตที่ทำขึ้นมาจากเหรียญทอง

ในอาณาจักรจันทราทั้งหมดไม่มีใครสามารถเทียบความเร็วในการบ่มเพาะกับเกาหยูได้ ยิ่งไปกว่านั้นเกาหยูได้ทะลวงผ่านขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 13 มาก่อนที่จะเข้าสู่ขอบเขตรวมแสงดารา ความสำเร็จเหล่านี้แสดงถึงเหรียญทองจำนวนมหาศาลที่ถูกใช้ไป

หลิงยี่เทียนส่ายหัวและพูดว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะข้าต้องหวังพึ่งพละกำลังของเขา ข้าล่ะอยากจะผ่าท้องของเขาออกมาดูจริง ๆ ว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นในร่างกายของเขากันแน่และเขาจะสามารถกินอาหารได้มากที่สุดแค่ไหน ว่าแต่พี่สาวจู พี่สาวเหมย พวกท่านสองคนมาที่นี่มีอะไรหรือเปล่า?”

จูเหยียนมองไปที่เหมยจู้และพูดว่า “ข้ามีความคิดบางประการที่อยากจะหารือกับฝ่าบาท แต่มันคงจะใช้เวลานานสักหน่อยสำหรับเรื่องของข้า ฉะนั้น ข้าจะให้น้องเหมยพูดเรื่องของนางก่อนดีกว่า”

เหมยจู้มองไปที่จูเหยียน จากนั้นมองไปที่หลิงยี่เทียนและพูดอย่างเขินอายว่า “คือ…ว่า…ฝ่าบาท…ท่านพ่อของข้าบอกให้ข้าแต่งงานกับท่าน!”

“หะ!?” หลิงยี่เทียนมองไปที่เหมยจู้ด้วยสายตาแข็งค้าง

“พ่อของข้าสั่งกับข้าอย่างเฉียบขาดว่า ถ้าข้าไม่สามารถเป็นผู้หญิงของฝ่าบาทได้ เขาจะไม่ให้ข้ากลับไปเหยียบที่เรือนอีกและให้อาศัยอยู่ที่วังไปเลย” เหมยจู้หน้าแดง

จูเหยียนพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “พ่อของข้า ก็สั่งแบบนี้เช่นกัน!”

หลิงยี่เทียนพูดด้วยอาการปวดหัว “เดี๋ยวก่อน ๆ พี่สาวทั้งสอง พวกท่านอย่าล้อข้าเล่นแบบนี้ได้ไหม? แค่ข้าต้องเผชิญกับความตะกละของเกาหยูคนเดียวข้าก็เครียดมากจนจะตายอยู่แล้ว!”

“นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น!” เหมยจู้พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ฝ่าบาท อันที่จริงข้าก็ไม่อยากแต่งงานกับท่านเลยเช่นกัน ชีวิตของข้าเองตอนนี้ก็ต้องการเพียงแค่หาที่เงียบ ๆ เพื่อฝึกฝนเคล็ดวิชาการต่อสู้ แต่พ่อแม่ของข้าก็ตื้อจนข้ารำคาญจริง ๆ”

จูเหยียนถอนหายใจ “นับตั้งแต่ท่านขึ้นครองบัลลังก์ครอบครัวของข้าก็พูดถึงแต่เรื่องนี้ ไม่กี่ปีที่ผ่านมาข้าอ้างพวกเขาว่าท่านยังเด็ก แต่ตอนนี้ข้ออ้างที่ข้าเคยอ้างกับพวกเขามันก็ใช้ไม่ได้ผลอีกแล้วเนื่องจากท่านเองก็ได้โตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ช่วงนี้พวกเขาจึงกดดันและบังคับข้าอย่างหนักหน่วง จนข้าเองก็ต้องเป็นฝ่ายที่ยอมแพ้”

“อันที่จริง ข้าก็ไม่อยากแต่งงานกับท่านเช่นกัน เนื่องจากข้าเองก็มีเป้าหมายของชีวิตที่อยากจะทำอย่างอื่น ซึ่งนั่นก็คือการฝึกฝนในวิชาที่ข้าได้รับการถ่ายทอดมาจากพ่อของท่าน ซึ่งก็คืออาจารย์หลิง ข้าต้องการที่จะฝึกฝนศาสตร์แห่งค่ายกล ซึ่งใช้งานผ่านลวดลายที่ข้าปักอยู่บนผืนผ้าให้บรรลุจนถึงระดับสูงสุด แต่ในเมื่อเรื่องราวมันยุ่งเหยิงจนเป็นแบบนี้แล้ว”

“ข้าจึงคิดทางออกมาได้หนึ่งทางนั่นก็คือให้ฝ่าบาทมอบตำแหน่งอะไรก็ได้ให้ข้าหรือว่าจะเป็นนางสนมก็ได้เช่นกัน ถ้าท่านไม่ชอบข้าก็ท่านไม่จำเป็นต้องสนใจข้าและปล่อยให้ข้ามีที่เงียบ ๆ ส่วนตัวเพื่อฝึกฝนต่อไป แต่ถ้าท่านชอบข้าขึ้นมาข้าก็ไม่รังเกียจที่จะเป็นผู้หญิงของท่านเช่นกัน อย่างน้อย ๆ ข้าก็จะได้ไม่ต้องถูกตระกูลของข้ากดดันอีก”

“นั่นคือสิ่งที่ข้าคิดเหมือนกัน!” เหมยจู้พยักหน้าอย่างแน่วแน่

หลิงยี่เทียนเกาหัวและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น พวกท่านรอให้ข้ากลับคฤหาสน์แล้วคิดดูก่อน และเมื่อข้าตัดสินใจได้เมื่อไหร่ข้าจะบอกพวกท่านอีกที”

หลิงยี่เทียนรู้สึกปวดหัวขึ้นมา

ทันทีที่เขาก้าวออกจากประตู เขาเห็นเกาหยูซึ่งกำลังนั่งอยู่บนบันไดและขมวดคิ้ว

“ฝ่าบาทข้าหิว…” เกาหยูพูดทันทีเมื่อเห็นหลิงยี่เทียน

หลิงยี่เทียนไม่สนใจและสั่งให้คนของเขาพาเขากลับไปที่คฤหาสน์สราญรมย์ทันที อย่างไรก็ตามเกาหยูซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราระดับ 9 ก็ได้บินตามเขามาเช่นกัน

แต่เมื่อถึงด้านนอกคฤหาสน์สราญรมย์ เกาหยูก็รออยู่ที่ด้านนอกไม่กล้าเข้าไปในคฤหาสน์สราญรมย์โดยไม่ได้รับอนุญาต

แต่ในระหว่างที่เขาลอยตัวอยู่บนท้องฟ้านอกคฤหาสน์สราญรมย์รอหลิงยี่เทียนได้สักพัก เมื่อเขาได้เห็นร่างของกงเจี้ยน ในที่สุดเขาก็จากไป

หลิงยี่เทียน เมื่อเห้นว่าร่างของเกาหยูได้จากไปแล้วเขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อเขาพบหลิงตู้ฉิงก็บ่นขึ้นว่า “ท่านพ่อไอ้ เกาหยูที่ท่านให้มาติดตามข้า มันกินล้างกินผลาญเกินไปจนข้าแทบทนไม่ไหวแล้ว! ท่านรู้ไหมว่าเมื่อ 2 วันที่แล้วข้าเพิ่งให้เขากินหมีเหมันต์เข้าไปตั้ง 2 ตัวนะท่านพ่อ แต่พอมาวันนี้เขาก็มาบ่นกับข้าว่าหิวอีกแล้ว ตอนนี้ข้าเริ่มชักจะทนไม่ไหวอีกแล้วนะท่านพ่อ!”

หลิงตู้ฉิงที่กำลังพลิกเหรียญตราผนึกสวรรค์ไปมาในมือ พูดโดยไม่เงยหน้าขึ้น “พลังของเกาหยูไม่ได้ด้อยไปกว่าดอกบัวปีศาจกระหายโลหิตของน้าจื่อซินของเจ้า นอกจากนี้เขายังสามารถใช้ความสามารถของเขาเมื่อไหร่ก็ได้ตามที่ใจเขาต้องการ ว่าแต่เจ้าให้เขากินเนื้อแค่อย่างเดียวเท่านั้นเหรอ? พ่อคงจะลืมบอกกับเจ้าไปว่าอันที่จริงแล้วสิ่งที่เขาต้องการคือพลังงาน ถ้าเจ้าให้เนื้อกับเขาเพียงอย่างเดียวมันก็คงไม่มีผลอะไรมากนัก ทำไมไม่ลองให้เหล็กทมิฬหรือว่าจะเป็นหินคริสตัลกับเขาดูบ้างล่ะ?”

“เขากินหินคริสตัลได้ด้วย!” หลิงยี่เทียนตกใจ

“แน่นอน ก็ขนาดคนเขายังกินได้นี่นาจริงไหม” หลิงตู้ฉิงพูดอย่างหนักแน่นว่า “หรือไม่เจ้าก็ลองปล่อยให้เขากินอะไรก็ได้ตามที่เขาต้องการดู ยิ่งคุณภาพของสิ่งที่เขากินเข้าไปยิ่งสูงมากขึ้นเท่าไหร่มันก็จะอยู่ท้องเขาได้นานขึ้น วิชาที่เขาบ่มเพาะอยู่นั้นเรียกว่าวิชาปีศาจศักดิ์สิทธิ์กลืนกิน และเมื่อในอนาคตที่เขาได้บ่มเพาะวิชาปีศาจศักดิ์สิทธิ์กลืนกินไปจนถึงระดับสูงสุดแล้ว เกาหยูคนนี้จะกลายเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวที่สุดที่อยู่ข้างกายเจ้า”

“แต่วิธีการบ่มเพาะแบบนี้มันจะไม่น่ากลัวเกินไปหน่อยงั้นเหรอท่านพ่อ?” หลิงยี่เทียนบ่มอุบ

“ก็ถ้ามันไม่น่ากลัวมันจะเป็นวิชาของปีศาจได้ยังไง แต่สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งคือเจ้าต้องคอยยับยั้งเขาไว้และอย่าปล่อยให้เขากินคน ถึงต่อให้มันจะเป็นวิชาที่เป็นของปีศาจที่ชั่วร้ายมาก่อน ตราบใดที่เจ้าใช้มันอย่างถูกวิธีและควบคุมมันด้วยศีลธรรม เจ้าก็สามารถใช้มันทำเรื่องที่ดีและมีประโยชน์ต่อตัวเจ้าได้” หลิงตู้ฉิงอธิบายด้วยสีหน้าจริงจัง

“ท่านพ่อไม่ต้องห่วง ข้าจะคอยยับยั้งเขา!” หลิงยี่เทียนรีบพูด “ว่าแต่ท่านพ่อ ข้ามีอีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะปรึกษา ข้าจะจัดการกับจูเหยียนและเหมยจู้ยังไงดี…?”

จากนั้นหลิงยี่เทียนก็เล่าถึงเรื่องของจูเหยียนและเหมยจู้ให้หลิงตู้ฉิงฟัง ซึ่งเขาหารู้ไม่ว่าเรื่องแบบนี้มันก็เป็นจุดอ่อนที่สุดของหลิงตู้ฉิงเช่นกัน

หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “เจ้าควรเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ด้วยตัวเอง”