มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 85 จิ๋งจิ่วจัดการ (1)
นิสัยของสำนักชิงซานหลักๆ จะแสดงออกมาในคำพูดติดปากที่พวกเขา นั่นก็คือคำว่า “เจ้าอยากตายหรือ?” ที่มีชื่อเสียงประโยคนั้น
บางครั้งคำพูดประโยคนี้ก็แสดงออกมาในรูปแบบอื่น อย่างเช่นการพูดคำว่าอืมเบาๆ ที่นักพรตหลิ่วฉือและจัวหรูซุ่ยที่เป็นศิษย์คนสุดท้ายของเขา แล้วก็จิ๋งจิ่วในตอนนี้ชื่นชอบที่จะพูดออกมา
เหอปู้มู่เป็นผู้อาวุโสของยอดเขาซื่อเยวี่ย อยู่กับพวกยาและสมุนไพรที่พูดไม่ได้เหล่านี้มาเป็นเวลานาน นิสัยจึงมีความสุขุมอ่อนโยน ในตอนที่กล่าวคำพูดประโยคนี้ออกมา เขาก็ได้เปลี่ยนคำพูดเล็กน้อย ดูสุภาพขึ้นกว่าเดิม อย่างน้อยก็มีการเอ่ยถึงตัวเลือกไม่อยากตายออกมา
แต่ไม่ว่าใครต่างก็รู้ว่ามันไม่มีประโยชน์ ต่อให้คำพูดของผู้อาวุโสเหอจะอ่อนโยนแค่ไหน แต่ความจริงแล้วมันก็ยังแข็งกร้าวและเย็นยะเยือกอย่างมากอยู่
ในช่วงเวลาที่สำคัญ ที่ผ่านมาสำนักชิงซานจะให้ตัวเลือกแก่โลกนี้เพียงแค่สองข้อเท่านั้น คือยอมศิโรราบหรือว่าตาย
หากสำนักเสวียนหลิงเกิดความวุ่นวาย เจ้าสำนักเฉินและเซ่อเซ่อเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ ชิงซานที่เป็นผู้ดูแลระเบียบของโลกแห่งการบำเพ็ญพรตทางดินแดนใต้จะต้องจัดการอย่างแน่นอน
เช่นนั้นก็หมายความว่า ไม่ว่าชายวัยกลางคนที่ชื่อเต๋อยวนเฉวียนผู้นี้จะสืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักได้สำเร็จหรือไม่ เขาก็ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
คำพูดติดปากของสำนักชิงซานประโยคนี้ ผู้บำเพ็ญพรตจำนวนมากต่างเคยได้ยินมาก่อน แต่คนที่เคยได้ยินมันกับหูจริงๆ กลับมีอยู่ไม่มาก
ภายในงานมีเสียงฮือฮาดังขึ้นมา
หลายๆ คนคิดว่า เพื่อที่จะรอฝนฤดูใบไม้ผลินั้นแล้ว สำนักชิงซานน่าจะอยู่อย่างเงียบๆ ไปอีกหลายปี ใครจะไปคิดบ้างว่าผู้อาวุโสที่ดูเหมือนอ่อนโยนผู้นี้จะบีบบังคับเหล่าไท่จวินและเต๋อยวนเฉวียนจนไม่มีทางถอยเช่นนี้ หรือว่าวันนี้ชิงซานจะสังหารคนต่อหน้าทุกคน?”
สีหน้าของเหล่าไท่จวินไม่มีการเปลี่ยนแปลง รอยเหี่ยวย่นที่เหมือนใช้มีดแกะสลักขึ้นมาไม่ขยับแม้แต่น้อย
“นี่เป็นเรื่องในสำนักเสวียนหลิงของข้า ต่อให้พวกท่านชิงซานจะเป็นผู้นำแห่งฝ่ายธรรมะ ก็ไม่อาจสอดมือเข้ามาข้องเกี่ยวได้”
นางถือไม้เท้า เดินไปข้างหน้าสองก้าวอย่างช้า มองดูเหอปู้มู่พลางกล่าวด้วยใบหน้าเรียบเฉยว่า “คิดอยากจะสั่งการทั่วทั้งใต้หล้า? สำนักชิงซานคิดจะเลียนแบบนิกายเสวี่ยหมัวหรือ?”
นี่เป็นคำตำหนิที่รุนแรงและมีเหตุผลอย่างมาก ไม่ว่าเป็นใครก็ยากที่จะตอบได้ ยิ่งไปกว่านั้นเหอปู้มู่ก็เหมือนกับผู้ฝึกกระบี่คนอื่นของสำนักชิงซานที่ไม่ถนัดเรื่องต่อปากต่อคำ แต่เหตุใดผู้ฝึกกระบี่ของชิงซานส่วนใหญ่ถึงไม่ถนัดเรื่องการพูด? นั่นย่อมต้องเป็นเพราะสำนักชิงซานไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องเหตุผลกับคนอื่น
“ดูเหมือนเขาอวิ๋นเมิ่งจะสัญญาอะไรเอาไว้กับเหล่าไท่จวินจริงๆ”
เหอปู้มู่ชี้จุดสำคัญของเรื่องนี้ออกมาตรงๆ “ข้าไม่อยากรู้เรื่องเหล่านั้น แต่พรุ่งนี้ข้าต้องได้เห็นเจ้าสำนักและคุณหนู ไม่อย่างนั้นล่ะก็ คนนี้ใครนะ….”
หลินอิงเหลียงที่เป็นศิษย์ของยอดเขาซื่อเยวี่ยที่ยืนอยู่ข้างๆ กล่าวว่า “เต๋อยวนเฉวียนขอรับ”
เหอปู้มู่กล่าวต่อว่า “….ถูกต้อง คุณชายเต๋อยวนเฉวียนผู้นี้ ข้าก็คงได้แต่ต้องขอให้ท่านลองตายดูเสียหน่อยแล้ว”
เมื่อกล่าวจบประโยคนี้ เขาก็พาหลินอิงเหลียงและศิษย์ชิงซานอีกสองสามคนเดินออกจากโถงไป ไม่เปิดโอกาสให้เหล่าไท่จวินได้เอ่ยปากอีก
ผู้บำเพ็ญพรตจำนวนหลายร้อยคนที่อยู่ภายในโถงต่างนิ่งเงียบไม่พูดอะไร ภายในอากาศอบอวลไปด้วยบรรยากาศตึงเครียดและกดดัน
ทุกคนต่างรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าอารมณ์ของผู้อาวุโสผู้นี้กับศิษย์หนุ่มอีกสองสามคนล้วนแต่ไม่ค่อยดี ค่อนข้างเกรี้ยวกราด
เห็นได้ชัดว่าทางสำนักชิงซานไม่ยากจะชักกระบี่ส่งเดช ด้วยกลัวว่าจะถูกโลกแห่งการบำเพ็ญพรตครหานินทา ถึงได้เลือกที่จะจากไปเอง ให้เวลาสำนักเสวียนหลิงได้คิดหนึ่งคืน
ส่วนเรื่องที่ใครจะเป็นฝ่ายชนะ นี่มิใช่สิ่งสำคัญที่เหล่าผู้บำเพ็ญพรตครุ่นคิดถึง
ถึงแม้เหอปู้มู่จะเป็นผู้อาวุโสธรรมดา พาศิษย์ธรรมดามาด้วยแค่สองสามคน แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นศิษย์และผู้อาวุโสของสำนักชิงซาน
ต่อให้พวกเขาไม่สามารถจัดการสำนักเสวียนหลิงได้ สำนักชิงซานย่อมต้องส่งคนมา
เรื่องที่สำนักกระบี่ซีไห่ถูกสำนักชิงซานถล่มสำนักเมื่อสองปีก่อน เชื่อว่าผ่านไปอีกสองร้อยปีก็ยังไม่มีใครลืม
สายตาทุกคู่ต่างมองไปยังเหล่าไท่จวิน อยากรู้ว่านางจะตัดสินใจอย่างไร
หากเจ้าสำนักเฉินและเต๋อเซ่อเซ่อเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ สงครามย่อมเป็นเรื่องที่ยากจะหลีกเลี่ยงได้ แต่จากนิสัยของเหล่าไท่จวินแล้ว นางน่าจะไม่ทำให้เรื่องราววุ่นวายตั้งแต่เริ่ม
สีหน้าของเหล่าไท่จวินไม่มีการเปลี่ยนแปลง มองไม่เห็นถึงควาลังเลและการยอมอ่อนข้อใดๆ
ผู้คนคิดถึงคำพูดประโยคนั้นของผู้อาวุโสเหอ ในใจคิดว่าเป็นจริงดั่งว่า สำนักจงโจวยื่นมือเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้แล้ว…แต่ว่าทางนั้นปิดสำนักอยู่มิใช่หรือ?
……
……
เมื่อกลับมาถึงเรือนที่เงียบสงบ สมณะทั้งสามถอดหมวกลี่เม่าออก
สมณะแก่มองจิ๋งจิ่วพลางกล่าวอย่างถอนใจว่า “อารมณ์ของผู้อาวุโสสำนักท่านร้อนไปหน่อยนะ”
สำหรับลูกศิษย์ของพุทธศาสนาแล้ว การที่ยังไม่ทันทำอะไรก็ไปถามคนอื่นว่าอยากตายหรือเปล่าหรือว่าเชิญคนอื่นให้ไปตายนั้นเป็นเรื่องยากจะยอมรับได้
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เหอปู้มู่นอกจากปลูกสมุนไพรแล้วก็ต้องปรุงยา ก็เลยรู้สึกร้อนไปบ้าง”
ร้อนสองคำนี้มันไม่ใช่เรื่องเดียวกันเลย
แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้สนใจท่าทีของเหอปู้มู่เลย
เป็นเพราะเรื่องนั้น สำนักชิงซานในตอนนี้จึงเงียบเป็นอย่างมาก แต่ความเงียบมิได้หมายถึงว่าต้องการอยู่อย่างเงียบๆ ไม่เป็นที่สังเกต ทว่าในเวลาส่วนใหญ่มันหมายถึงว่ากำลังมีการสะสมของพลังอะไรบางอย่าง
จากเขาไปจนถึงหยวนฉีจิง จากเหอปู้มู่ไปจนถึงเหล่าศิษย์หนุ่มอย่างหลินอิงเหลียง อารมณ์ของพวกเขาล้วนแต่มีปัญหา จึงย่อมต้องหุนหันพลันแล่นไปบ้าง
แต่ในเวลาแบบนี้ เหล่าไท่จวินของสำนักเสวียนหลิงยังไปจับมือกับสำนักจงโจว สำนักชิงซานจึงทำการตอบโต้ที่แข็งกร้าวออกมาจากในสัญชาตญาณ
สมณะหนุ่มฟังบทสนทนาของอาจารย์และจิ๋งจิ่วไม่เข้าใจ จึงถามอย่างเป็นกังวลว่า “เจ้าสำนักเฉินและคุณหนูจะไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
จิ๋งจิ่วมองไปทางท้องฟ้าที่อยู่ด้านนอกเรือน คล้ายกำลังฟังเสียงอะไรอยู่ จากนั้นครู่หนึ่งจึงกล่าวขึ้นมาว่า “ไม่เป็นอะไร”
สมณะแก่กล่าวกับเขาว่า “ท่านจะจัดการที่นี่จริงๆ หรือ?”
จิ๋งจิ่วส่งเสียงอืม
……
……
น้ำในทะเลสาบหลีหมิงเป็นสีเขียว ภายในน้ำคล้ายมีขนสีขาวก้อนหนึ่งกำลังลอยผลุบๆ โผล่ๆ ไม่รู้ว่าเป็นปุยขาวของเมล็ดหลิว ที่ถูกลมพัดมากองรวมกัน หรือว่าคือห่านสีขาวที่กำลังก้มหน้าลงไปกินปลา
ภายในน้ำมีเสียงสวบดังขึ้น ขนสีขาวก้อนนั้นจมหายลงไปใต้ทะเลสาบ แหวกว่ายไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งกลายเป็นเส้นสีขาวเส้นหนึ่ง เงียบเชียบไร้สุ่มเสียง ไม่มีใครสังเกตุเห็น
กระดิ่งที่ห้อยอยู่บนยอดหลิวริมทะเลสาบเหล่านั้นมิได้ส่งเสียงเตือนใดๆ ออกมา
ผ่านไปไม่นาน บนเกาะเล็กๆ ที่อยู่ห่างไกลแห่งหนึ่งมีลมพัดโชยแผ่วเบา แมวสีขาวที่เนื้อตัวเปียกโชกตัวหนึ่งปรากฏขึ้นมา ขนของมันยาวเป็นอย่างมาก ปกติเวลาอยู่บนยอดเขาเสินม่อจะถูกเจ้าล่าเยวี่ยและจักจั่นเหมันต์หวีจนเรียบลื่น สังเกตไม่เห็นอะไร แต่ทันทีที่เปียกน้ำ ขนจับตัวกันเป็นก้อนๆ ดูแล้วกระเซอะกระเซิงเป็นอย่างมาก
白猫挺胸收腹低头,努力地舔了舔胸口,发现只是徒劳,恼火地摆了摆头,跳进了数百丈外的那片树林里。
แมวขาวยืดหน้าอกหดท้องก้มหน้า พยายามที่จะเลียหน้าอกของตัวเอง สุดท้ายก็พบว่าเปล่าประโยชน์ จึงส่ายศีรษะอย่างหงุดหงิด กระโดดเข้าไปในป่าที่อยู่ห่างออกไปหลายร้องจ้าง
การป้องกันของสำนักเสวียนหลิงมีความแน่นหนาเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเกาะเล็กๆ แห่งนี้ ทุกที่ล้วนแต่เต็มไปด้วยข่ายพลังและกลไก
ข่ายพลังและกลไกเหล่านี้ไม่อาจทำอันตรายมันได้ แต่ถ้าหากไปทำให้สัญญาณเตือนดังขึ้น มันจะยุ่งยากเอาได้
ก็เหมือนอย่างที่เหล่าไท่จวินผู้นั้นก็มิใช่คู่ต่อสู้ของมัน แต่ถ้าหากอีกฝ่ายเอาอาวุธวิเศษประจำสำนักเสวียนหลิงออกมาสู้ตาย มันก็ยุ่งยากเช่นเดียวกัน
เรื่องที่แมวขาวชื่นชอบมากที่สุดในชีวิตนี้ก็คือการนอน นอนอยู่บนหัวจิ๋งจิ่ว นอนอยู่ในอ้อมอกของเจ้าล่าเยวี่ย และเรื่องที่มันไม่ชอบมากที่สุดก็คือความยุ่งยากวุ่นวาย
ดังนั้นมันจึงระมัดระวังเป็นอย่างมาก ไม่ได้ทิ้งรอยเท้าใดๆ เอาไว้บนหาดทราย แล้วก็ไม่ได้ทิ้งรอยปัสสาวะเอาไว้ใต้ต้นไม้ แต่การที่ต้องเดินอย่างระมัดระวังเช่นนี้ เดิมทีมันก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยากอย่างมากอยู่แล้ว สายตาของมันยิ่งดูหงุดหงิด ในใจครุ่นคิดว่าจิ๋งจิ่วสามารถทำตัวเป็นเหมือนก้อนหิน เดินเหินไปมาโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็นได้ เหตุใดถึงต้องให้มันมาด้วย?
ในเวลานี้เอง มันได้ยินเสียงที่ฟังดูอ่อนแรงดังลอยออกมาจากในผนังหิน
“ลำบากลูกแล้วจริงๆ….”
“ท่านแม่ ท่านอย่าพูดแบบนี้…ท่านย่าเป็นคนไม่ดี…ถึงอย่างไรเสียข้าก็ไม่ชอบนาง”
“อย่าว่าผู้อาวุโสแบบนี้ หากมิเป็นเพราะครั้งนี้เจ้าทำให้นางเสียใจเป็นอย่างมาก นางก็คงไม่ทำเช่นนี้”
“เหอะ นางไม่ยอมให้ข้ากับพี่จานอยู่ด้วยกัน ข้าไม่มีวันเชื่อฟังนางหรอก เป็นพระแล้วยังไง? พระกินข้าวบ้านเราหรือ?”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ แมวขาวก็มั่นใจแล้วว่าที่นี่คือที่ที่ตนตามหา คนที่ถูกขังอยู่ในผนังหินก็คือแม่ลูกที่ตนเองตามหาคู่นั้น
มันเงยหน้าส่งเสียงเมี้ยวเบาๆ ขึ้นไปบนท้องฟ้า
………………………………………………………………