ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 240 ยังเอาลูกหลานข้าไปมอบให้คนอื่นอีก!
บทที่ 240 ยังเอาลูกหลานข้าไปมอบให้คนอื่นอีก!
นับตั้งแต่กองกำลังของหอจี้ซื่อในเมืองฝู่ซางถูกกำจัดไปเกือบหมดแล้ว พวกที่เหลือรอดและซ่อนตัวอยู่ก็ไม่สามารถก่อคลื่นลมใหญ่ได้ ผู้คนในเมืองต่างดูเปลี่ยนไป ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม กล้าพูดจาดังขึ้น โดยเฉพาะเวลาที่พูดถึงหอจี้ซื่อ
เมืองที่ถูกทำลายกำลังถูกสร้างขึ้นใหม่ นักกลั่นโอสถขั้นต้นที่ถูกกดขี่ข่มเหงได้สูดอากาศแห่งอิสรภาพที่ห่างหายไปนานอีกครั้ง
ทุกคนต่างหวังพึ่งพาสุราปราบมารเพื่อออกจากเมืองฝู่ซาง ไปหาเงินก้อนโตที่ข้างนอก และสัมผัสความรู้สึกของการเป็นนักกลั่นโอสถที่มีค่า
หลิงเยว่แปลงร่างเป็นหนุ่มน้อยเดินฝ่าฝูงชนออกมาอย่างองอาจ นางจะไปดูถนนที่ตนเองซื้อมาถึงครึ่งหนึ่ง หัวหน้าตะขาบมรกตแปลงเป็นแมลงจิ๋วนอนหลับอยู่บนบ่าของนาง
จริง ๆ แล้วไม่ต้องเดินก็ดี อืม… หัวหน้าตะขาบมรกตปลอบใจตัวเองแบบนั้น
เนื่องจากถนนชิงเฟิงเกิดการต่อสู้ครั้งแล้วครั้งเล่า ตึกรามบ้านช่องพังทลายหมด แม้แต่พื้นถนนยังเกิดเป็นหลุมบ่อ ถนนที่ยาวสุดลูกหูลูกตาทำให้หลิงเยว่ท้อแท้เป็นอย่างยิ่ง
“หัวหน้าตะขาบมรกต พวกเราไปปล้นกันเถิด!”
พอพูดถึงเรื่องนี้ หัวหน้าตะขาบมรกตนอนไม่หลับอีกต่อไป ตาถั่วแดงเล็ก ๆ เบิกโพลงขึ้นทันที มันแย่งชิงหินวิญญาณมาได้ยากเย็นแสนเข็ญ สุดท้ายกลับถูกมนุษย์เปราะบางหลอกล่อขู่เข็ญเอาไปจนหมด ตอนนี้เขากำลังกังวลอยู่พอดีว่าตนไม่มีหินวิญญาณเหลือเลยสักก้อน ตอนนี้โอกาสมาถึงแล้ว!
“เจ้าจะไปปล้นใคร!”
หลิงเยว่ชำเลืองมองหัวหน้าตะขาบมรกต พลางถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เช่นนั้น… เอาที่ดินให้ลูกศิษย์ของนางดีกว่า
“ข้าไม่เอา” เซี่ยซิ่นรุ่ยผู้ได้รับโฉนดที่ดินส่ายหน้าไม่หยุด บ้านเขามีร้านค้ามากมาย ไม่จำเป็นต้องรับที่ดินของอาจารย์เช่นนี้
“ข้าก็ไม่เอา ท่านอาจารย์ พวกเราสามารถอาศัยฝีมือตัวเองหาเงินได้!”
“ใช่แล้ว!”
ศิษย์กว่าร้อยคนปฏิเสธ
พวกเขาคงจะบ้าไปแล้ว แม้แต่โฉนดที่ดินเมืองฝู่ซางที่มีค่าดุจทองคำ ก็ไม่เอา หลิงเยว่อดสงสัยในชีวิตไม่ได้
หลิงเยว่ผู้สงสัยในชีวิตลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะไปถึงหน้าบ้านของศิษย์ที่เสียสละ นางเดินไปมาหน้าประตูอยู่นาน ในที่สุดจึงตัดสินใจเคาะประตูที่ปิดสนิท
เมื่อประตูถูกเปิดออก หลิงเยว่พลันกลั้นหายใจ
“ใคร… หรือ?”
เสียงเด็ก ๆ ดังขึ้นพร้อมกับหัวเล็ก ๆ โผล่ออกมา
เด็กหญิงดูเหมือนจะอายุแค่สี่ห้าขวบ หน้าตาคล้ายกับหยางเนี่ยนลูกศิษย์ของนาง โดยเฉพาะท่าทางเอียงหัวสงสัยช่างเหมือนยิ่งนัก!
“ซือซือ ใครมาหรือ? เป็นเพื่อนของพี่สาวอีกแล้วหรือ?”
เสียงฝีเท้าดังมาจากไกล ๆ ทำให้หลิงเยว่เห็นใบหน้าอิดโรยของเจ้าของบ้านได้อย่างชัดเจน หางตาของนางแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่าเพิ่งร้องไห้มา
“ข้าคือหลิงเยว่ ขออภัย… ข้าไม่สามารถปกป้องเนี่ยนเนี่ยนได้”
หญิงชราชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยกมือขึ้นอย่างโกรธเคือง หลิงเยว่ไม่หลบ แต่หลับตารอรับฝ่ามือ เพราะนี่คือสิ่งที่นางสมควรได้รับอยู่แล้ว
ถ้าตอนนั้นนางรีบไปที่หอจี้ซื่อทันที หยางเนี่ยนคงไม่ตายเช่นนี้…
ฝ่ามือไม่ได้ถูกตบลงมา หญิงชราชักมือกลับ พร้อมกับมองหลิงเยว่ด้วยสีหน้าซับซ้อน นี่คืออาจารย์ที่เนี่ยนเนี่ยนพูดถึงด้วยดวงตาเป็นประกายทุกครั้งเมื่อกลับมาบ้าน ถ้าไม่ใช่เพราะคนตรงหน้า… แต่จะโทษนางฝ่ายเดียวได้อย่างไร?
นางออกไปเผชิญหน้ากับเซี่ยงหยางคนเดียวเพื่อช่วยศิษย์ของตัวเอง…
มันคือชะตากรรม…
หญิงชราปิดหน้า กลั้นน้ำตาไม่อยู่อีกต่อไป
“ท่านแม่ ชื่อนี้ช่างคุ้นหูนัก ดูเหมือนว่าข้าเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน” เด็กหญิงตัวน้อยก้าวข้ามธรณีประตู เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าอีกฝ่าย แล้วเงยหน้ามองหลิงเยว่ที่กำลังก้มหน้าอยู่
“อ้าว! ท่านร้องไห้ด้วยเหตุใดกัน? คงต้องคิดถึงพี่สาวของซือซือแน่เลย ทุกครั้งที่พวกพี่ ๆ มา พวกเขาก็จะร้องไห้ทุกที ข้าไม่ร้องไห้แล้ว พี่สาวไม่ชอบที่ข้าร้องไห้นักหรอก นางมักจะบอกว่าข้ายิ้มแล้วสวยกว่าตอนร้องไห้…”
“ใช่แล้ว เวลาที่เจ้ายิ้มแล้วสวยจริง ๆ”
หลิงเยว่คุกเข่าลง ลูบหน้าเด็กหญิงตัวน้อยเบา ๆ จากนั้นจึงยื่นกล่องไม้ใบใหญ่ให้นาง “ของขวัญสำหรับซือซือที่น่ารักของพวกเรา”
“อะไรกัน!” หยางซือตาเป็นประกาย พลางกอดกล่องไม้ใหญ่ไว้
หลิงเยว่ไม่ตอบ แต่ลุกขึ้นยืนโค้งคำนับให้หญิงสูงวัยด้วยความนอบน้อม “โปรดอย่าปฏิเสธเลย นี่เป็นสิ่งเดียวที่ข้าทำแทนเนี่ยนเนี่ยนได้ แล้วก็สิ่งนี้ด้วย…”
ตะขาบมรกตสี่ปีกตัวจิ๋วบินออกมาจากมือของหลิงเยว่แล้วไปเกาะบนไหล่ของหญิงสูงวัย
หลิงเยว่กลัวว่าจะถูกปฏิเสธ จึงรีบเดินจากไปทันที
“เจ้าเอาลูกหลานของข้าไปให้คนอื่นอีกแล้ว!” หัวหน้าตะขาบมรกตบ่นเล็กน้อย แล้วพลิกตัวส่งเสียงฮึมฮัมเบา ๆ แต่ไม่ได้มีทีท่าว่าจะเรียกเจ้าตะขาบมรกตตัวนั้นกลับมา
หลิงเยว่รู้สึกเศร้าเกินกว่าจะพูดอะไรอีกแล้ว
“ท่านแม่ เหตุใดพี่สาวคนนั้นถึงมีท่าทางแปลก ๆ แบบนั้นเจ้าคะ?”
เด็กหญิงส่ายหัวอย่างไม่เข้าใจ ส่วนหญิงสูงวัยอุ้มนางขึ้นมา แล้วปิดประตูกลับเข้าไปในห้อง
“ท่านแม่ ข้าเปิดกล่องดูได้หรือไม่?”
“เปิดเถิด” ผู้เป็นแม่พูด พลางลูบสัตว์สี่ปีกในมือด้วยความเอ็นดู
หีบไม้ใหญ่ถูกเปิดออก ภายในมีสุราสามไหเล็ก ๆ วางอยู่ เป็นสุราปราบมาร ชารู้แจ้งแบบเก่าและแบบใหม่ ที่เหลือเต็มไปด้วยโฉนดที่ดิน และยังมีป้ายหยกเล็ก ๆ วางอยู่ด้านบนด้วย
บนนั้นสลักชื่อหยางซือ เป็นป้ายหยกแสดงตัวตนของศิษย์ในสถาบัน!
นางแทบไปอยากเชื่อสายตาตนเอง แค่ตะขาบมรกตสี่ปีกตัวเดียวก็มากพอแล้ว นี่มัน…
“อาจารย์ ท่านไปที่ใดมา?” เมื่อเซี่ยซิ่นรุ่ยเห็นหลิงเยว่ นางก็รีบเข้ามาหาทันที
“ไปดูเนี่ยนเนี่ยน”
เซี่ยซิ่นรุ่ยพลันหุบยิ้ม แล้วกำลังจะพูดอะไรสักอย่าง แต่นายท่านตระกูลเซี่ยกลับโผล่มาพาหลิงเยว่ไปด้วยความร้อนรนราวกับมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น โดยไม่สนใจลูกชายของตัวเองเลยสักนิด
เซี่ยซิ่นรุ่ย “…”
“ท่านมีธุระอะไรหรือ?” หลิงเยว่ถูกลากมายังจวนตระกูลเซี่ยด้วยความมึนงง “หรือว่าฮวนฮวนเกิดเรื่องอะไรขึ้น!?”
“ใช่! เจ้ารีบมาดูเร็ว” นายท่านตระกูลเซี่ยเปิดห้องฝึกวิชา ดอกไม้โลหิตปีศาจลอยอยู่กลางอากาศ กลีบดอกสีดำที่ถูกกลืนกินไปนั้นควรเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือด แต่เหตุใดถึงกลับกลายเป็นสีแดงทองเช่นนี้!
ฮูหยินเซี่ยร้อนใจมาก นางเคยเห็นดอกไม้โลหิตปีศาจมาก่อน กลีบดอกล้วนเป็นสีแดงเลือด แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นกลีบสีแดงทองขึ้นมาเช่นนี้ มีอะไรผิดพลาดตรงไหนหรือ?
หลิงเยว่ก็ไม่เข้าใจเช่นกัน นางจึงสอบถามระบบ
[กลายพันธุ์แล้ว]
“แค่นี้เองหรือ? เป็นการกลายพันธุ์ที่ดีหรือไม่?”
[ดี การปรากฏของกลีบสีแดงทองหมายความว่า ต่อไปถึงแม้นางจะกลายเป็นปีศาจก็จะไม่สูญเสียสติปัญญา]
นี่สิถึงจะถูก หลิงเยว่ทวนคำพูดของระบบให้ทั้งสองคนตรงหน้าฟัง
นายท่านตระกูลเซี่ยทั้งประหลาดใจและยินดี เขาเตรียมใจไว้แล้วว่าลูกสาวของเขาคงจะกลายเป็นจอมปีศาจที่ฆ่าคนได้โดยไม่กะพริบตา แต่ตอนนี้…
“จริงหรือ?”
ฮูหยินเซี่ยจับมือของหลิงเยว่ไว้ และกอดนางทันทีหลังจากที่นางพยักหน้ารับอีกครั้ง
“อีกครึ่งปีกว่า ๆ ข้าจะต้องออกจากเมืองฝู่ซางแล้ว และเมื่อถึงเวลานั้นข้าจะต้องพาฮวนฮวนไปด้วย”
ฮูหยินเซี่ยที่เพิ่งกอดนางอยู่เปลี่ยนสีหน้าทันที ข้างนอกมีคนไล่ล่านางมากมาย การออกเดินทางไปกับนางไม่เท่ากับเป็นการส่งฮวนฮวนไปตายหรือ?
หากนางจะออกไปตายก็แล้วแต่นาง แต่จะพาฮวนฮวนไปตายด้วยหรืออย่างไร?
“ต้องจากไปจริง ๆ หรือ?” นายท่านตระกูลเซี่ยถามย้ำอีกครั้ง
หลิงเยว่พยักหน้า ความเงียบปกคลุมทั้งสามคนเป็นเวลานาน หลังจากนั้นฮูหยินเซี่ยพลันร้องไห้ออกมาเสียงดัง