ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1180 กลืนกิน (2)
หลังตกลงใจ ลู่เซิ่งก็เคลื่อนไหวทันที เร่งความเร็วแหวกว่ายในบริเวณรอบๆ พร้อมกับกวาดจิตที่อันเหมือนคลื่นมหึมาไปในอาณาเขตใกล้ๆ
ไม่นานเขาก็พบเป้าหมายที่เหมาะสม
จักรวาลที่ดูเหมือนลูกแอปเปิ้ล ปรากฏออกมาจากความมืดมิดว่างเปล่าอย่างช้าๆ มันกำลังส่งกลิ่นหอมน่าหลงไหลออกมาเหมือนผลสาลี่ที่ทุกสุกงอม
ลู่เซิ่งเพียงสำรวจดูเล็กน้อย ความอยากอาหารก็เกิดขึ้น อ้าปากพุ่งใส่จักรวาลแห่งนั้นทันที
เขาในเวลานี้เป็นปลาดำที่มีเพียงปาก ขนาดร่างปานกลาง หลังจากสร้างทักษะที่ใช้หลุมดำย่อยสลายและดูดซับพลังอาวรณ์ออกมา เขาก็ไร้ความเกรงกลัวมากกว่าเดิม
เวลากินจักรวาล เขาจะสร้างหลุมดำในจักรวาลแห่งหนึ่งเพื่อดูดซับพลังอาวรณ์จนแห้งเหมือนดื่มน้ำผลไม้ จากนั้นก็โยนเข้าไปโลกรูปจิต ทำแบบนี้กลับไปกลับมา
จักรวารรอบๆ เริ่มถูกเขาดูดกลืนเข้ามาในร่าง
สำหรับลู่เซิ่งแล้ว สิ่งมีชีวิตและวัตถุทั้งหมดที่เข้าสู่โลกรูปจิตล้วนกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างหลักเขา
กฎของโลกรูปจิตเหมือนเส้นเลือดของเขา สสารและพลังงานเหมือนเลือดเนื้อของเขา มิติและเวลาคือผิวและกระดูกของเขา ส่วนจิตของเขาคือวัตถุที่อยู่เหนือกว่าทุกสิ่งในนั้น คอยตัดสิ นทุกสิ่งทุกอย่าง
ยิ่งโลกรูปจิตของเขาแข็งแกร่งขึ้น ยิ่งทำให้จิตใจของเขาไต่ระดับไปถึงจุดสูงสุดที่อยู่เหนือจินตนาการ
ถ้าบอกว่า โลกรูปจิตของเขาเป็นจักรวาลเล็กๆ ในร่างกาย อย่างนั้นเขาในตอนนี้ก็กำลังดูดกลืนทุกอย่างจากนอกโลกมาเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่จักรวาลของตัวเอง เพื่อทำให้ตัวเองแทนที่ ความว่างเปล่าและการดำรงอยู่ในโลกภายนอก
การปฏิบัติการนี้ไม่ก่อให้เกิดผลลัพธ์อะไรในตอนที่จำนวนของจักรวาลที่หายไปยังน้อยอยู่ สหพันธ์การดำรงอยู่ รากแห่งความว่างเปล่า และเหล่าราชาโลกวิญญาณที่กำลังสู้กันล้วนไม่รู้ตัว
เพียงแต่ตอนที่ลู่เซิ่งกินมากขึ้นเรื่อยๆ เขมือบจักรวาลรอบๆ เขตเหนือธารมารดาเกือบทั่ว
ความรกร้างของสภาพแวดล้อม พลันทำให้ราชาโลกเกิดความระวังตัว
และในตอนนี้เอง ในที่สุดลู่เซิ่งที่หาจักรวาลใหม่ๆ ได้ยากขึ้นเรื่อยๆ ก็หันเป้าไปที่ธารมารดา
…
ซู่…
คลื่นไร้รูปร่างที่ไม่รู้ว่าใหญ่และยาวขนาดไหนกลุ่มหนึ่ง ขยายตัวกลางความมืดมิดว่างเปล่าอย่างช้าๆ
ซีหนิงยืนอยู่ในความมืดมิดว่างเปล่าเพียงลำพัง มองดูแสงเรื่อๆ ที่กำลังมาจากที่ไกลอย่างช้าๆ
ที่นี่คือโลกวิญญาณอุดร เป็นขอบเขตที่เขาซีหนิงดูแล
แม้สำหรับผู้เข้มแข็งระดับเขาแล้ว ขนาดพื้นที่ของโลกวิญญาณอุดรใหญ่เท่าดาวเคราะห์ธรรมดาดวงหนึ่งที่คนธรรมดามองเห็นเท่านั้น
แต่จำนวนจักรวาลที่บรรจุอยู่ด้านในกลับมีอย่างน้อยหลายล้านดวง
จักรวาลเหล่านี้กำลังสูญหายและเกิดใหม่ตลอดเวลา นี่คือวัฏจักรชีวิต เป็นการเคลื่อนที่โดยธรรมชาติ
และตอนนี้ ก็กำลังมีคนทำลายวัฏจักรนี้อยู่
ได้สติกลับมา ซีหนิงหันไปมองทางขวา ผนังด้านนอกธารมารดาตรงนั้นปรากฏตัวตนประหลาดที่กำลังกะพริบแสงสีขาวกลุ่มหนึ่ง
พวกเขาคือผู้เข้มแข้งที่สุดของสหพันธ์การดำรงอยู่ในเวลานี้
ผู้นำคือชายชราที่มือหนึ่งถือไม้เท้าคล้ายรูปกรง เขารู้จักอีกฝ่าย ตาเฒ่านั่นเรียกว่าผู้ล่าดาว ชื่อไม่มีความสำคัญอะไรมาแต่แรกแล้ว
เมื่อไม่ใช่สัจจะวิญญาณ ชื่อจริงก็ไร้ความหมายสำหรับพวกเขา
ซีหนิงสู้กับอีกฝ่ายมาหลายครั้ง จำเป็นต้องยอมรับว่า ผู้ล่าดาวเป็นคนที่รับมือยากมากคนหนึ่ง
ถ้าเป็นในสถานการณ์ปกติ เวลานี้เมื่อพวกเขาเจอหน้ากัน วินาทีต่อไปนี้ต้องเปิดศึกกันแน่นอน
ทว่าตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นสหพันธ์การดำรงอยู่หรือวงกลมยักษ์มืดมิดที่ขยับขยุกขยิกอยู่ด้านหลังซีหนิง
ล้วนไม่มีใครเป็นฝ่ายลงมือ
“ที่แจ้งพวกเจ้ามาด่วนขนาดนี้ ก็เพราะเรื่องนั้น” ซีหนิงกล่าวเสียงทุ้ม
ผู้เข้มแข็งระดับพวกเขา เวลาพูดไม่ต้องใช้คลื่นเสียง หากแค่ส่งคลื่นจิตออกไปโดยตรง
“พวกเจ้าก็น่าจะสังเกตเห็นแล้วใช่หรือไม่ จำนวนจักรวาลในความมืดมิดว่างเปล่าที่กำลังลดน้อยลงด้วยความเร็วสูงในช่วงนี้”
ผู้ล่าดาวเงียบเสียง
“ใช่ ไม่อย่างนั้นเราคงไม่ยืนอยู่ตรงหน้าเจ้าอย่างอดทนถึงเพียงนี้”
เจ้าคนปริศนานั่นกินจักรวาลไปมากมายและรวดเร็วเหลือเกิน
โดยเปลือกนอกแล้ว ความว่างเปล่าไม่สนใจว่าจักรวาลจะอยู่หรือไม่ จะทำลายหรือว่าจะดำรงอยู่ สุดท้ายก็จะกลายเป็นพลังแห่งความว่างเปล่าทั้งหมดอยู่ดี
ทว่าพวกเขาไม่เหมือนกัน
พอซีหนิงนึกถึงสัตว์ประหลาดตัวนั้น ในใจก็อดสั่นกลัวไม่ได้
สำหรับราชาโลกเช่นพวกเขา เจ้านั่นเหมือนร่างแปลงที่แท้จริงของความว่างเปล่ามากกว่า
กลืนกินทุกสิ่ง ทำลายทุกอย่าง
“ที่เชิญพวกเจ้ามาในครั้งนี้ ก็เพื่อจะปรึกษาวิธีจัดการสัตว์ประหลาดตัวนั้น” ซีหนิงนิ่งเงียบเล็กน้อย ก่อนกล่าวเสียงทุ้ม
ทุกคนด้านหลังผู้ล่าดาวปั่นป่วน
มีคนคิดจะเอ่ยบางอย่าง แต่เพื่อนที่อยู่ด้านข้างห้ามไว้
“พวกเราดูเหมือนแข็งแกร่ง แต่ก็แค่การดำรงอยู่กระจ้อยร่อยร้อยในธารมารดาที่ไร้สิ้นสุดเท่านั้น มีพลังอ่อนแอ เกรงว่าจะช่วยเจ้าไม่ได้” ผู้ล่าดาวกล่าวเสียงเรียบ
อย่างไรคนที่โดนอยู่ในตอนนี้ก็เป็นฝั่งความมืดมิดว่างเปล่า ไม่ใช่เรื่องของพวกเขา ซีหนิงจะต้องลนลานกว่าพวกเขาแน่
ซีหนิงไม่ลนลานสิแปลก เวลาเบื่อหน่ายไม่มีอะไรทำในความมืดมิดว่างเปล่า งานอดิเรกในยามปกติของเขาคือการไปเสพสุขในจักรวาลที่ถูกพลังแห่งความว่างเปล่ากัดกร่อน
เมื่อจักรวาลพวกนี้หายไป เขาจะอยู่ในความมืดมิดว่างเปล่าอย่างน่าเบื่อตัวคนเดียว ฆ่าเขาให้ตายเสียยังดีกว่า
ยิ่งอย่าว่าแต่สมดุลของวัฏจักรเกิดปัญหา หากว่ากระตุ้นให้เกิดความว่างเปล่าครั้งใหญ่จริงๆ ครั้นทุกอย่างถูกพลังแห่งความว่างเปล่าทำลาย เขาก็ไม่รอดเหมือนกัน
“พวกเจ้าคิดว่าพวกเจ้าจะรอดได้หรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้านั่นทำอะไรลงไป มันเปลี่ยนปฐมพลังส่วนใหญ่กลายเป็นพลังวารีเทา!”
ผู้ล่าดาวงุนงง เหล่าผู้เข้มแข็งด้านหลังเขาปั่นป่วนยิ่งกว่าเดิม
แม้หอคอยวารีเทาจะเป็นขุมกำลังที่อ่อนแอและไม่โดดเด่นในสายตาพวกเขา แต่ความพิเศษและความเร้นลับของอีกฝ่ายก็ดูลี้ลับไม่เห็นร่องรอยมาโดยตลอด
เพราะความกริ่งเกรงต่อพลังวารีเทา ไม่ว่าจะเป็นความว่างเปล่าหรือการดำรงอยู่ ต่างก็มีการสะกดพลังวารีเทาเป็นระยะ
และตอนนี้ ซีหนิงกลับบอกพวกเขาว่า สัตว์ประหลาดนั่นแปลงจักรวาลเป็นพลังวารีเทาหรือ
“นั่นมัน…ยุ่งยากจริงๆ แล้ว…” ผู้ล่าดาวผุดสีหน้าเคร่งขรึม
“ดังนั้น เรื่องราวมาถึงขั้นนี้ พวกเราต้องร่วมมือกันแล้ว” ดวงตาซีหนิงฉายแววเหี้ยมเกรียม
ก่อนหน้านี้เขาไปหยั่งเชิงลู่เซิ่งไกลๆ มาแล้วครั้งหนึ่ง ครั้งนี้เขาแน่ใจแล้วว่าตนเองสู้อีกฝ่ายไม่ได้
ลักษณะเด่นของพลังวารีเทาก็ตัดสินได้แล้ว บริวารที่ระดับความแข็งแกร่งไม่เพียงพอ ส่งไปก็เป็นการมอบกับแกล้มให้ลู่เซิ่งเปล่าๆ
ดังนั้นเขาจึงติดต่อสหพันธ์การดำรงอยู่ เพื่อปรึกษาวิธีการจัดการสัตว์ประหลาดที่วิปริตขึ้นเรื่อยๆ ตัวนั้น
…
‘เรายังแกร่งไม่พอ!’
‘เพื่อซ่อนตัว เราจะต้องกินเยอะๆ!’
‘กินตรงนี้เสร็จค่อยไปกินตรงนั้นต่อ!’
‘จริงสิ เรากินไปทั้งหมดเท่าไหร่แล้ว’
ลู่เซิ่งที่ว่ายอยู่ในความว่างเปล่าส่ายหางยักษ์ ขณะใคร่ครวญคำถามนี้
แต่ไม่ว่าเขาจะคิดอย่างไร ก็รู้สึกว่าตัวเองคิดไม่ออกว่ากินไปเท่าไหร่แล้ว เพราะเขาไม่ได้นับจำนวนของจักรวาลที่ตนเองกินไปแล้ว
เขาแหวกว่ายไปเรื่อยๆ ร่างกายพองขยายขึ้นหลายหมื่นเมตร
ทุกๆ ครั้งที่เขาว่ายไปในความว่างเปล่า จะสามารถสร้างคลื่นสั่นสะเทือนผืนใหญ่ได้ ไม่ว่าจะเป็นพลังแห่งความว่างเปล่าหรือจักรวาลเล็กๆ ต่างก็ถูกพลังวารีเทาที่เหี้ยมหาญซึ่งกระจายอ ออกมาจากผิวเขาดูดกลืน
มองไปไกลๆ ทุกๆ ที่ที่เขาเคลื่อนผ่านจะถูกลากเป็นร่องรอยสีเทาหยาบใหญ่หลายสาย แม้เส้นทางสีเทาพวกนี้จะถูกพลังแห่งความว่างเปล่านับไม่ถ้วนกลบหายในเวลาไม่นาน
แต่เมื่อร่างกายเขาใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ การกลบฝังของพลังแห่งความว่างเปล่าก็มีการเปลี่ยนแปลงน้อยนิดสุดขีด ช้าลงๆ และกินแรงยิ่งขึ้น
การดำรงอยู่อย่างพวกซีหนิงอาจไม่รู้ว่า ตอนนี้แม้แต่ความมืดมิดว่างเปล่าก็เหมือนกำลังถอยหนีจากลู่เซิ่ง
ขณะว่ายไปว่ายมา หมอกเทาจางๆ กลุ่มหนึ่งก็โผล่ขึ้นด้านหน้าลู่เซิ่ง
หมอกเทาผืนนี้มีแหล่งกำเนิดเดียวกับสีเทารอบตัวลู่เซิ่ง นอกจากระดับความเข้มข้นที่เจือจางไม่น้อยแล้ว ก็มีคุณสมบัติเหมือนกัน ต่างเป็นพลังหมอกเทา
ร่างผอมแห้งร่างหนึ่งโผล่ขึ้นด้านหน้าลู่เซิ่งในตอนนี้
คนคนนั้นคือคนลึกลับที่ชักนำลู่เซิ่งเข้าหอคอยวารีเทานั่นเอง
เขามีศีรษะเป็นเหยี่ยวตัวเป็นมนุษย์ สวมเสื้อคลุมหลวมโพรกที่เย็บขึ้นจากขนสีเทา บนเสื้อคลุมมีลวดลายรูปภาพเก่าแก่ มือไม่ได้ถือคทาสีทองเข้มอีกต่อไป หากเป็นกิ่งไม้หยาบสีเขียว
“ในตอนที่ข้าพาท่านเข้าหอคอยวารีเทา นึกไม่ถึงว่าท่านจะเติบโตมาถึงขั้นนี้ได้” เขาเงยหน้ามองร่างมหึมาของลู่เซิ่ง ดวงตาฉายแววอิจฉาและปรารถนา
“ช่าง…งดงามจริงๆ…”
“เจ้านี่เอง…” ลู่เซิ่งจดจำมนุษย์หัวเหยี่ยวที่ยืนอยู่ด้านหน้าเขาได้ แกรอลท์ พ่อมดวารีเทา
“ท่านน่าจะไม่ทราบว่า ท่านกำลังสร้างประวัติศาสตร์…” แกรอลท์ชมเชย
“บอกจุดประสงค์ของเจ้ามา”
ลู่เซิ่งอ้าปากช้าๆ พร้อมหยุดร่าง แกรอลท์อยู่ด้านหน้าเขา ถ้าไม่สัมผัสดีๆ ก็ไม่โดดเด่นเหมือนกับเม็ดงา
แกรอลท์โค้งตัว
“ตอนนี้ท่านอาจไม่รู้ว่า สหพันธ์การดำรงอยู่และขุมกำลังความว่างเปล่าเริ่มร่วมมือกันแล้ว พวกเขาไม่พอใจต่อการกินอาหารตามปกติของท่านอย่างยิ่ง ถึงขั้นหวาดกลัวเสียด้วยซ้ำ พวกเขาต้ องการอาศัยพลังของการผนึกกำลังกันจัดการภัยร้ายเช่นท่านทิ้ง และสำหรับหอคอยวารีเทาของพวกเรา ท่านคือตัวตนยิ่งใหญ่ที่พัฒนาพลังวารีเทามาถึงขั้นที่น่าเหลือเชื่อ ดังนั้นพวกเรา าจึงต้องการสวามิภักดิ์เป็นลูกน้องท่าน อย่างไรแม้สหพันธ์การดำรงอยู่และขุมกำลังความว่างเปล่าจะไม่อยู่ในสายตาของท่าน แต่พวกเขาก็มีวิธีการสูงส่งของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นอนุภาคนิรันดร์ หรือตราสูญสลาย ต่างเป็นของวิเศษระดับกลืนกลายทั้งสิ้น”
“ของวิเศษระดับกลืนกลายหรือ” ลู่เซิ่งเพิ่งได้ยินคำศัพท์นี้เป็นครั้งแรก
“ขอรับ การกลืนกลายของอนุภาคนิรันดร์ คือการทำให้ทุกสิ่งหยุดนิ่งอย่างสมบูรณ์ ผนึกค้างตลอดกาล ย้อนกลับไม่ได้ ดำรงอยู่ต่อไปชั่วกาลนาน ส่วนตราสูญสลายคือการทำให้ทุกอย่างตายโดยสิ้น นเชิง เวลาสิ่งปกติพินาศ ก็จะกลายเป็นพลังแห่งความว่างเปล่า แต่สิ่งที่ตราสูญสลายทำ จะให้สูญสลายไป จะถูกลบโดยสิ้นเชิง ไม่เหลือร่องรอยใดๆ” แกรอลท์อธิบาย
“การทำลายล้างและความเป็นนิรันดร์หรือ…เป็นขีดสุดที่อยู่ตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิงจริงๆ” ลู่เซิ่งใคร่ครวญ ช่วงนี้กินเยอะเกินไป นอกจากกินแล้วก็ย่อยอาหาร ทำให้ความคิดเขาติดขัดเล็กน้ อย
“ท่านอาจไม่สังเกตว่า สิ่งที่ท่านทำในตอนนี้คือการสร้างรากฐานจุดเริ่มต้นให้แก่พลังวารีเทา สร้างระบบมหึมาของพวกเรา เหมือนธารมารดา และเหมือนโลกวิญญาณ” น้ำเสียงของแกรอลท์ปรา ากฏความคลั่งไคล้
ความจริงการติดต่อครั้งนี้ เขาไม่ควรจะเป็นคนมา ควรจะเป็นการดำรงอยู่ในระดับสูงกว่าเป็นคนมา
น่าเสียดายที่การดำรงอยู่แบบนั้นมาแล้วสามครั้ง ยังไม่ทันพูดอะไร ก็ถูกลู่เซิ่งกินเสียก่อน
ด้วยความจนปัญญา ได้แต่ให้เขาเสี่ยงชีวิตมาลองติดต่อด้วย อย่างไรเขากับลู่เซิ่งก็เป็นคนรู้จักกัน
ดูจากตอนนี้ ได้ผลอย่างที่คิดไว้
“อย่างนั้น เมื่อติดตามข้าแล้ว พวกเจ้าคิดจะทำอะไรอีก” ลู่เซิ่งถามเสียงเรียบ
“พวกเรา…” แกรอลท์ผุดสีหน้าคลั่งไคล้ “ท่านไม่คิดว่า การดำรงอยู่และความว่างเปล่าปกครองทุกอย่างมานานเกินไปแล้วหรือ”