ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 846 โหมโรง (2)
‘นี่คือรูปแบบที่สี่ของสายลมแห่งการประสานงั้นหรือ’ ลู่เซิ่งนึกถึงรูปภาพในประมวลกฎเกณฑ์ขั้นสูง
‘เทียบกับรูปแบบมาตรฐาน เกราะของเราหนากว่าอย่างเห็นได้ชัด เขาบนหัวเองก็ยาวกว่า มีรูอากาศซ่อนเร้นบนตัวมากกว่า น่าจะเกี่ยวกับคุณสมบัติร่างกาย’
แม้จะมาถึงรูปแบบที่สี่แล้ว แต่เขาก็เข้าใจดีว่าโดยปกติแล้วความสามารถของสายลมแห่งการประสานนั้นอ่อนแอมาก ดังนั้นอานุภาพของรูปแบบที่สี่ก็ไม่นับว่าแข็งแกร่งอะไร
เขายกแขนเล็งไปที่พื้น
เปรี้ยง!
บนพื้นปรากฏรูเล็กๆ รูหนึ่ง
นี่เป็นอานุภาพของกระแสอากาศที่เขายิงออกมาจากรูอากาศกลางฝ่ามือที่สร้างขึ้นสุดกำลัง
‘ใกล้เคียงกับปืนพกสำหรับยิงในระยะประชิด แต่บนตัวเรามีรูอากาศทั้งหมดมากกว่าพันรู สามารถยิงกระสุนอากาศมากกว่าพันสายออกมาได้ในเสี้ยววินาที อานุภาพนับว่าไม่เลว แต่ความจริงอานุภาพแบบนี้เทียบได้กับอานุภาพหลังจากรูปแบบที่หนึ่งของนักศึกษาสายต้องห้ามเติบโตสมบูรณ์ ความแตกต่างนี้…จิ๊’
ลู่เซิ่งขยับข้อต่อ รู้สึกได้ว่าเกราะนี้ไม่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งยังสามารถใช้การพ่นอากาศจากด้านหลังเร่งความเร็วและเพิ่มอานุภาพขึ้นได้อีก
‘ดีปบลู’ เขาเรียกอินเตอร์เฟซเครื่องมือปรับเปลี่ยนออกมาเพื่อดูจำนวนพลังอาวรณ์
[พลังอาวรณ์: 4,110,000]
‘ใช้ไปตั้งเยอะ แต่พลังอาวรณ์กลับเพิ่มขึ้น เหมือนว่าช่วงนี้จะเก็บได้ไม่เลว’ ลู่เซิ่งแปลกใจเล็กน้อย
ช่วงหลังๆ ของประมวลกฎเกณฑ์ขั้นสูงใช้พลังอาวรณ์สองพันกว่าหน่วยต่อการยกระดับหนึ่งขั้น สิ้นเปลืองเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อคิดอย่างละเอียด ระดับสามสิบหกระดับใช้พลังอาวรณ์แค่ไม่กี่หมื่นหน่วย เขาดูดซับหนังสือเล่มหนึ่งก็ชดเชยได้แล้ว
‘ต้องพักผ่อนอีกสักพักถึงจะยกระดับต่อได้ แต่ต่อจากนี้ ในเมื่อฝึกฝนประมวลกฎเกณฑ์ขั้นสูงเสร็จแล้ว ก็ควรถึงคราวประมวลกฎเกณฑ์ขั้นสี่ในช่วงต่อไปสักที’
ลู่เซิ่งกลับไปถึงโต๊ะหนังสือ เปิดลิ้นชักและหยิบต้นฉบับปึกหนึ่งออกมา เป็นเนื้อหาสาระสำคัญจากประมวลกฎเกณฑ์ขั้นสี่ที่เขาบันทึกไว้
เขาจัดระเบียบมัน โดยใช้เนื้อหาที่มีความเสี่ยงสูงจากห้องสมุดราตรีเป็นแกนหลัก และใช้อย่างอื่นเป็นตัวเสริม ในการเขียนประมวลกฎเกณฑ์เล่มใหม่ขึ้นมา
ลู่เซิ่งตั้งชื่อมันว่า ประมวลกฎเกณฑ์พร่างพรายอนธการ นี่เป็นการผสมผสานระหว่างสาระสำคัญของประมวลกฎเกณฑ์ขั้นสี่จากห้องสมุดทิวาและห้องสมุดราตรี เป็นเนื้อหาที่เขาตั้งใจรวบรวมขึ้นมาเพื่อตัวเอง
‘ประมวลกฎเกณฑ์พร่างพรายอนธการแบ่งคร่าวๆ ออกเป็นเก้าระดับ แต่ประมวลกฎเกณฑ์ต้องการเลือดเนื้อของปีศาจจากห้วงความว่างเปล่า ยิ่งมีระดับสูงเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น เพราะยิ่งมีระดับสูงก็ยิ่งกระตุ้นการวิวัฒนาการของอวัยวะได้ง่าย’
ลู่เซิ่งใคร่ครวญ เกราะบนร่างพลันแหลกสลายกลายเป็นขี้เถ้านับไม่ถ้วน ก่อนจะหายไป ส่วนตัวเขากลับมาอยู่ในร่างมนุษย์ธรรมดาอีกครั้ง
จากนั้นเขาก็สวมใส่เสื้อผ้า เงยมองท้องฟ้า
‘อากาศตอนบ่ายพอใช้ได้ เหมาะจะออกไปผ่อนคลายจิตใจพอดี ถึงยังไงตอนนี้ก็หมดเวลาอ่านหนังสือในห้องสมุดทิวาแล้ว ห้องสมุดราตรีก็ยังไม่เปิด จะไปกินข้าวที่โรงอาหารก็เร็วเกินไป’
เขาจัดระเบียบเครื่องแบบ ตรวจสอบร่างกายอย่างละเอียดรอบหนึ่ง จนแน่ใจว่าไม่มีหนวดหลุดออกมาแล้วก็เดินออกจากห้อง
ลู่เซิ่งเดินออกมาจากหอพัก ซื้อไส้กรอกกับนมที่ร้านขายของเล็กๆ ข้างทาง จากนั้นก็กินพลางเดินไปสวนสาธารณะใต้ร่มไม้ที่อยู่รอบมหาวิทยาลัย
ช่วงเวลาปิดเทอมมีนักศึกษาหลายคนที่ไม่ได้กลับบ้าน สมาคมเดอลันด์วางจุดรับสมัครระยะยาวในสวนสาธารณะ ประชันกับจุดรับสมัครของกลุ่มอัคคีม่วง ดูเหมือนการเงินของพวกเขาจะดีขึ้นแล้ว คนสองกลุ่มใช้เทคนิคการรับสมัครต่างๆ นานา
ตอนลู่เซิ่งผ่านไป พวกเขากำลังเตรียมจะใช้เครื่องขยายเสียงเพื่อดึงดูดความสนใจของคนรอบข้าง
แต่คล้ายกับจะมีเจ้าหน้าที่สั่งห้าม ลู่เซิ่งมองดูสักพักก็เดินไปในสวนสาธารณะต่อ
ณ ส่วนลึกสุดของสวนสาธารณะมีทะเลสาบเล็กสีเงินรอบทะเลสาบเย็นชื้น เถาวัลย์และวัชพืชงอกเต็มรอบต้นไม้ เดินไม่ใคร่สะดวกนัก จึงไม่ค่อยมีใครมา
ลู่เซิ่งเดินเลียบป่าไปถึงริมทะลสาบอย่างเบื่อหน่าย เถาวัลย์กับวัชพืชที่ชื้นแฉะไม่มีผลใดๆ ต่อเขา
จากนั้นเขาก็ยืมแรงจากต้นไม้กระโดดข้ามป่าชื้นผืนใหญ่ไปอย่างง่ายดาย
หลังผ่านพ้นป่าที่สัญจรอย่างยากลำบากไปแล้ว ด้านหน้าก็เปิดโล่ง แสงอาทิตย์ส่องสว่าง ทะลสาบสีเงินเปล่งประกาย ลมชื้นเย็นสบายพัดมา นำพากลิ่นดอกไม้กับกลิ่นไอน้ำประหลาดมาด้วย
‘หือ กลิ่นดอกไม้เหรอ’ ลู่เซิ่งมองไปทางซ้ายตามทิศทางของกลิ่น
ริมทะเลสาบที่อยู่ไกลออกไป เงาสะโอดสะองที่คุ้นเคยกำลังยืนอยู่หน้าขาตั้งกระดานวาดรูป คาบพู่กันไว้ในปาก สองมือระบายสีลงบนกระดานวาดภาพอย่างช้าๆ กลิ่นหอมลอยมาจากตัวเธอ
‘นั่นมัน…อิสซาลาใช่มั้ย’ ลู่เซิ่งรู้จักอีกฝ่ายเพราะเออร์นี
อิสซาลา ฉายากุหลาบม่วง ขณะเดียวกันก็เป็นผู้ก่อตั้งและหัวหน้าของกลุ่มอัคคีม่วงอีกด้วย
เขาจำได้ว่าเห็นอิสซาลาล่าสุดตอนที่กำลังตั้งเวทีคุมเชิงกับเออร์นี
อิสซาลาเป็นผู้หญิงประเภทรูปโฉมงดงามท่าทางเรียบร้อย แต่นิสัยดุร้ายจองหอง นัยน์ตาสีฟ้าของเธอมีเปลวเพลิงร้อนแรงที่พร้อมปะทุได้ทุกเวลา แฝงความก้าวร้าวที่แข็งกร้าว เธอจึงสร้างความประทับใจให้แก่ลู่เซิ่งในตอนประจัญหน้ากับเออร์นีอยู่ไม่น้อย
นิสัยของเธอค่อนข้างบีบบังคับคนเช่นเดียวกับคำพูด
แต่อิสซาลาในเวลานี้กลับแตกต่างกับคนที่ลู่เซิ่งได้เห็นในครั้งก่อนกันอย่างสิ้นเชิง
ตอนนี้ในดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลที่เหมือนกับอัญมณีคู่นั้นไม่มีความร้อนแรงแม้แต่น้อย มีเพียงความนิ่งสงบที่ล้ำลึกราวกับทะเลสาบ
หญิงสาวสวมเดรสสีแดงเข้ม ถุงน่องสีดำ เอวคาดเข็มขัดหนังสีน้ำตาลขลับเส้นใหญ่ขับเน้นเอวเล็กคอด
ผมลอนสีน้ำตาลยาวสยายดุจคลื่น ดวงหน้ารูปแตงขาวนวลสงบเยือกเย็น เหมือนกำลังตั้งใจวาดภาพตรงหน้าอยู่
ไม่ว่าจะเป็นมุมไหน รูปโฉมของหญิงสาวก็ไม่อาจหาที่ติได้
ลู่เซิ่งมองเธอจากไกลๆ ไม่ได้เข้าใกล้ เห็นว่าอากาศไม่เลว เขาจึงถือโอกาสนอนพักผ่อนบนสนามหญ้าริมทะเลสาบ
การยกระดับพลังในโลกพลังงานสูงเชื่องช้ากว่าโลกธรรมดาเหลือเกิน ซ้ำยังสิ้นเปลืองมหาศาล เขาจำไม่ได้แล้วว่าไม่ได้นอนอย่างสบายใจเช่นนี้มานานเท่าไรแล้ว
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร อาจจะเป็นสักพักเดียว หรือหนึ่งชั่วโมง
“ตกดึกตรงนี้จะเกิดเรื่องที่เกินกว่าจะคาดคิดได้ ถ้าฉันเป็นคุณ คงไม่มาหลับอยู่ที่นี่ตามลำพัง” เสียงผู้หญิงนิ่งเรียบลอยมาเข้าหูลู่เซิ่ง
เขาตื่นขึ้นอย่างสะลึมสะลือ
จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมอง พลันแปลกใจที่เห็นอิสซาลายืนอยู่ด้านข้างตัวเอง กำลังก้มมองเขาอยู่
เป็นเพราะสภาพหมดสติของเขาแข็งแกร่งกว่าเขาในสภาพตื่นเต็มตาเสียอีก ดังนั้นจึงไม่กังวลว่านอนๆ อยู่แล้วจะเจออันตราย
“อิสซาลาหรือ อือ…ขอบใจนะ” เขาลุกขึ้น ก่อนจะบิดขี้เกียจ
เดิมทีหญิงสาวกำลังแบกกระดานวาดรูปขึ้นจะจากไปแล้ว แต่เมื่อได้ยินลูเซิ่งเอ่ย เธอก็ชะงักเท้า เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ หันกลับมาอีกครั้ง
“ฉันไม่ใช่อิสซาลา นั่นคือพี่สาวของฉัน คุณเรียกผิดแล้ว” เธอพูดจบก็ดูท่าไม่ได้อยากอธิบายเพิ่มเติม ร่างเดินเข้าไปในป่าทึบลึก ไม่นานก็หายลับไป
ลู่เซิ่งงุนงงเล็กน้อย แล้วฉีกยิ้ม จากนั้นก็ลุกขึ้น
ดูนาฬิกาพก เขาเผลอหลับไปสองชั่วโมง ดวงอาทิตย์กำลังจะลาลับ อุณหภูมิรอบข้างลดต่ำลงกว่าเดิม
ทะเลสาบที่ตอนแรกเปล่งแสงสีเงินระยิบระยิบ เวลานี้มีหมอกขาวลอยวนเวียน หมอกนั้นคล้ายจะขยับได้เองราวกับมีชีวิต
ลู่เซิ่งยืดเหยียดร่างกาย แล้วกลับหอพัก แต่ที่ที่เหมาะกับการนอนหลับพักผ่อนเป็นพิเศษแบบนี้ เขาได้จดจำเอาไว้แล้ว
ในช่วงปิดเทอมเขาไม่ได้กลับบ้าน ถูกโทเลย์ลากเข้าร่วมงานสัมมนาและโครงการศึกษาอีกมากมาย
เขาได้เห็นการดำรงอยู่ของโครงสร้างเร้นลับในมหาวิทยาลัยเช่นกัน โครงสร้างมากมายถูกซ่อนไว้เป็นอย่างดี อย่างเช่นโครงสร้างหนึ่งในนี้คือสถานที่วิจัยที่ใช้วิจัยความสามารถของนักศึกษาสายต้องห้ามเป็นหลัก โดยอยู่ลึกลงไปใต้ดินมากกว่าร้อยเมตร
ดีที่ร่างกายของเขาต้องการเวลาพักผ่อนฟื้นฟู ร่างหลักเริ่มจะยกระดับพลังวิญญาณขึ้นอีกครั้งหลังจากฝึกฝนประมวลกฎเกณฑ์ขั้นสูงสำเร็จเช่นกัน
เวลานี้การแปลงโลกรูปจิตให้เป็นรูปธรรมใกล้สำเร็จแล้ว ทุกอย่างดำเนินไปตามครรลองที่ถูกที่ควร
ทว่าบางครั้งเขาก็จะไปผ่อนคลายจิตใจที่ริมทะเลสาบ ทะเลสาบสีเงินตรงนั้นเหมือนจะมีมนตร์วิเศษบางอย่าง ที่ทำให้จิตใจอันร้อนรุ่มของเขาสงบลง
การแข่งขันระหว่างสมาคมเดอลันด์กับกลุ่มอัคคีม่วงดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ กลุ่มอัคคีม่วงได้ดึงตัวรุ่นพี่ปีสองมาเข้าร่วมด้วย
ทางแอนดี้เหมือนจะไปเกี่ยวกับปัญหาใหญ่เข้า เนื่องจากพบว่าผู้เป็นพ่อหายตัวไปตอนกลับบ้าน ในช่วงปิดเทอมเขาจึงเริ่มออกสืบเสาะตามหา
ในยุคสมัยที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือแบบนี้ ลู่เซิ่งถึงขั้นไม่รู้ว่าเขาไปถึงที่ไหน ได้รับเพียงจดหมายฉบับหนึ่ง โดยแอนดี้ขอให้เขาช่วยลาป่วยแทนหากเขาไม่กลับมาตอนเปิดเทอม
เวลาเคลื่อนคล้อยผ่านไป ลู่เซิ่งมาริมทะเลสาบบ่อยขึ้น จึงค่อยๆ คุ้นเคยกับหญิงสาวที่หน้าตาเหมือนอิสซาลาคนนั้น
เธอมีชื่อว่าเอียน เป็นน้องสาวแท้ๆ ของอิสซาลา แต่แตกต่างจากพี่สาวที่เปี่ยมล้นด้วยความเก่งกาจ เธอเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาที่ชื่นชอบการวาดภาพเท่านั้น อวัยวะที่หกก็เป็นแค่พลังเสริมสัมผัสเช่นกัน
ที่ลู่เซิ่งทำความรู้จักกับเธอ เป็นเพราะทักษะวาดรูปอันเก่งกาจของหญิงสาวนั่นเอง
ลู่เซิ่งที่เคยอยู่ในโลกจิตรกรมาก่อนมีทักษะวาดรูปชนิดทำลายล้างโลก เขาที่อดีตเคยเป็นนายใหญ่ขององค์กรจิตรกรใต้ดิน กล่าวได้ว่ามีความรู้ความเข้าใจอย่างล้ำลึกถึงขีดสุดต่อการวาดรูปในระดับปรมาจารย์
ตอนที่ทั้งสองคุยกันยามว่าง การชี้แนะของลู่เซิ่งทำให้หญิงสาวเหมือนได้รับสมบัติล้ำค่า นี่ทำให้เธอเริ่มใกล้ชิดกับลู่เซิ่งมากขึ้น และลู่เซิ่งก็ได้ทราบสถานการณ์เกี่ยวกับทะเลสาบผืนนี้จากเธอไม่น้อยเช่นกัน
ทะเลสาบผืนนี้มีชื่อว่าทะเลสาบไนติงเกล เป็นหนึ่งในพื้นที่ต้องห้ามที่ทางมหาวิทยาลัยกำหนดเป็นลายลักษณ์อักษร ไม่อนุญาตให้นักศึกษาทั่วไปเข้ามา
แต่เอียนเคยถามพี่สาวของตัวเอง จึงทราบว่าที่นี่ปลอดภัยในตอนกลางวัน ดังนั้นจึงมาวาดภาพที่นี่ทุกครั้งตอนยังมีแสงสว่าง
ไม่นานนัก ลู่เซิ่งก็เข้าร่วมกับชมรมที่มีชื่อว่าเตาหลอมหลักด้วยการแนะนำของโทเลย์ ไม่ใช่ห้องวางกลยุทธ์
แผนกนี้มีคนทั้งหมดแค่สามคน ทุกคนเป็นนักวิจัย หัวหน้าแผนกเป็นศาสตราจารย์ชราชื่อดาห์ล มีหน้าที่ศึกษาตัวอย่างเนื้อเยื่อของสิ่งมีชีวิตกับนิสัยของสิ่งมีชีวิตปนเปื้อน
งานวิจัยน่าเบื่ออย่างที่สุด แต่สำหรับลู่เซิ่งแล้ว ถือว่ามีโอกาสได้สัมผัสกับสิ่งมีชีวิตปนเปื้อนกับปีศาจจากห้วงความว่างเปล่า ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ทำเรื่องโยกย้าย ยืนกรานจะอยู่ที่นี่ต่อไป
กลับเป็นประมวลกฎเกณฑ์พร่างพรายอนธการของเขาที่พัฒนาไปถึงระดับหนึ่งอย่างราบรื่น และกำลังจะเลื่อนสู่ระดับสองด้วยสาเหตุนี้
“เป็นอะไรไป มีเรื่องในใจหรือคะ” เสียงของหญิงสาวลอยมาเข้าหู
หลังออกจากสถานวิจัยในตอนบ่าย ลู่เซิ่งก็มาพักผ่อนริมทะเลสาบอีกครั้ง และได้เจอกับเอียน หญิงสาวคนนี้ถือกระดานวาดภาพแต่ไม่ได้วาดอะไร นั่งเล่นอยู่ริมทะเลสาบ ปล่อยให้น้ำซัดใส่หลังเท้าที่อยู่ในรองเท้าหนัง
ลู่เซิ่งมองเอียน
“เธออายุยังน้อย ไม่เข้าใจหรอก” เขาลังเล โลกรูปจิตกลายเป็นวัตถุจับต้องได้แล้ว หมายความว่า เขาสามารถเรียกคนจากโลกรูปจิตออกมาช่วยขยับขยายขุมกำลังของตนในตอนนี้ได้
แต่ก็มีข้อเสียเช่นเดียวกัน เดิมทีคนอื่นสังหารเขานับหลายสิบครั้งก็ไม่แน่จะฆ่าเขาตายได้ เพราะมีพลังงานและทรัพยากรอันมหาศาลของโลกรูปจิตเป็นตัวหนุนเสริม
แต่หากแปลงโลกรูปจิตเป็นรูปธรรมแล้วปล่อยบริวารออกมา อย่างนั้นก็เป็นไปได้มากที่จะถูกคนล่วงรู้ถึงตำแหน่งของโลกรูปจิตผ่านการเชื่อมต่อกับบริวารที่ถูกทำให้มีตัวตนขึ้นมา
เมื่อไม่มีการสนับสนุนจากโลกรูปจิต กายอมตะพันเทวะของเขาก็เป็นแค่ตึกโบ๋กลวงเท่านั้น
“ฉันเข้าใจทุกอย่างนั่นแหละ เหมือนคุณกำลังลังเลอยู่นะ ลังเลว่าจะเลือกตัดสินใจสิ่งสำคัญอะไรสักอย่าง” เอียนเพ่งมองลู่เซิ่งอย่างจริงจัง
“คุณลืมความสามารถของฉันไปแล้วหรือ”
พลังเสริมสัมผัสก็มีการแบ่งออกเป็นหลายประเภทเช่นกัน ของเอียนคือสัมผัสวิญญาณ เป็นประเภทที่ค่อนข้างร้ายกาจทีเดียว
ถ้าหากเปลี่ยนเป็นศัพท์ทั่วไป ก็คือความสามารถล่วงรู้จิตใจหรืออ่านใจ
เธอสามารถมองเห็นความคิดความอ่านของคนอื่นได้อย่างพร่ามัว
จะว่าไป ตอนแรกที่เธอเข้าหาสนใจในตัวลู่เซิ่ง เป็นเพราะเธอไม่เห็นการเคลื่อนไหวทางความคิดของลู่เซิ่ง สัมผัสได้เยงสภาพคร่าวๆ ของเขาอย่างพร่ามัวเท่านั้น
“ใช่แล้ว…” ลู่เซิ่งฉุกนึกถึงความสามารถของเธอ “ฉันกำลังลังเลอยู่จริงๆ ฉันมีพี่น้องมากมาย กำลังคิดอยู่ว่า จะเชิญเขามาเที่ยววันหยุดด้วยกันดีไหม ประเด็นหลักคือมีคนเยอะเกินไป เธอน่าจะเข้าใจ คนเยอะเกินไป ก็มักจะไม่สะดวกนั่นสะดวกนี่ ถ้าให้พวกเขามากันหมด ฉันกลัวว่าของกินจะไม่พอ พวกเขาชอบเล่นสนุกทั้งยังอยู่ไม่สุข และมักจะสร้างความวุ่นวาย…”
“…” เอียนไม่เข้าใจอยู่บ้าง “พี่น้องของคุณอายุเท่าไรกันแล้ว…” เธอเบิกตากว้างพร้อมเอ่ยอย่างหมดคำพูด
“มีทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ มีทุกช่วงวัย” ลู่เซิ่งตอบตามความจริง
“อย่างนั้น…คุณก็ไปเหมาโรงแรมอิมพีเรียลทั้งชั้นต้อนรับพวกเขาไปเลยสิ ส่วนเรื่องเล่นสนุก…ชวนพวกเขาไปสวนสนุกก็เป็นอันใช้ได้แล้วนี่” เอียนตั้งใจตอบ
“หลักๆ มัยคือของกินน่ะสิ” ลู่เซิ่งถอนใจ “ถ้าแก้ปัญหานี้ได้ อย่างอื่นก็ง่ายดายแล้ว”
“มหา’ลัยมีของกินตั้งเยอะแยะ…ยังไม่พอเหรอ” เอียนถามอย่างซื่อๆ “ขอบอกความลับคุ