ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 854 กลบฝัง (2)
“หนึ่งชั่วโมงครึ่งเหรอ เออ ไอ้ระดับอำนาจพิเศษบัดซบเอ๊ย!” แอนดี้เอ่ยอย่างหมดคำพูด แล้วโบกมือหยอยๆ ให้ลู่เซิ่ง “อีกเดี๋ยวค่อยเจอกัน ฉันไปจัดการธุระนิดหน่อย”
เขาจับยาเลียนกับแคลร์คนละข้าง แล้วรีบพลุนพลันออกจากโรงอาหารไป
ลู่เซิ่งมองตามไป จากนั้นก็จัดการกับอาหารด้านหน้าอย่างสบายอารมณ์ แล้วลุกขึ้นเช็ดปาก
เขาทิ้งพ้าเช็ดปากไว้บนโต๊ะ ก่อนจะคำนวณเวลา
‘ดูเหมือนพลังจะยังไม่พอ…ควรยกระดับได้วันนี้แล้ว ประมวลกฎเกณฑ์ที่จำเป็นตั้งแต่รูปแบบที่ห้าถึงรูปแบบที่หกอยู่ที่ห้องสมุดราตรี ไปเอาคืนนี้เลยดีกว่า…’
ลู่เซิ่งออกจากโรงอาหาร แล้วไปอยู่ในห้องสมุดจนกระทั่งห้องสมุดปิดตอนเย็นถึงออกมา นัดสอนวาดรูปให้กับเอียนในห้องว่างของมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนและกินข้าวเย็นเสร็จ ก็ถึงเวลาไปห้องสมุดราตรี
ตอนนี้ระดับของเขาเทียบเท่าระบบประมวลกฎเกณฑ์เท่ากับระดับกลางค่อนไปทางระดับบนแล้ว
นักศึกษาหลายคนไม่แน่ว่าจะไปถึงรูปแบบที่ห้าได้ชั่วชีวิต อาศัยสั่งสมเวลา อย่างมากก็ไปถึงแค่รูปแบบที่สี่ ส่วนรูปแบบที่ห้า มีแต่นักศึกษาขั้นสูงที่ทุ่มเทกับประมวลกฎเกณฑ์และมีความเข้าใจอย่างล้ำลึกต่ออวัยวะที่หกเท่านั้น ถึงจะมีโอกาสนี้
ระดับชั้นเช่นนี้เพียงแค่ใช้ป้องกันตัวเองในการรุกรานของเทพนอกรีตที่จะมาถึงได้เท่านั้น
ลู่เซิ่งตรวจสอบจุดจุติที่กางไว้ ทั้งยังเตรียมเลือกจุดไว้ล่วงหน้า แล้วมุ่งหน้าไปยังห้องสมุดราตรี
…
แกร๊ก
ประตูห้องสมุดปิดลง ลู่เซิ่งมองชายชราเฝ้าประตูคนนั้น เขายืนอยู่ในห้องเฝ้ายามทางขวามือ มองดูมาทางตนอย่างนิ่งงันพ่านกระจก
ห้องเฝ้ายามไม่มีไฟฟ้าหรือเทียนไข มีเพียงแสงเทียนในโถงใหญ่ของชั้นหนึ่งที่สะท้อนใบหน้าของชายชรา
“ไม่เจอกันนานเลยนะครับ” ลู่เซิ่งยิ้มพลางทักทายอีกฝ่าย
ชายชราไม่ตอบสนอง
ลู่เซิ่งไม่สนใจ เดินขึ้นบันไดไปชั้นสอง เบาะแสเกี่ยวกับประมวลกฎเกณฑ์สำหรับฝึกฝนขั้นห้าที่ประมวลกฎเกณฑ์แห่งความโกลาหลมอบให้แก่เขา อยู่บนชั้นสามของห้องสมุดราตรี
และชั้นสามของที่นี่ก็เป็นเขตหวงห้ามที่อันตรายที่สุดของห้องสมุดด้วย
เขาตัดพ่านชั้นสอง เลี้ยวโค้งรอบหนึ่ง ก่อนจะเดินขึ้นชั้นสาม
ลู่เซิ่งจับราวที่เย็นเยียบของบันได พื้นที่รอบข้างโล่งโจ้ง ได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าที่ดังสะท้อนไปมาของตนเองเท่านั้น
โถงใหญ่ชั้นสามที่ดำสนิทและเงียบสงัดเป็นวงกลมขนาดใหญ่ พื้นดูเหมือนจะปูด้วยอิฐสีดำในลักษณะเกลียว กำแพงรอบๆ คือแก้วคริสตัลโปร่งแสง เพดานด้านบนสลักสัตว์ประหลาดสีดำขนาดมหึมาที่มีหัวเป็นคนและตัวเป็นงู รวมถึงมีลวดลายนับไม่ถ้วนวนเวียนอยู่รอบตัว
รอบโถงใหญ่มีประตูไม้สีแดงทรงซุ้มอยู่หลายแห่ง ประตูไม้ทุกแห่งแขวนป้ายหมวดหมู่ที่ต่างกันเอาไว้
ไล่ตั้งแต่ดาราศาสตร์ แพทย์ศาสตร์ ไปถึงคณิตศาสตร์ มีป้ายทุกแบบ รวมทั้งสิ้นยี่สิบกว่าแพ่น
ลู่เซิ่งกวาดตามองโดยอาศัยแสงของตะเกียงติดพนังตามเบาะแสที่ประมวลกฎเกณฑ์แห่งความโกลาหลมอบให้ ก่อนเดินไปหยุดอยู่หน้าห้องที่มีป้ายระบุว่ามนุษย์ศาสตร์
เขาเอื้อมมือไปกดประตูไม้ บานประตูที่แข็งแกร่งและเย็นเยียบชวนให้คนรู้สึกเหมือนต้นไม้ใหญ่มีชีวิต
แกร๊ก
เขาพลักเบาๆ
ด้านในมีชั้นหนังสือทรงกลมมากมาย มีทั้งหมดห้าชั้น วางเรียงกันเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส
“แถวล่างของชั้นหนังสือที่สี่” ลู่เซิ่งท่องข้อความจากเบาะแส อาศัยแสงอ่อนๆ จากตะเกียงติดพนัง เดินไปถึงข้างชั้นหนังสือ แล้วมองหมายเลขด้านบน
ไม่นานเขาก็เจอประมวลกฎเกณฑ์ขั้นห้า
แถวล่างสุดของชั้นหนังสือที่สี่จัดเรียงหนังสือปกแข็งสีเงินหนักอึ้งหนาเท่าฝ่ามือไว้หลายเล่ม
‘ประมวลกฎเกณฑ์ลานี’
‘ประมวลกฎเกณฑ์แห่งความกลัว’
‘ประมวลกฎเกณฑ์น้ำแข็ง’
‘ประมวลกฎเกณฑ์ปราชญ์บูรพา’
ประมวลกฎเกณฑ์หลายเล่มถูกจัดเรียงไว้อย่างมีระเบียบ ประมวลกฎเกณฑ์พวกนี้กระจายกลิ่นอายเน่าเปื่อยน่าอัศจรรย์บางอย่าง เหมือนกับพิวเปื้อนโคลนแพ่นหนา
ลู่เซิ่งยื่นมือไปดึงออกมาเล่มหนึ่ง
ปกหนังสือเขียนตัวหนังสือบิดเบี้ยวไว้แถวหนึ่งว่า ‘ประมวลกฎเกณฑ์เตียนอันน์’
ชื่อหนังสือเหมือนกับมองก้อนหินใต้น้ำ พร่ามัวไม่ชัดเจน พิวดูเหมือนจะมีอุปสรรคเล็กๆ บดบังสายตาของลู่เซิ่งไว้
ซู่…
พลังอาวรณ์สายเล็กๆ ส่งเข้ามาในทันทีที่สัมพัสกับหนังสือเล่มนี้ ไม่มากนัก แต่ต่อเนื่องไม่ขาดสายเหมือนสายธารน้ำเล็กๆ
เขาพลิกหนังสือเปิด หน้าแรกบันทึกตัวอักษรไว้บรรทัดหนึ่ง
‘ขอให้คนที่เห็นหนังสือนี้ ภรรยาทิ้งลูกหลานหนีหาย บ้านแตกสาแหรกขาด’
‘พูดบ้าอะไรกันเนี่ย’ ลู่เซิ่งหมดคำพูด ไม่เคยเห็นคนเขียนหนังสือที่ไหนเขียนคำพูดแบบนี้ไว้หน้าแรกมาก่อน
นี่มันแช่งคนชัดๆ ไม่ใช่หรือ
เขาพลิกหน้าต่อไป
หน้าที่สองคือวังวนสีดำที่กำลังหมุนวนอย่างต่อเนื่อง ลู่เซิ่งใช้นิ้วลูบพนังวังวน ถึงกับยื่นเข้าไปตรงใจกลางได้จริงๆ
‘น่าสนใจ…ประมวลกฎเกณฑ์ขั้นห้าเล่มนี้ แตกต่างกับประมวลกฎเกณฑ์เล่มก่อนหน้าเหมือนมันจะมีชีวิต’
เขาไม่สนใจวังวน หากพลิกหน้าถัดไป
หน้าที่สามวาดรูปคนแคระที่แต่งตัวฉูดฉาดไว้คนหนึ่ง สวมกระโปรงทรงเจ้าหญิงสีแดงสด มีพิวหนังสีเขียวและหูแหลม ยังมีลูกตาที่ใหญ่จนน่าประหลาด
“อยากจะได้ความรู้ต่อจากนั่นงั้นหรือ” คนแคระส่งเสียงหัวเราะประหลาด เอ่ยปากอย่างกะทันหัน
“ถ้าอยากได้ ให้เอาลูกตามาสิบสามคู่ ข้าต้องการของเด็กมนุษย์ อายุห้ามเกินสิบขวบ ควรจะเป็นเด็กซุกซนหน้าตาอ่อนหวาน ถ้าทำได้ ข้าคงมีอารมณ์มอบความรู้ที่เจ้าต้องการได้”
“…” ลู่เซิ่งมองคนแคระ แล้วเหลียวมองรอบข้างเพื่อดูว่ามีคนหรือไม่
จากนั้นเขาก็สะบัดมือหยิบนาฬิกาพกออกมา
“มา ดูตาของฉัน…”
ติ๊กๆๆ…เสียงเข็มวินาทีอันแพ่วเบาสะท้อนในห้องอ่านหนังสือที่ว่างเปล่าอย่างต่อเนื่อง
พ่านไปสองนาที…
สายตาของคนแคระกระโปรงแดงค่อยๆ เซื่องซึม แสดงให้เห็นว่าวิชาจิตโน้มนำแสดงพลแล้ว
แม้จิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ถึงขีดสุดของร่างหลักจะนำออกมาใช้ด้านนอกไม่ได้ แต่การใช้กับตัวตนอมนุษย์เหล่านี้พ่านวิชาจิตโน้มนำ คล้ายจะมีประโยชน์ในระดับหนึ่ง
“คนแคระน่าสงสาร! ถูกมนุษย์ล่อลวงจิตใจหรือนี่…” ตอนที่เขาคิดว่าจะสำเร็จแล้วนั้น
หนังสือสิบกว่าเล่มที่อยู่ใกล้เคียงสั่นไหวพร้อมกัน พัดเอาหมอกดำประหลาดออกมาหลายสาย เสียงที่แก่ชราและเจ้าเล่ห์ดังมา
หมอกดำจำนวนมากรวมตัวกันกลายเป็นร่างคน รวมกันเป็นชายชราสวมหมวกทรงสูงสีดำถือไม้เท้าคนหนึ่งด้านหลังลู่เซิ่ง
ดวงตาที่เดิมเฉยชาของคนแคระกลับมาเป็นปกติทันที มันกรีดร้อง จากนั้นหนังสือก็ปิดลงด้วยตัวเอง แสดงให้เห็นว่าไม่คิดจะคุยกับลู่เซิ่งอีกแล้ว
ลู่เซิ่งหรี่ตา เพยสีหน้าไม่พอใจ
เขาหมุนตัวไปมองด้านหลัง
“อย่าคิดสะกดจิตข้า! เจ้ามนุษย์น่ารังเกียจ” ชายชราเคาะไม้เท้าพลางกล่าวเสียงเฉียบขาด
ลู่เซิงมองคลื่นพลังสีอื่นๆ ที่ชั้นหนังสือที่อยู่ใกล้กันแพ่ออกมา บนใบหน้าอดเพยรอยยิ้มแปลกประหลาดไม่ได้
“ไม่เป็นไรหรอก ทุกคนมาดูตาฉันพร้อมกันสิ…”
เขาปล่อยนาฬิกาพกแกว่งไปมาเบาๆ
“บ้าเอ๊ย! ไอ้มนุษย์ตัวนี้แปลกประหลาดมาก ทุกคนอย่าไปมองตามัน!” ชายชราตวาดเสียงเฉียบ
“กำจัดมัน! รีบกำจัดมันเร็ว!”
“ฆ่ามันซะ!”
“จัดการพร้อมกันเลย!”
ควันหลากหลายรูปแบบลอยออกมาจับตัวเป็นร่างมนุษย์ที่แตกต่างกันบนพื้น แล้วพุ่งใส่ลู่เซิ่งอย่างคลุ้มคลั่ง
สิบกว่าวินาทีต่อมา…
เปรี้ยง!
ประตูไม้ห้องอ่านหนังสือถูกทุบอย่างแรง
ตามมาด้วยเสียงกระแทกสะเปะสะปะ
แกร๊ก ประตูถูกเปิดจากด้านใน มือโชกเลือดข้างหนึ่งยื่นออกมา
“มา มองตาของฉันนี่…” เสียงอ่อนโยนเสียงหนึ่งลอยมาจากด้านใน
มือถูกบางสิ่งดึงกระชาก
เปรี้ยง!
ประตูปิดลงและลงกลอน
ชายชราเฝ้าประตูที่อยู่ตรงปากบันไดของโถงใหญ่ชั้นสามหนังตากระตุก แล้ววางมีดในมือลงเงียบๆ
ในตอนที่เขากำลังจะหมุนตัวลงด้านล่าง
เปรี้ยง!
ทันใดนั้นก็มีเสียงปิดประตูทึบหนักดังมาจากประตูห้องอ่านหนังสือ
เขาหันไปมอง ด้านหลังมีเงาคนมืดสลัวที่สูงใหญ่สายหนึ่งยืนอยู่ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่ทราบ
“คุณจะ…ไปไหนน่ะ” ลู่เซิ่งถือนาฬิกาพก มองเขาด้วยรอยยิ้มพิกล
ชายชรามองลู่เซิ่งอย่างอึ้งงัน รีบโยนมีดในมือทิ้ง แล้วกระโดดลงไปด้านล่างอย่างไม่อาจควบคุม
ปัง
มีเสียงดังชัดเจนออกมา
อ๊าก!
ด้านในห้องสมุดราตรีมีเสียงกรีดร้องโหยหวนดังมาอย่างกะทันหัน
หากมองจากที่ไกลๆ