ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1946 ไม่คู่ควร
ตอนที่ 1946 ไม่คู่ควร
………………..
ทว่าในตอนนั้นเอง เงาร่างสีเขียวสายหนึ่งพลันปรากฏขึ้นตรงหน้าฉู่หลิวเยว่
ขณะเดียวกัน ชายเสื้อคลุมของคนผู้นั้นก็ขยับไหว!
ห่วงหยกโปร่งใสขนาดเท่าฝ่ามือทะยานออกจากมือของเขา
ชั่วพริบตาคนทั้งหลายก็เห็นว่ากริชที่หนานอีฝานซัดออกไปพลันเบี่ยงออกอย่างอธิบายไม่ได้ไปทางห่วงหยกโปร่งใสอันนั้น!
ยิ่งเข้าใกล้ ความเร็วของมันก็ยิ่งช้าลง ราวกับจมลงสู่บ่อโคลนไร้รูปร่างก็มิปาน
ติ๊ง!
กริชเล่มนั้นกระทบเข้ากับขอบด้านในของห่วงหยกโปร่งใสเกิดเป็นเสียงดังแหลมใส จากนั้นก็หยุดลงโดยสมบูรณ์!
ในใจหนานอีฝานตื่นตกใจเป็นอันมาก
ตอนที่ซัดกริชออกไป เขาใช้พลังไปทั้งหมดทุกส่วนแล้วหนา!
ต่อให้สังหารฉู่หลิวเยว่ไม่ได้ ตามหลักแล้วก็ควรทิ้งบาดแผลไว้บนร่างนางได้สักรอยสิ
ต้องเข้าใจก่อนว่ากริชเล่มนั้นมิใช่ของธรรมดาไก่กา แม้ฉู่หลิวเยว่จะมีความสามารถพอตัวก็ยังยากที่จะสกัดกั้นมันไว้ได้
ผลลัพธ์กลับกลายเป็นว่าของสิ่งนี้ไม่เพียงแต่ทำร้ายฉู่หลิวเยว่ไม่ได้ ยังถูกผู้อื่นปัดป้องออกไปอย่างง่ายดายอีก?
ในตอนนั้นเอง แรงกดดันอันดุดันแข็งกร้าวก็โถมสาดเข้ามา!
หนานอีฝานถูกบังคับให้หยุดนิ่งอยู่กับที่
เขาหันมองคนลงมือทันทีก่อนจะขมวดคิ้วแน่น
เฉินอี
เขาจำคนผู้นี้ได้
นี่คือทหารในสังกัดของฉู่หลิวเยว่
เขาคอยตามอยู่ข้างกายฉู่หลิวเยว่ไม่ห่างตั้งแต่แรกเริ่มจนบัดนี้
แต่จากเรื่องราวเหล่านี้ก็ดูออกได้ไม่ยากว่าเขาน่าจะเป็นมือขวาที่พรั่งพร้อมด้วยความสามารถของฉู่หลิวเยว่ อยู่กับนางต้องมีตำแหน่งที่สูงไม่เบาแน่
เพียงแต่…
เหตุใดพลังของเขาถึงได้แข็งแกร่งปานนี้?
ความสนใจของหนานอีฝานหยุดอยู่ที่ตัวฉู่หลิวเยว่และหรงซิวมาโดยตลอด
ตั้งแต่ต้นจนจบเขาแทบไม่ได้สังเกตเฉินอีเลยด้วยซ้ำ
จนกระทั่งตอนนี้ที่เฉินอีลงมือ!
คนธรรมดาสามัญจะหยุดยั้งการโจมตีนี้ของเขาลงอย่างง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างใดกัน?
หนานอีฝานเริ่มกวาดตามองสำรวจเฉินอีอย่างละเอียด
ทว่าเฉินอีกลับดูจะไม่ได้เห็นพวกเขาอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย
เขาสะบัดข้อมือคราหนึ่งเก็บห่วงหยกโปร่งใสชิ้นนั้นกลับไป
“เอากริชเล่มนั้นมาให้ข้าดูหน่อย”
ฉู่หลิวเยว่กล่าว
เฉินอีขานรับเสียงหนึ่ง ก่อนจะยื่นกริชเล่มนั้นส่งให้นางด้วยสองมือ
ฉู่หลิวเยว่กวาดตามองกริชสีม่วงในมืออย่างถี่ถ้วน พักหนึ่งถึงจะเผยรอยยิ้มแฝงความนัยลึกล้ำออกมา
“ประมุขหนานช่างมีฝีมือยอดเยี่ยมนัก กระทั่งเกล็ดมังกรของเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลงก็ยังนำมาตีเป็นอาวุธคมได้?”
มิแปลกใจแล้วว่าก่อนหน้านี้ที่หนานอีฝานหยิบของสิ่งนี้ออกมา นางถึงได้รู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูกอยู่หลายส่วน
ที่แท้กริชเล่มนี้… ก็ใช้เกล็ดมังกรของเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลงมาตีหลอมนี่เอง!
เพียงแต่ไม่รู้ว่าหนานอีฝานใช้วิธีการใดถึงได้มีแม้กระทั่งของสิ่งนี้อยู่ในครอบครอง
สีหน้าของหนานอีฝานเย็นเฉียบ
“ไม่เกี่ยวอันใดกับเจ้า!”
ยิ่งไปกว่านั้น เกล็ดมังกรชิ้นนี้มิใช่ของธรรมดาสามัญ
ด้านในนี้เก็บงำความลับอันใดอยู่กันแน่ก็ยังต้องพูดกันต่อไป
เพียงแต่คำพูดพวกนี้ ฉู่หลิวเยว่มิได้กล่าวออกมาแต่อย่างใด
หนานอีฝานไม่คิดต่อปากต่อคำกับฉู่หลิวเยว่ให้มากความอีก
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันควัน หลังจากหยุดนิ่งชั่วขณะหนึ่ง ก็ทำการลงมืออีกรอบ!
ดูจากท่าทีแล้วคงหมายจะปักฉู่หลิวเยว่เป็นเป้าไว้มั่นเหมาะอย่างใดอย่างนั้น
เฉินอีที่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวด้านหลัง มือทั้งสองก็ประสานกันเป็นเชิงคำนับ
“เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้มิต้องให้นายหญิงลำบากลงมือด้วยตนเองหรอก”
ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิดไปมาก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ
“ก็ดี ไม่ได้เห็นเจ้าลงมือมานานแล้วเหมือนกัน”
พูดจบ นางก็หันศีรษะกลับไปทันที
เด็กหนุ่มผู้หนึ่งกำลังยืนอยู่ด้านในประตูเมืองใหญ่พลางจดจ้องสายตามาทางนี้เขม็ง
ฉู่หลิวเยว่กวักมือเรียก
“สือซาน มานี่”
เมื่อครู่นางจับสัมผัสได้ว่าสือซานมาถึงแล้ว
เพียงแต่เขารู้ความอย่างมาก รู้ว่าสถานการณ์ตรงหน้าสลับซับซ้อนจึงมิได้รุดหน้าไปแต่อย่างใด เพียงแค่ยืนเฝ้าดูอยู่ด้านในเท่านั้น
เมื่อได้ยินคำพูดของฉู่หลิวเยว่ นัยน์ตาของสือซานพลันสว่างวาบ รีบพุ่งตัวเข้าไปข้างในทันที
เขาเองก็ไม่คิดกลัวอันตรายใดอีก
…นายหญิงและพี่ใหญ่ต่างก็อยู่ มีอันใดให้ต้องกังวลกัน?
“นายหญิง?”
“ดีมาก เจ้าไปยืนอยู่ตรงนั้นก็พอ”
สือซานเดินไปตรงนั้นอย่างเชื่อฟังแล้วยืนตัวตรง
“พี่ใหญ่ของเจ้าไม่ค่อยได้ลงมือให้เห็น โอกาสหาดูได้ยาก เจ้าก็คอยมองดูเอาไว้ดีๆ”
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยแกมยิ้มพลางหรี่ตาน้อยๆ
สือซานปลื้มปิติอย่างมาก รีบผงกศีรษะสุดกำลัง
“ขอรับ!”
ฉู่หลิวเยว่ผงกศีรษะอย่างพอใจ
เป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่ายเสียจริง
อีกอย่าง ความจริงแล้วนางก็อยากเห็นว่าพลังของเฉินอีในตอนนี้ไปถึงระดับไหนบ้างแล้ว
มุมหนึ่งก็ไว้สอนสือซาน อีกมุมหนึ่งก็สามารถขจัดความสงสัยในใจนาง สุดท้ายแล้วยังทำให้หนานอีฝานได้ลิ้มรสความทรมานด้วย…
ทำสิ่งเดียวได้ประโยชน์หลายอย่าง ดีจะตายไม่ใช่หรือ?
…
คราแรกบรรดาฝูงชนต่างก็งุนงง จากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นความตื่นตกใจ
จนป่านนี้แล้ว ฉู่หลิวเยว่ก็ยังมีแก่ใจคิดเรื่องพวกนี้อีกหรือ!?
หนานอีฝานเองก็ใกล้เสียสติเต็มที หน้าผากปูดโปนเต็มไปด้วยเส้นเลือด รู้สึกเพียงว่าตนเองนั้นได้รับความอับอายขายหน้าอย่างใหญ่หลวง!
นี่ฉู่หลิวเยว่หมายความว่าอย่างใดกัน?
กำลังดูแคลนเขาอยู่หรือ?
กระทั่งที่ว่านางไม่ยอมลงมือด้วยตัวเอง แต่ส่งทหารของตัวเองออกมาแทน!
ในช่องอกของเขารู้สึกราวกับมีเปลวเพลิงระเบิดปะทุขึ้นมาก็มิปาน!
หนานอีฝานเร่งความเร็วของตนจนถึงขีดสุดในชั่วพริบตา!
ดูจากรูปการณ์แล้วคงคิดจะต้านทานหนานอีฝานเอาไว้ไม่ผิดแน่!
บรรดาฝูงชนส่วนใหญ่ที่ยืนชมอยู่รอบๆ ต่างมีสีหน้าสลับซับซ้อน
ฉู่หลิวเยว่นั้นติดจะโอหังอยู่ก่อนแล้ว ส่วนคนสนิทของนางเองก็มีนิสัยแบบเดียวกันไม่มีผิดเพี้ยน!
หนานอีฝานคือผู้ใด
ประมุขตระกูลหนานอย่างใดเล่า!
ผู้ที่บุกทะลวงจนกลายเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงสุดตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีก่อนนั่นน่ะ!
เฉินอีผู้นี้ดูแล้วอายุอานามไม่เกินยี่สิบแปดยี่สิบเก้า ยังคงอ่อนเยาว์อยู่มากทีเดียว
ต่อให้จะมีพละกำลังมากมาย แต่จะเทียบกับหนานอีฝานที่มีประสบการณ์ต่อสู้มาเปี่ยมล้นได้อย่างใด?
นี่เท่ากับส่งตัวเองไปตายชัดๆ!
…
หนานอีฝานถ่ายโอนพลังภายในร่างของตนเองอย่างรวดเร็ว
ความจริงหลังจากเผชิญกับเรื่องพวกนี้ตอนก่อนหน้า เขาก็ไม่กล้าลดการป้องกันของตนลงอีก
เฉินอีผู้นี้สามารถหยุดเขาได้อย่างง่ายดายปานนั้น ก็พิสูจน์ได้แล้วว่าต้องมีพละกำลังอยู่ไม่น้อย!
ในช่วงเวลานี้เขาจึงมิอาจสะเพร่าได้แม้แต่นิดเดียว!
พลังแห่งสวรรค์และโลกที่อยู่โดยรอบเริ่มหลั่งไหลไปทางหนานอีฝานอย่างรวดเร็ว!
ลมปราณบนร่างของเขาเองก็ค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้นมาอีกครา!
ดวงตาเรียวยาวแฝงแววเฉยชาของเฉินอีหรี่ลงน้อยๆ
แต่เมื่อเทียบกับหนานอีฝานแล้ว ฝั่งของเขากลับแทบไม่มีการเคลื่อนไหวใดเลย
ระยะห่างระหว่างคนทั้งสองลดลงอย่างรวดเร็ว!
หนานอีฝานพลันกางนิ้วออกมา!
เสียงเพรียกหาจากใต้ยมโลกทั้งเก้าอันชัดก้องแว่วดังขึ้นมาจากที่ไกลๆ!
“องคุลีอนทนพ!”
นิ้วชี้ของเขาแปรเปลี่ยนเป็นสีม่วงเข้มตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ได้ อีกทั้งท่ามกลางความเลือนรางยังมีลวดลายลึกลับก่อร่างขึ้นมา!
ในเวลาเดียวกัน บริเวณหว่างคิ้วของเขาเองก็ปรากฏตราสัญญะของตระกูลหนานขึ้นมาอย่างน่าตื่นตา!
สีหน้าของเฉินอีไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย ทำเพียงแค่ส่งหมัดหนึ่งออกไปตรงๆ!
“หมัดวาโยเคลื่อนคล้อย!”
บนหมัดของเขาปกคลุมด้วยประกายแสงสีเขียวชั้นหนึ่งดุจสายน้ำไหลเอื่อย ยามอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์สาดส่องก็เปล่งประกายสะท้อนระยิบระยับ
การเคลื่อนไหวของเขาเป็นอิสระไร้แบบแผนดั่งสายลมที่พัดผ่านมาแผ่วเบา เผยเสน่ห์อันปลอดโปร่งอย่างบอกไม่ถูกออกมาอย่างใดอย่างนั้น
จากนั้นคนทั้งสองก็เข้าประชิดโรมรันกัน!
ตูม!
กระแสพลังทั้งสองฝ่ายเข้าปะทะกันอย่างรุนแรง!
มวลพลังอันบ้าคลั่งไร้การควบคุมแผ่กระจายไปยังโดยรอบด้วยความรวดเร็ว!
ประกายแสงสีเขียวและสีม่วงเข้าเกี่ยวพันรัดรึงก่อนจะระเบิดออก แล้วปกคลุมเงาร่างของคนทั้งสองเข้าไปในชั่วพริบตา!
………………..