ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1972 คนที่จะตายก็คือเจ้า
ตอนที่ 1972 คนที่จะตายก็คือเจ้า
………………..
ใบหน้าของพวกอาวุโสคนนั้นย่ำแย่เป็นอย่างมาก เขาไม่พูดอันใดขึ้นมาสักคำ
แม้ว่าจวินจิ่วชิงจะซักถามขึ้นเช่นนี้ต่อหน้าสาธารณชน ทำให้เขารู้สึกอับอายขายหน้าอย่างมาก แต่ในตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาสนใจแต่เรื่องเหล่านี้
คนตระกูลอี้คนอื่นๆ ต่างมองหน้ากันไปมา
ความจริงแล้วคนที่เหมาะสมที่จะออกหน้ามากที่สุดคือ จวินจิ่วชิง
เขาคือนายน้อย อีกทั้งยังมีสถานะเป็นรองแค่อี้เหวินเทา
ตอนนี้อี้เหวินเทากำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบาก คนที่สามารถออกหน้าแทนตระกูลอี้ได้ ก็คือเขา
ในที่สุดก็มีคนประสานหมัดทำความเคารพ
“นายน้อยโปรดออกหน้า ช่วยท่านประมุขกลับมาด้วย!”
ทันทีที่สิ้นเสียง คนจำนวนไม่น้อยก็รีบพูดตามขึ้นมาทันที
แม้กระทั่งอี้เหวินจั๋วต้องระงับโทสะที่อยู่ภายในใจลง
แม้ว่าเขาจะเป็นน้องชายแท้ๆ ของอี้เหวินเทา แต่ตำแหน่งของเขานั้นไม่สามารถเทียบกับจวินจิ่วชิงได้
“จิ่วชิง”
อี้เหวินจั๋วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดกระตุ้นหนึ่งเสียง
ไม่ว่าอย่างใดตั้งแต่ที่อี้เหวินเทาพ่ายแพ้ พวกเขาก็ไม่เหลือศักดิ์ศรีอันใดอยู่แล้ว
ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ คงเป็นการช่วยเหลืออี้เหวินเทากลับมา
แววตาของจวินจิ่วชิงดำมืด ก่อนสาวเท้าไปด้านหน้าหนึ่งก้าว
“ตอนนี้ประมุขของพวกเราไม่สามารถพูดได้แล้ว ดังนั้น ในฐานะที่ข้า จวินจิ่วชิง ดำรงตำแหน่งนายน้อย จึงขอยอมแพ้แทนเขา!”
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนชะงักการกระทำ แล้วเงยหน้ามองพวกเขา
เมื่อครู่นี้นางได้ยินคนอื่นๆ เรียกขานตำแหน่งจวินจิ่วชิงแล้ว
สิ่งนี้สามารถพิสูจน์ได้ถึงพรสวรรค์และฝีมือของจวินจิ่วชิง เกรงว่าฝีมือของเขาในตอนนี้น่าจะโดดเด่นและพัฒนามากกว่าเดิมไม่น้อย
ไม่อย่างนั้นเขาไม่สามารถแย่งชิงตำแหน่งนายน้อยของตระกูลอี้ได้อย่างแน่นอน
นางใช้สายตามองจวินจิ่วชิงขึ้นลงอย่างสำรวจ
“เจ้ายอมแพ้แทนอี้เหวินเทาอย่างนั้นหรือ?”
จวินจิ่วชิงพยักหน้า
“ถูกต้อง ขอเพียงแค่เจ้าหยุดลงมือตอนนี้ แล้วปล่อยประมุขของข้ากลับมา ไม่ว่าเจ้าต้องการสิ่งใด ข้าจะทำตามทั้งหมด”
ความโกลาหลในหมู่ของคนตระกูลอี้สงบลงอย่างรวดเร็ว
จวินจิ่วชิงกล่าวอย่างยิ่งใหญ่เกินไป แต่ถ้าตอนนี้ไม่ทำเช่นนั้น เกรงว่าคงจะไม่มีหนทางอื่นแล้ว
เมื่อถึงตอนนี้ พวกเขาทุกคนก็สามารถมองออกแล้วว่า ฉู่หลิวเยว่คนนั้นลงมือได้อย่างโหดเหี้ยมมาก!
ไม่มีใครสามารถรับประกันได้ว่า นางจะสามารถทำเรื่องอันใดออกมาได้อีก!
ดังนั้นหลังจากที่ลังเลอยู่สักพัก ทุกคนในตระกูลอี้ก็เลือกที่จะยอมรับมัน
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะออกมา
“ตอนนี้พวกเจ้า…มีสิทธิ์อันใดที่จะมาต่อรองกับข้า?”
อี้เหวินเทาอยู่ในกำมือของนางแล้ว นางจะฆ่าจะแกง มันก็เป็นเรื่องของนาง
“อย่าลืมสิ นี่คือการประลอง ซ้ำประมุขของพวกเจ้าก็เป็นคนเสนอเรื่องนี้ขึ้นมาเอง ไม่ว่าเขาจะเป็นหรือตาย ไม่ว่าใครก็ห้ามสอดมือเข้ามายุ่ง หรือว่าเรื่องนี้พวกเจ้าลืมไปหมดแล้ว?”
จวินจิ่วชิงขมวดคิ้วมุ่น
“เช่นนั้นเจ้าต้องการอันใด?”
ตอนนี้อี้เหวินเทาแขนหักทั้งสองข้าง ลมหายใจโรยริน
เขานอนอยู่บนพื้นอย่างหมดสภาพ แล้วปล่อยให้นางเหยียบย่ำอยู่เช่นนั้น
หรือว่าเท่านี้มันยังไม่เพียงพอ?
ทุกคนในตระกูลอี้หน้าเปลี่ยนสีไปทันที ในตอนนั้นกลับดูย่ำแย่มากขึ้นกว่าเดิม
ขวานสุริยันมรกต หนึ่งในสิบสมบัติศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่ที่แข็งแกร่งที่สุด นอกจากนี้ยังเป็นสมบัติที่สืบทอดของตระกูลอี้ด้วย!
แต่สีหน้าของคนตระกูลหนานก็ดูลึกซึ้ง
ไม่ว่าอย่างใดภาพเมฆาเคลื่อนคล้อยของพวกเขาก็ถูกแย่งชิงไปแล้ว หากสมบัติของตระกูลอี้จะถูกฉู่หลิวเยว่แย่งชิงไปอีก…
ถ้าเช่นนั้นความสูญเสียของพวกเขาทั้งสองตระกูลก็แทบจะเทียบเท่ากัน…
แม้ว่าทั้งสองตระกูลจะเป็นพันธมิตรกันชั่วคราว แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทั้งสองตระกูลมีการต่อสู้ทั้งที่ลับและที่แจ้งอยู่ตลอด
ไม่ว่าอย่างใดเรื่องก็เป็นเช่นนี้แล้ว หากสามารถทำให้ตระกูลอี้หลั่งเลือดได้อีก ช่องว่างของพวกเขาทั้งสองคนจะได้ไม่ห่างไกลกันเกินไป
จวินจิ่วชิงไม่ได้สนใจปฏิกิริยาตอบรับของคนที่อยู่ด้านหลัง
เขาพยักหน้า
“ตกลง”
ฉู่หลิวเยว่ไม่สนใจคำตอบของเขา
นางเงยหน้าขึ้นมองขวานสุริยันมรกตที่ตกอยู่ไม่ไกลจากสนามรบ
ดวงตาของถวนจื่อเปล่งประกาย แล้วรีบวิ่งเข้าไปในทันทีพร้อมหยิบขวานสุริยันมรกตขึ้นมา
นางตัวเล็กกว่าขวานสุริยันมรกตด้วยซ้ำ สองมือเล็กๆ ของนางหยิบขวานขึ้นมาแล้วแบกพาดไหล่ ขวานเล่มนั้นดูหนักมาก ดังนั้นทุกคนจึงรู้สึกเป็นห่วงที่นางต้องยกขวานเล่มนั้น
แต่ว่าถวนจื่อเคลื่อนไหวรวดเร็ว จนทำลายภาพจินตนาการของทุกคนอย่างรวดเร็ว
นางสาวเท้าไปด้านหน้าด้วยเท้าเปล่า ชั่วพริบตาเดียวก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าฉู่หลิวเยว่แล้ว
ความเร็วของนางสูงมากจนทำให้ทุกคนตกใจอ้าปากค้าง
ขวานเล่มใหญ่ขนาดนั้น แต่นางกลับถือมันราวกับเป็นขนนก
ทุกคนที่เห็นดังนั้นก็รู้สึกสับสนยิ่ง
สมแล้วที่เป็นนายน้อยของเผ่าหงส์ทองคำ…พลังกายแข็งแกร่งมากจริงๆ !
ถวนจื่อวิ่งเข้ามาหาฉู่หลิวเยว่อย่างมีความสุขพร้อมส่งขวานสุริยันมรกตให้นาง
ตอนนี้ด้านบนขวานนั้นยังปกคลุมด้วยม่านน้ำค้างแข็งหนึ่งชั้น
ไอเย็นแผ่กระจายออกมาจากมัน
ซึ่งนี่เป็นร่องรอยจากฝีมือของจื่อเฉิน
ฉู่หลิวเยว่รับขวานสุริยันมรกตมา พร้อมลูบศีรษะถวนจื่อแล้วกล่าวอย่างชื่นชม
“ถวนจื่อเก่งมาก!”
เมื่อได้รับคำชมถวนจื่อก็รู้สึกปลาบปลื้มใจเป็นอย่างยิ่ง
นางหันศีรษะกลับมาอย่างภูมิใจ แล้วเชิดหน้าให้กับจื่อเฉิน
ท่าทางโอ้อวดนั้นชัดเจนเป็นอย่างมาก
ดูสิ!
ในช่วงเวลาที่สำคัญก็ยังต้องพึ่งพานาง!
ฉู่หลิวเยว่เหลือบสายตามองถวนจื่อ ก่อนจะลูบศีรษะนางด้วยความรัก
นี่เป็นความคิดเด็กๆ หากมีเรื่องอันใดก็จะแย่งไปทำทันที
นางไม่ได้สังเกตจื่อเฉิน ตั้งแต่แรกอีกฝ่ายก็ไม่ได้คิดจะเข้าไปหยิบอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?
แต่เด็กคนนี้มีความสุขก็เพียงพอแล้ว…
ฉู่หลิวเยว่ถอนหายใจออกมา
อาจจะเป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ภายในหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์ นางถูกจื่อเฉินรังแกจนหมดสภาพ ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดเรื่องอันใดนางก็จะเข้าสู่การแข่งขันทันที…
จื่อเฉินยืนอยู่ที่เดิม แล้วพยักหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบ
“อื้อ ครั้งนี้เจ้าชนะแล้ว”
ถวนจื่อเท้าเอว
“ฮ่าๆ ข้าก็รู้อยู่แล้วว่าข้านั้นแข็งแกร่งที่สุด!”
ฉู่หลิวเยว่ “…”
จื่อเฉิน “…”
ทุกคน “…”
ฉู่หลิวเยว่มองถวนจื่ออย่างเข้าอกเข้าใจ
เมื่อพบกับคู่ต่อสู้อย่างจื่อเฉิน หลังจากนี้ก็ไม่รู้ว่านางจะต้องพยายามอย่างหนักขนาดไหน…
นางกระแอมไอขึ้นมา ก่อนถอนสายตาแล้วหันไปมองอี้เหวินเทา
“ประมุขอี้ ท่านไม่มีข้อโต้แย้งอันใดอีกแล้วใช่หรือไม่?”
อี้เหวินเทายังจะพูดคำว่า “มี” ได้อีกหรือ?
เขาหลับตาลงแล้วพยักหน้าอย่างยากลำบาก
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มออกมา
“ประมุขอี้ใจกว้างจริงๆ ด้วย ส่วนเงื่อนไขข้อที่สองของข้านั้นก็ง่ายดายมาก ข้าต้องการอาวุธศักดิ์สิทธิ์สามสิบชิ้น!”
………………..