ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1977 คนเดียวกัน
ตอนที่ 1977 คนเดียวกัน
………………..
“หลังจากนี้เป็นต้นไป เรื่องภายในตระกูลอี้ ข้าจะเป็นคนดูแลเองทั้งหมด!”
เมื่อจวินจิ่วชิงพูดเช่นนี้ออกไปเสียงกระซิบกระซาบก็ดังขึ้น!
ทุกคนมองหน้ากันไปมาด้วยความตกใจ
จวินจิ่วชิงจะสืบทอดตำแหน่งประมุขตระกูลในตอนนี้น่ะหรือ?
มันกะทันหันเกินไปหรือไม่?
“คือว่า…นายน้อย เดิมทีการสืบทอดตำแหน่งประมุขตระกูลอี้จะต้องได้รับการสืบทอดจากอดีตประมุขของตระกูล และต้องจัดพิธีการที่ยิ่งใหญ่ แต่ว่าในตอนนี้ท่านประมุขยังถูกขังอยู่ที่ท่าเรือดอกท้ออยู่เลย…”
“ในสถานการณ์พิเศษ ต้องจัดการแบบพิเศษ”
จวินจิ่วชิงพูดตัดบทด้วยสีหน้าราบเรียบ ท่าทางไม่ต้องการให้อีกฝ่ายพูดแทรก
“ตอนนี้ตระกูลอี้กำลังตกอยู่ในอันตราย สิ่งที่สำคัญที่สุดคือจะต้องระดมกำลังทั้งตระกูลเพื่อช่วยเหลือท่านประมุขออกมา”
อีกคนหนึ่งพูดออกมาอย่างอดไม่ได้
“ตอนนี้ท่านเป็นนายน้อยอยู่แล้ว เมื่อท่านประมุขไม่อยู่ อำนาจก็เทียบเท่ากับท่านประมุขแล้ว…”
จวินจิ่วชิงหัวเราะออกมาหนึ่งเสียงในทันที
“หื้อ? เทียบเท่ากันจริงหรือ?”
เขาถามกลับหนึ่งประโยคทำให้คนคนนั้นพูดอันใดไม่ออก
ส่วนคนที่เหลือก็เงียบเสียงไปทันที
นายน้อยกับท่านประมุข ฐานะตำแหน่งไม่เหมือนกัน อำนาจที่อยู่ภายในมือย่อมไม่เหมือนกันแน่นอน
ต่อให้จวินจิ่วชิงจะเป็นนายน้อย แต่ก็มีเรื่องมากมายในตระกูลอี้ที่เขาไม่มีอำนาจจัดการได้
ขอเพียงแค่เขาได้รับตำแหน่งประมุขเขาถึงสามารถกุมอำนาจทั้งหมดของตระกูลอี้ได้อย่างแท้จริง
แต่อย่างใดก็ตามมีคนตระกูลอี้จำนวนมากที่ไม่ต้องการจะยอมรับเรื่องนี้
แม้ว่าจวินจิ่วชิงจะเป็นนายน้อยที่อี้เหวินเทาเลือกมาด้วยตนเอง
แต่ว่าเขาใช้แซ่ จวิน !
การจะให้คนอย่าง จวินจิ่วชิง…มารับตำแหน่งประมุขของตระกูลอี้ มันจะนับว่าเป็นเรื่องอันใดได้?
ก่อนหน้านี้ที่ทุกคนไม่ได้คัดค้านอย่างเปิดเผยเป็นเพราะว่า เขาคือคนที่อี้เหวินเทาเลือก
เดิมทีพวกเขาคิดว่า จะปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ไปก่อน เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ค่อยคิดหาหนทางลากจวินจิ่วชิงลงจากตำแหน่ง
ท้ายที่สุดแล้วในหมู่คนรุ่นเยาว์ของตระกูลอี้ก็มีคนที่โดดเด่นอยู่
เหตุใดเขาจะต้องยอมรับจวินจิ่วชิงที่มาจากคนต่างคระกูลด้วย?
แต่ไม่มีใครคิดถึงว่า ยังไม่ถึงวันนั้นเลย ก็เกิดเรื่องกับอี้เหวินเทาขึ้นก่อนแล้ว!
และจวินจิ่วชิงก็ลงมืออย่างโหดเหี้ยม เขาเสนอตัวเองให้รับตำแหน่งประมุขตระกูลอี้ในเวลานี้
“สถานการณ์ของตระกูลอี้ตอนนี้เป็นอย่างใด ข้าคิดว่าข้าไม่จำเป็นต้องพูด ทุกท่านก็คงจะทราบเป็นอย่างดี”
น้ำเสียงของจวินจิ่วชิงผ่อนคลายเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังแผ่แรงกดดันที่ไม่อาจจะต้านทานได้!
“ข้าเข้าใจดีว่าเหตุใดทุกท่านถึงไม่เห็นด้วย แต่ในสถานการณ์ตอนนี้ ต้องเห็นผลประโยชน์ของตระกูลมาเป็นอันดับแรก! หากใครที่เห็นประโยชน์ส่วนตัวมาก่อน ละทิ้งท่านประมุข และไม่สนใจคนนับร้อยในตระกูลอี้ ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจก็แล้วกัน!”
คนจำนวนไม่น้อยหน้าซีดขาว และไม่ได้พูดอันใดออกมา
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา!
คนที่คัดค้านในตอนแรกกลายเป็นคนที่ทรยศหักหลังตระกูล!
แต่พวกเขาก็หาเหตุผลมาปฏิเสธไม่ได้!
จวินจิ่วชิงกวาดสายตามองทุกคน สุดท้ายก็ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย
“ดีมาก ในเมื่อทุกคนเห็นด้วยเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้น…นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไปข้าคือประมุขคนใหม่ของตระกูลอี้! อีกสองวันหลังจากนี้ ข้าจะเดินทางไปที่ท่าเรือดอกท้อด้วยตนเอง!”
…
เวลาสามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เช้าวันนั้น ฉู่หลิวเยว่ตื่นขึ้นมา
ก่อนครุ่นคิดแล้วเรียกขวานสุริยันมรกตออกมา
ขวานสีดำขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นกลางอากาศ
ด้านบนของมันยังถูกปกคลุมด้วยน้ำค้างแข็ง
นี่คือพลังของจื่อเฉินที่ทิ้งเอาไว้เพื่อปราบปรามพลังของขวานสุริยันมรกตโดยเฉพาะ
เพราะว่าฉู่หลิวเยว่ไม่มีเวลายกเลิกพันธสัญญาระหว่างขวานสุริยันมรกตกับอี้เหวินเทา ดังนั้นจึงกังวลว่ามันจะเกิดปัญหาขึ้น จึงใช้พลังนี้ระงับมันต่อไป
“เจ้ากำลังมองอันใดอยู่หรือ?”
หลังจากที่หรงซิวไปออกกำลังกายยามเช้าเสร็จก็เดินเข้ามาด้านใน ก่อนเห็นว่าฉู่หลิวเยว่กำลังมองขวานสุริยันมรกตตาเขม็ง
ฉู่หลิวเยว่ดึงสติกลับคืนมา แล้วมองหน้าเขา
“ไม่มีอันใด ข้าก็แค่คิดว่า สิบสมบัติศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่นั้นจะเป็นของวิเศษแบบใด”
ในตระกูลขุนนางที่สูงส่งจะมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งมากเพียงหนึ่งชิ้น แต่ตอนนี้นางได้ครอบครองมันหลายชิ้นแล้ว
แม้แต่ตัวนางเองยังรู้สึกไม่อยากจะเชื่อเลย
หรงซิวได้ยินดังนั้นก็ยกมุมปากขึ้นมาเล็กน้อย แล้วเดินเข้าไปหา พร้อมโน้มตัวจูบนางเบาๆ
“ดูแล้วเป็นอย่างใดบ้าง?”
เขายิ้มออกมา รอยยิ้มนั้นยังคงผ่อนคลายอยู่เช่นเดิม
ฉู่หลิวเยว่ลังเลไปครู่หนึ่ง เหมือนกับอยากจะพูดอันใดบางอย่าง
หรงซิวสังเกตเห็น ดังนั้นจึงจ้องหน้านาง
“หื้ม?”
น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำและไพเราะ อีกทั้งระยะห่างของพวกเขาทั้งคู่ก็ใกล้กันมาก ลมหายใจอุ่นร้อนปะทะลงบนใบหน้าของนาง พร้อมกลิ่นหอมเย็นที่คุ้นเคยก็ปรากฏขึ้น
ใบหน้าของฉู่หลิวเยว่ร้อนผ่าว เขากระแอมไอ แล้วดึงสติกลับคืนมา
“ข้ารู้สึกว่ามันมีปัญหาเล็กน้อย เจ้ามาดูสิ”
เมื่อพูดจบ นางก็เรียกหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์และภาพเมฆาเคลื่อนคล้อยออกมา
เมื่ออาวุธศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามชิ้นลอยอยู่กลางอากาศพร้อมกัน ทำให้เกิดแรงกดดันอันมหาศาล
หรงซิวหันไปมอง
“เจ้าคิดว่า…ของเหล่านี้มีปัญหาหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่ลังเลครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้าเบาๆ
“…อาวุธศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามชิ้น เหมือนว่า…”
นางชะงักไปชั่วคราว แล้วขมวดคิ้วมุ่น เหมือนกำลังใคร่ครวญว่าควรจะพูดอย่างใดให้เหมาะสม
“ข้าคิดว่า ลมปราณของพวกมันค่อนข้างที่จะคล้ายกัน”
นางพูดขึ้นเสียงเบา ก่อนหันไปมองทางหรงซิว
“เจ้าคิดว่าอย่างใด?”
…
ภายในห้องปกคลุมด้วยความเงียบ
หรงซิวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“หมายความว่าอย่างใดหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่หรี่ตาลงอย่างอันตราย
“เจ้าก็เป็นช่างหลอมอาวุธเหมือนกัน อย่าบอกนะว่าเจ้ามองไม่ออก”
ระดับการหลอมอาวุธของหรงซิวสูงกว่านางมาโดยตลอด
หากนางสามารถสัมผัสได้ ถ้าอย่างนั้นเขาก็จะต้องสัมผัสได้อย่างแน่นอน!
หรงซิวหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ แล้วพยักหน้า
“ถูกต้อง อาวุธศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามชิ้นมีส่วนหนึ่งที่คล้ายคลึงกันจริงๆ ”
หัวใจของฉู่หลิวเยว่เต้นกระหน่ำขึ้นมาในทันที
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใด?”
นางคิดมาตลอดว่า หรงซิวจะมีความรู้ความเข้าใจมากกว่าคนทั่วไปเสมอ
ดังนั้นครั้งนี้นางจึงคิดว่า เขาก็น่าจะรู้อันใดบางอย่าง
และหรงซิวก็พยักหน้าจริงๆ
เขาหันกลับไปมองฉู่หลิวเยว่ในทันที
รอยยิ้มกระจ่างใสปรากฏบนใบหน้าของเขา
“พวกมันถูกหลอมจากช่างหลอมอาวุธคนเดียวกัน ดังนั้นลมปราณจึงคล้ายคลึงกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
ในตอนนั้น ฉู่หลิวเยว่ไม่เข้าใจความหมายของคำพูดเหล่านี้ด้วยซ้ำ
หลังจากผ่านไปสักพัก นางก็สูดลมหายใจเย็นๆ เข้าปอด
“เจ้าหมายความว่า อาวุธสามชิ้นนี้…ถูกหลอมมาจากคนหลอมอาวุธคนเดียวกัน”
หรงซิวครุ่นคิดครู่หนึ่ง
“ควรจะกล่าวว่า…ภายในสิบสมบัติศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่ มีห้าชิ้น ถูกหลอมจากคนคนเดียวกัน”
………………..