ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1978 ถังเคอและท่านซู
ตอนที่ 1978 ถังเคอและท่านซู
………………..
ในตอนแรกฉู่หลิวเยว่รู้สึกตกใจ จากนั้นก็เอ่ยปากถามทันที
“ใคร?”
หรงซิวครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วอธิบายว่า
“ช่างหลอมอาวุธในตำนานเมื่อหมื่นปีก่อน เขามีพรสวรรค์และฝีมือแข็งแกร่งมาก แต่ไม่มีใครทราบชื่อเสียงเรียงนามที่แท้จริงของเขา เพียงแต่เรียกขานเขาว่า ‘ท่านซู’ เท่านั้น หลังจากเขาทิ้งอาวุธศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ห้าชิ้น เขาก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย”
ทันใดนั้นฉู่หลิวเยว่ก็นึกอันใดขึ้นมาได้ แล้วถามต่อว่า
“แล้วอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่เหลืออีกห้าชิ้นล่ะ? หรือว่า…”
หรงซิวเหลือบสายตามองนางด้วยรอยยิ้ม
“ถูกต้อง อาวุธศักดิ์สิทธิ์อีกห้าชิ้นคือผลงานของอีกคนหนึ่ง คนผู้นี้มีชื่อเสียงโด่งดัง ตอนนั้นเขาเป็นช่างหลอมอาวุธที่อยู่ในระดับสูงสุดของอาณาจักรเสิ่นซวี่ ‘ถังเคอ’ ”
ฉู่หลิวเยว่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
กล่าวในอีกนัยหนึ่งก็คือ ขอเพียงแค่เป็นช่างหลอมอาวุธ แทบจะไม่มีใครไม่รู้จักเขา
ถังเคอ เกิดในตระกูลธรรมดา แต่เขามีพรสวรรค์ที่โดดเด่นเป็นอย่างมาก
หลังจากสร้างชื่อเสียงได้แล้ว ตระกูลของเขาก็แข็งแกร่งไม่เป็นรองใคร อีกทั้งยังเป็นตระกูลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในตอนนั้นด้วย
แต่ที่น่าเสียดายก็คือ ต่อมามีครั้งหนึ่งที่เขากำลังหลอมอาวุธอยู่ ได้เกิดอุบัติเหตุกับเขาโดยไม่ตั้งใจ
หลังจากเขาเสียชีวิตไป ตระกูลถังก็ตกต่ำและล่มสลายไปอย่างรวดเร็ว
แต่ที่ฉู่หลิวเยว่คาดไม่ถึงก็คือ ภายในสิบอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลังเป็นฝีมือของถังเคอหลอมไปแล้วครึ่งหนึ่ง?
“เจ้ารู้…เรื่องเหล่านี้ได้อย่างใด?”
ฉู่หลิวเยว่พูดพึมพำ ถามในสิ่งที่สงสัยออกมา
หรงซิวเลิกคิ้วขึ้น
“เรื่องนี้ถูกบันทึกอยู่ในคัมภีร์ที่มีชื่อว่า ‘เหยี่ย’ ในหมู่ช่างหลอมอาวุธ ทุกคนล้วนรู้เรื่องเหล่านี้ คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะยังไม่รู้?”
คัมภีร์เหยี่ย นับว่าเป็นหนังสือสำหรับผู้เริ่มต้นเรียนหลอมอาวุธภายในอาณาจักรเสิ่นซวี่
ภายในนั้นได้บันทึกเนื้อหาพื้นฐานที่เกี่ยวกับช่างหลอมอาวุธเอาไว้ทั้งหมด อีกทั้งยังมีประวัติความเป็นมาเกี่ยวกับช่างหลอมอาวุธที่แข็งแกร่งด้วย
โดยทั่วไปแล้วผู้บำเพ็ญเพียรสายหลอมอาวุธจะต้องศึกษาคัมภีร์เล่มนี้ให้ละเอียด
แต่ฉู่หลิวเยว่เป็นข้อยกเว้น
นางไม่เคยอ่านหนังสือเล่มนี้จริงๆ
เพราะว่า…
หลังจากนางเข้ามาสำนักหลิงเซียว นางถึงเพิ่งได้เรียนรู้เกี่ยวกับการหลอมอาวุธ
อีกทั้งในตอนนั้นคนที่ชี้แนะนางก็คือ…หรงซิว
นางมีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม และสามารถเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงข้ามขั้นตอนนี้ไป
จนกระทั่งตอนนี้นางมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์อยู่ในมือสามชิ้น แต่นางยังไม่รู้ที่มาของมันเลยด้วยซ้ำ
ฉู่หลิวเยว่ลูบจมูกของตัวเองอย่างเก้อกระดาก
“อะแฮ่ม ตอนแรกเจ้าก็ไม่ได้พูดให้ข้าฟังนี่นา…”
ตอนนั้นหรงซิวช่วยนางเลือกหนังสือที่เกี่ยวข้องมากมาย แต่ส่วนใหญ่แล้วกลายเป็นหนังสือที่อยู่ในระดับสูง
นางศึกษาหนังสือเหล่านั้นทั้งวันทั้งคืน ดังนั้นนั่งจนไม่ได้สนใจเรื่องอื่นมากนัก
หรงซิวยกมือขึ้น ในดวงตาหงส์มีประกายรอยยิ้มอ่อนโยน
“เอาล่ะ ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของสามีเอง…”
ฉู่หลิวเยว่มองเขาด้วยสายตาขุ่นเคือง
ดวงตาของเขาส่องประกาย นอกจากนี้ยังแฝงไปด้วยความงดงามที่หาได้ยาก เมื่อหรงซิวมองมาหัวใจก็สั่นไหว เขาเหยียดแขนออกมา ก่อนจะดึงอีกฝ่ายเข้ามาในอ้อมกอด
“ในตอนแรกถังเคอมีชื่อเสียงโด่งดังมาก เขาเป็นช่างหลอมอาวุธที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในอาณาจักรเสิ่นซวี่ มีผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนนับไม่ถ้วนมาเยี่ยมเยียนและแสดงไมตรีจิตมากมาย แต่ก็เพียงเพื่อให้เขาช่วยหลอมอาวุธศักดิ์สิทธิ์ด้วยตนเองสักชิ้น แต่ถังเคอมีนิสัยแปลกประหลาด เงื่อนไขของเขานั้นสูงมาก ดังนั้นจึงมีคนจำนวนน้อยมากที่สามารถขอร้องให้เขาลงมือได้”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า
สถานะของช่างหลอมอาวุธนั้นสูงส่งอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นคนที่อยู่ในระดับสูงที่สุด
ดังนั้นหากพวกเขาจะมีความเย่อหยิ่งก็เป็นเรื่องปกติแล้ว
“ต่อมาหลังจากท่านซูคนนั้นปรากฏขึ้น อีกทั้งเขายังเขียนหนังสือท้ารบให้กับถังเคอด้วยตนเอง บอกว่าจะขอแข่งขันเพื่อตัดสินผู้แพ้ชนะ”
หรงซิวยกนิ้วเรียวยาวของฉู่หลิวเยว่ขึ้นมาเล่น
“เดิมทีถังเคอไม่สนใจรุ่นน้องที่ไม่มีชื่อเสียง แต่อาจจะเป็นเพราะว่าไม่มีคนมาท้าแข่งเขานานแล้ว สุดท้ายเขาจึงเลือกตอบรับคำท้า การแข่งขันของทั้งสองคนกินเวลานานถึงสามปี”
ฉู่หลิวเยว่เบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย
“สามปี? ถ้าอย่างนั้น สิบสมบัติศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่…”
หรงซิวหัวเราะออกมาหนึ่งเสียงแล้วพยักหน้า
“อาวุธศักดิ์สิทธิ์สิบชิ้นนั้น เป็นอาวุธที่พวกเขาหลอมในระหว่างสามปีนั้น”
ฉู่หลิวเยว่อ้าปากค้าง
ระยะเวลาสามปี ทั้งสองคนนั้นสามารถหลอมอาวุธศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้คนละห้าชิ้น!
พวกเขาต้องใช้ความอดทนและพลังงานมากแค่ไหนกัน?
อาวุธศักดิ์สิทธิ์ เป็นอาวุธที่มีระดับสูงกว่าอาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งจุนเจ๋อ ล้ำค่ามากกว่า อีกทั้งยังหลอมได้ยากมากกว่า!
ต่อให้เป็นคนที่แข็งแกร่งอย่างองค์ปฐมกษัตริย์ จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังสามารถหลอมได้เพียงอาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งจุนเจ๋อ
ครั้งหนึ่งเขาเคยพูดเอาไว้ว่า แม้กระทั่งธรณีประตูของอาวุธศักดิ์สิทธิ์เขาก็ยังไม่สามารถสัมผัสมันได้ด้วยซ้ำ
แต่ถังเคอและท่านซูคนนั้น ไม่เพียงแต่จะสามารถหลอมออกมาได้ พวกเขายังหลอมได้มากกว่าหนึ่งชิ้น
“การแข่งขันครั้งนั้น พวกเขาทั้งสองคนเสมอกัน แต่ท่านซูคนนั้นก็มีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมา เพียงแต่ว่าคนผู้นี้มีสถานะลึกลับมากเกินไป แทบจะไม่มีใครรู้ชื่อแซ่และหน้าตาของเขาเลย อีกทั้งหลังจากผ่านไปไม่นาน เขาก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ครึ่งปีต่อมา ถังเคอก็จากไป”
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เมื่อได้ยินดังนั้น จุดจบของทั้งสองคนนั้นค่อนข้างจะแปลกประหลาด…
“หลังจากถังเคอเสียชีวิต ตระกูลถังก็ว้าวุ่น ทุกคนต่างละโมบโลภมาก เมื่อต้นไม้ล้มพวกลิงค่างบ่างชะนีก็กระจายกันไปคนละทิศละทาง หลังจากนั้นไม่นานตระกูลถังก็ล่มสลาย แต่ประเด็นสำคัญก็คือ…อาวุธศักดิ์สิทธิ์ภายในตระกูลถังไม่ได้มีแค่ห้าชิ้น แต่เป็น…สิบชิ้น!”
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“อาวุธศักดิ์สิทธิ์ของท่านซู ก็…”
“ถูกต้อง อาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่คนทั้งสองหลอม ความจริงแล้วถูกคนของตระกูลถังนำกลับไปด้วย เพียงแต่ว่าไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลย หลังจากที่ตระกูลถังล่มสลายลง ทุกคนถึงได้รู้และแย่งชิงสิบสมบัติศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่นี้ ตระกูลใหญ่ทุกตระกูลต่อสู้แย่งชิงกันวุ่นวาย หลังจากนั้นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิบชิ้นก็ถูกคนแย่งชิงไป ถูกคนครอบครอง มีบ้างที่หายสาบสูญไป อีกทั้งยังไม่ทราบที่อยู่ของพวกมันนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา”
หลังจากเหตุการณ์นั้น ก็ยังไม่มีใครสามารถหลอมอาวุธศักดิ์สิทธิ์ได้สำเร็จ ดังนั้นจึงเรียกอาวุธทั้งสิบชิ้นนั้นว่า สิบสมบัติศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่
“ส่วนคนที่จัดลำดับนั้นก็เป็นคนรุ่นหลังที่เลือกขึ้น?”
หรงซิวพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม
“เดิมทีอาวุธเหล่านี้ไม่มีการจัดลำดับใดๆ ในเมื่อล้วนเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นมันจึงไม่ได้ต่างกันมาก เพียงแต่วิธีในการโจมตีมันแตกต่างกันเท่านั้นเอง ยิ่งไปกว่านั้นอาวุธระดับนี้ หากตกอยู่ในมือของคนแตกต่างกัน พลังที่สามารถแสดงออกมาได้ก็แตกต่างกันด้วย อย่างเช่นภาพเมฆาเคลื่อนคล้อยของเจ้านั่นไง?”
คนตระกูลหนานเก็บรักษาภาพเมฆาเคลื่อนคล้อยมานานหลายพันปี แต่สุดท้ายก็ยังไม่ได้เข้าใจมันอย่างแท้จริง
แต่เมื่อฉู่หลิวเยว่ได้รับมันมาก็สามารถเป็นเจ้าของคนใหม่ของภาพเมฆาเคลื่อนคล้อยได้ทันที
ไม่ใช่ว่าภาพเมฆาเคลื่อนคล้อยจะไม่มีพลังการต่อสู้เพียงพอ เพียงแต่คนตระกูลหนานไม่ได้สังเกตถึงคุณสมบัติของมันเลย
ใครจะรู้เล่าว่าอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชิ้นอื่นจะมีสถานการณ์คล้ายกันบ้างหรือไม่?
ฉู่หลิวเยว่มองไปทางอาวุธศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามชิ้นที่อยู่ตรงหน้า ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย
“ถ้าเช่นนั้นสามชิ้นนี้…”
“สามชิ้นนี้เป็นฝีมือของท่านซูคนนั้น”
หรงซิวพูดขึ้น
แม้จะไม่มีใครเห็นกับตาว่าท่านซูและถังเคอต่อสู้กันอย่างใด แต่ของชิ้นไหนใครเป็นผู้สร้าง พวกเขาก็ยังมองออก
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าอย่างครุ่นคิด
มิน่าล่ะ…
มิน่าล่ะนางถึงรู้สึกว่ารัศมีบนนั้นมีลักษณะคล้ายคลึงกัน
นั่นเป็นเพราะว่าพวกมันมีคนหลอมคนเดียวกัน
“ก๊อกๆ”
ขณะที่ฉู่หลิวเยว่กำลังจมอยู่ในห้วงความคิด เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอย่างกะทันหัน
“ฝ่าบาท พระชายา คนตระกูลอี้มาแล้วขอรับ”
นั่นคือเสียงของเยี่ยนชิง
ฉู่หลิวเยว่ผละตัวออกจากอ้อมกอดของหรงซิว แล้วเก็บอาวุธศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามชิ้นลง ก่อนเดินออกนอกประตูไป
หรงซิวก็ติดตามมาด้วย
“คนที่มาคือใคร?”
ฉู่หลิวเยว่ถามขึ้น
สีหน้าของเยี่ยนชิงเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ก่อนตอบว่า
“คนที่มาคือ…ประมุขตระกูลอี้…จวินจิ่วชิง!”
………………..