novel-lucky | นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย PDF
  • หน้าหลัก
  • ดูอนิเมะ anime
  • anime
  • โดจิน
ค้นหานิยาย
Sign in Sign up
  • จันทร์
  • อังคาร
  • พุธ
  • พฤหัสบดี
  • ศุกร์
  • เสาร์
  • อาทิตย์
  • ทุกวัน
  • จบแล้ว
  • นิยาย PDF
  • จันทร์
  • อังคาร
  • พุธ
  • พฤหัสบดี
  • ศุกร์
  • เสาร์
  • อาทิตย์
  • ทุกวัน
  • จบแล้ว
  • นิยาย PDF
Sign in Sign up
Prev
Next
hotgraph Hydra888 ดูบอลสด UFAC4 PANAMA888 lotto432 ufabet london168 newyork UFAZEED UFA1919 PG freefire เว็บหวยฮานอย ซื้อหวยฮานอย SSGAME350 เล่นเซ็กซี่บาคาร่า AE SEXY เว็บบาคาร่าดีที่สุด dgthai nowbet หวยออนไลน์

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 23 คู่ต่อสู้อันแข็งแกร่ง

  1. Home
  2. ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)
  3. บทที่ 23 คู่ต่อสู้อันแข็งแกร่ง
Prev
Next

บทที่ 23 คู่ต่อสู้อันแข็งแกร่ง

 

 

“ดูเจ้าก็ทำสำเร็จแล้วนี่” ซูเฉินกล่าว

 

 

การที่เจ้าอสรพิษตัวนั้นเชื่อฟังกู่ชิงลั่ว นี่ก็ชี้ให้เห็นว่านางฝึกมันจนเชื่องแล้ว

 

 

ทว่าเด็กสาวกลับส่ายหัวก่อนเอ่ยขึ้น “หนทางการฝึกยังอีกยาวไกลนัก ถึงเจ้ารัตติกาลสีครามจะฟังคำสั่งข้า ทว่าคำสั่งเหล่านั้นเป็นเพียงคำสั่งพื้นฐาน หากเป็นคำสั่งที่อันตรายแม้แต่นิด นางจะเชื่อฟังเพียงตอนที่นางอารมณ์ดีเท่านั้น หากข้าเป็นผู้เดียวที่สามารถสั่งนางได้ เช่นนั้นก็นับว่าไร้ประโยชน์แล้ว สิ่งที่ตระกูลต้องการคือการที่สัตว์อสูรคอยปกป้องคนทั้งตระกูล ไม่ใช่ปกป้องคนเพียงคนเดียว……. นางจำเป็นต้องคอยปกปักรักษาทุกคนในตระกูล ไม่ใช่เพียงข้า”

 

 

น้ำเสียงเด็กสาวเคร่งขรึมมากขึ้น ประโยคสุดท้ายไม่ใช่สิ่งที่ออกมาจากใจนางเป็นแน่ ทว่าเป็นสิ่งที่มาจากการได้รับการปลูกฝังและการศึกษาให้นึกถึงตระกูลเป็นหลักตั้งแต่วัยเด็ก

 

 

“ให้บรรพบุรุษก้มหัวรับใช้ลูกหลานงั้นหรือ? ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย” ซูเฉินอดกล่าวขึ้นไม่ได้

 

 

กู่ชิงลั่วมองเด็กหนุ่มด้วยแววตาประหลาดใจ

 

 

สิ่งที่ซูเฉินกล่าวมานั้นถูกต้อง เป็นเรื่องง่ายหากเจ้าราตรีสีครามจะยอมก้มหัวเชื่อฟังกู่ชิงลั่ว หากแต่เป็นเรื่องยากที่มันจะเชื่อฟังคนทั้งตระกูลกู่

 

 

เหตุผลเป็นเพราะสายเลือดตระกูลกู่สืบทอดมาจากอสรพิษทะยาน

 

 

มองด้านหนึ่ง อสรพิษทะยานนับได้ว่าเป็นบรรพบุรุษของตระกูลกู่ หากนับจากความบริสุทธิ์ของสายเลือดแล้ว ตระกูลกู่นับว่าเทียบกับอสรพิษทะยานที่เป็นเผ่าพันธุ์ครั้งบรรพบุรุษตัวนี้ไม่ติด

 

การที่มันจะก้มหัวให้คนผู้หนึ่ง ใช้เพียงความชอบพอต่อคนผู้นั้นเป็นพอ ทว่าการก้มหัวให้แก่คนทั้งตระกูลนั้น เปรียบได้กับผู้อาวุโสทำความเคารพผู้น้อย หรือผู้มีเลือดแท้ทำความเคารพเลือดผสม เรื่องแบบนี้จะเป็นไปได้อย่างไร?

 

 

โชคดีที่ถึงอสูรกายจะมีสติปัญญาสูง ทว่ากลับไม่ได้มีเส้นขีดแบ่งมากมายเช่นมนุษย์ พวกมันไม่สนใจสิ่งที่เรียกว่าศักดิ์ศรี ต้นเหตุที่มันไม่เต็มใจรับใช้ผู้ใด เป็นเพราะความแข็งแกร่งของสายเลือด ไม่เกี่ยวข้องกับการรักษาหน้าตา การที่จะทำให้อสูรกายยอมก้มหัวให้จึงไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว

 

 

ในประวัติศาสตร์ มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับอสูรกายที่ถูกปราบลงอยู่มากมาย เล่าผ่านปากคนหลายชั่วอายุคนกลายเป็นตำนานเล่าขานชาวบ้าน

 

 

แน่นอนว่าเรื่องเหล่านี้กลายเป็นตำนานเล่าขาน เพราะความสำเร็จนั้นมีเพียงน้อยนิด

 

 

กู่ชิงลั่วจึงต้องมาปรากฏตัวที่นี่

 

 

อายุขัยของอสูรกายนั้นมากกว่าอายุขัยของมนุษย์มาก หากตระกูลกู่สามารถปราบอสรพิษทะยานสติปัญญาล้ำเลิศได้สักตัว ทั้งตระกูลจะได้รับผลประโยชน์ในระยะยาว

 

 

หลังจากซูเฉินได้ยินกู่ชิงลั่วพูด เขาก็คิดถึงอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้

 

 

เด็กหนุ่มเอ่ยถามนาง “แต่ถึงอย่างไร เจ้าก็ยังมีความคืบหน้า จริงหรือไม่?”

 

 

“ใช่แล้ว” กู่ชิงลั่วตอบอย่างมั่นใจ “ก่อนหน้านี้เจ้ารัตติกาลสีครามไม่ค่อยเชื่องเท่าไหร่ ถึงตอนนี้จะยังไม่เป็นไปตามที่ตระกูลหวังไว้ แต่หากข้ามุ่งมั่นต่อไปต้องสำเร็จแน่”

 

 

“ตระกูลหลินช่วยเหลือตระกูลกู่ในเรื่องสำคัญเช่นนี้ ตระกูลกู่คงมีสิ่งตอบแทนบ้างสินะ?”

 

 

ได้ยินดังนั้น กู่ชิงลั่วก็หัวเราะเบา ๆ “ที่เจ้าอยากถามจริง ๆ คือเรื่องนี้ใช่หรือไม่? ฮึ่ม คนตระกูลซูปฏิบัติตนกับเจ้าไม่ดีเลยแท้ ๆ เหตุใดเจ้าจึงใส่ใจนัก?”

 

ซูเฉินตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้ สิ่งตอบแทนของตระกูลกู่คงไม่ส่งผลดีกับตระกูลซูเป็นแน่”

 

 

“ไม่ส่งผลดีกับทั้งสามตระกูลเลยล่ะ” กู่ชิงลั่วตอบ

 

 

นางหยุดพูดไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยขึ้น “ตระกูลกู่ยกโอกาสให้ตระกูลหลินสามโอกาส”

 

 

“สามโอกาสอะไรหรือ?”

 

 

“โอกาสที่จะได้เข้าไปบำเพ็ญตนในตระกูลกู่ พวกเขาจะมอบสมบัติและของล้ำค่าที่ใช้ในการบำเพ็ญตน รวมถึงยาวิญญาณเลือดอสรพิษทะยานสามขวดให้”

 

 

ได้ยินนางกล่าวคำว่า “ยาวิญญาณเลือดอสรพิษทะยาน” สีหน้าซูเฉินก็เปลี่ยนไป

 

 

อสรพิษทะยานนับว่าเป็นอสูรกายที่แข็งแกร่งมาก ยาอสูรกายสามขวดหมายถึงจะมีผู้เชี่ยวชาญที่ครอบครองสายเลือดอสูรกายอีกสามคนเพิ่มขึ้นมา

 

ถึงยาวิญญาณเลือดในปัจจุบันจะไม่บริสุทธิ์เท่ากับสายเลือดเมื่อหลายปีก่อน และไม่ได้มีพลังมากกว่าเดิม หรือสามารถส่งต่อได้ ทว่าผู้เชี่ยวชาญสามคนที่มีสายเลือดอยู่ในระดับอสูรกายคงไม่มีใครในเมืองหลินเป่ยเทียบเทียมได้

 

 

ไม่แปลกที่กู่ชิงลั่วกล่าวว่าไม่ส่งผลดีต่อทั้งสามตระกูล หากตระกูลหลินยังทำได้ดีเช่นนี้เรื่อย ๆ ในอนาคตจะกลายเป็นตระกูลโดดเด่นเหนือใครอื่นเป็นแน่

 

 

“ช่วงนี้ไม่ได้ยินว่าตระกูลหลินมีผู้เชี่ยวชาญปรากฏขึ้นบ้างเลย”

 

 

กู่ชิงลั่วตอบ “พวกเขายังบำเพ็ญตนอยู่ที่ตระกูลกู่ ยามสถาบันมังกรซ่อนเร้นเปิดประตูรับศิษย์ในปีหน้าถึงจะกลับ”

 

 

“ปีหน้า? สถาบันมังกรซ่อนเร้น?” นัยน์ตาซูเฉินเริ่มส่องประกาย “ไม่ใช่ตระกูลรุ่นสอง แต่เป็นตระกูลรุ่นสามอย่างนั้นหรือ?”

 

 

“ถูกต้อง!” กู่ชิงลั่วผงกหัว “คนตระกูลหลินมองการณ์ไกล พวกเขาคำนวณแล้วว่าถึงจะให้ยาวิญญาณเลือดแก่ผู้เชี่ยวชาญที่มีอยู่เพียงไม่กี่คนในตระกูลหลินก็ยังไม่สามารถข่มตระกูลอื่น ๆ ลงได้ ทำได้เพียงกดดันให้ตระกูลอื่น ๆ เป็นพันธมิตรกันเท่านั้น นี่ผลเสียมีมากกว่าผลดี ดังนั้นพวกเขาจึงคาดหวังกับตระกูลในรุ่นเยาว์ เจ้าเองก็รู้ว่าสถาบันมังกรซ่อนเร้นรับศิษย์ทุกปี ทว่าเมืองหลินเป่ยมีโอกาสส่งคนเข้าสถาบันทุกสิบปีเพียงหนึ่งโอกาส ปีหน้าจะเป็นปีที่สิบ ถึงจะมีโอกาสส่งคนไปเพียงสี่โอกาส เท่านี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ทุกตระกูลต่อสู้แย่งชิงกันได้แล้ว ตระกูลหลินต้องการทั้งสี่โอกาสนั้น หากพวกเขามีลูกหลานเป็นศิษย์ในสถาบันมังกรซ่อนเร้นถึงสี่คน เด็กสี่คนนั้นจะกลายเป็นอำนาจให้กับตระกูล สุดท้ายแบบนี้ย่อมดีกว่ามอบผลประโยชน์ให้ผู้เชี่ยวชาญธรรมดาสี่คน”

 

 

“พวกเขามีรุ่นเยาว์แค่สามคน แต่ต้องการถึงสี่โอกาสเลยหรือ?”

 

 

“สิ่งที่ตระกูลกู่มอบให้ไม่ใช่เพียงยาวิญญาณเลือด ยังมีของล้ำค่าอื่น ๆ อีก การสร้างรุ่นเยาว์ที่จะเป็นอำนาจให้ตระกูลนั้นจึงไม่ยากเย็นเกินไป คนที่สี่อาจไม่แข็งแกร่งเท่าอีกสามคน ทว่าก็แข็งแกร่งพอที่จะข่มอีสามตระกูลได้”

 

 

“เข้าใจแล้ว เป็นสี่คนไหนหรือ?”

 

 

“หลินจิ้งซวน หลินเย่เม่า หลินชูเยว่ ไป๋หลี”

 

 

“ไป๋หลี?” เมื่อได้ยินชื่อนี้ ซูเฉินก็ชะงักไปเล็กน้อย

 

 

มีคนสกุลอื่นด้วยหรือ?

 

 

ในขณะที่ตระกูลใหญ่ไม่อาจมีเพียงแต่คนในตระกูลตนเอง ทว่าคนที่จะถูกเลือกมาให้ได้รับโอกาสเช่นนี้ มักเป็นทายาทจากสายเลือดหลัก

 

 

เมื่อได้ยินว่ามีคนสกุลไป๋อยู่ด้วย ซูเฉินจึงรู้สึกได้ทันทีว่ามีบางอย่างแปลกไป

 

 

“เช่นนั้น ไป๋หลี…… เป็นคนที่สี่หรือ?” เขาถาม

 

 

“เปล่า เขาเป็นคนที่หนึ่ง” กู่ชิงลั่วตอบ

 

 

——————————————

 

 

หลังจากได้พบกับรัตติกาลสีครามแล้ว ซูเฉินละกู่ชิงลั่วก็จากไปพร้อมกัน

 

 

เป็นอย่างที่กู่ชิงลั่วว่าไว้ ไม่มีคนตระกูลหลินคนไหนที่หาญกล้าพอจะอยู่ในสวนอสูรในเวลานี้เลย ไม่มีใครอยากเจอเจ้ารัตติกาลที่ครามที่กำลังอารมณ์เสีย เพื่อทำให้อสูรกายตัวนี้เชื่อง ตระกูลหลินไม่เพียงใช้สมบัติที่สืบทอดกันมาของตระกูลเท่านั้น ยังใช้ชีวิตคนงานไปถึงสิบเอ็ดคนด้วยกัน

 

 

หลังจากเดินตามทางเดินลับมา ในที่สุดซูเฉินก็สามารถออกจากสวนอสูรได้

 

 

เดินมาถึงตรงนี้ เด็กหนุ่มก็เลิกกังวลเรื่องตระกูลหลิน ถึงจะถูกพบตัวเข้า นี่ก็ไม่เป็นอันตรายอันใดอีกต่อไป

 

 

ทว่ากู่ชิงลั่วยังคงตามไปส่งซูเฉินถึงทางออก นางไม่ยอมจากไปจนกระทั่งส่งเขาขึ้นรถม้า

 

 

พ้นพื้นที่อันตรายแล้ว ทว่าใจซูเฉินยังไม่อาจสงบลงได้

 

 

คำของกู่ชิงลั่วยังคงดังก้องอยู่ในหูของเขา หาความสงบในใจไม่ได้เลย

 

 

สถาบันมังกรซ่อนเร้น!

 

 

ถูกต้องแล้ว ยังมีเวลาอีกหนึ่งปีกว่าสถาบันมังกรซ่อนเร้นจะมารับศิษย์ที่เมืองหลินเป่ย

 

 

เปิดรับศิษย์เพียงสี่คนเท่านั้น

 

 

เขาบากบั่นมาถึงเพียงนี้ ไม่ยอมท้อถอยแม้สูญเสียการมองเห็นไปถึงสามปี ทั้งหมดนี่ทำเพื่ออะไรกัน?

 

 

ไม่ใช่เป็นเพราะเขาไม่อยากพลาดโอกาสเข้าสถาบันที่สูงส่งที่สดในแผ่นดินหลงซางหรอกหรือ?

 

ใครจะไปคาดคิดว่าวันที่เขากลับมามองเห็น จะต้องได้รับข่าวร้ายเช่นนี้กัน?

 

 

ผู้เชี่ยวชาญสามคนที่มีสายเลือดอสรพิษทะยาน กับคู่ต่อสู้ที่ไม่มีสายเลือดใด ทว่ามีสมบัติล้ำค่าคอยสนับสนุน แค่ตระกูลหลินเพียงตระกูลเดียวก็เป็นภัยต่อเขามากเกินพอ แล้วตระกูลอื่น ๆ เล่า? พวกเขายังซ่อนผู้เชี่ยวชาญเอาไว้อีกหรือไม่?

 

 

แล้วตัวเขาเล่า?

 

 

ช่วงเวลาสามปีที่ผ่านมา เขาฝ่าฟันต่อสู้เพื่อสิทธิ์ที่เป็นของเขาอย่างถูกต้องมาโดยตลอด ยังไม่ต้องพูดถึงสมบัติล้ำค่าอื่น ๆ เลย

 

 

ตามจริงแล้ว เหตุผลที่เด็กหนุ่มสามารถครองตำแหน่งที่หนึ่งในรุ่นสามของตระกูลไว้ได้ ไม่ใช่เพราะเขาแข็งแกร่งมากมาย ทว่าเป็นเพราะคู่ต่อสู้ของเขาอ่อนแอต่างหาก

 

 

ทว่ายามเมื่อเขาออกจากตระกูลซู ก็จะถูกผู้เชี่ยวชาญนับไม่ถ้วนห้อมล้อมกาย พละกำลังของแต่ละคนอาจมากกว่าที่เขาจินตนาการถึง

 

 

ทันใดนั้นเอง ซูเฉินก็ค้นพบบางสิ่งบางอย่าง

 

 

การที่ได้การมองเห็นกลับคืนมา ภาระที่หนักอึ้งไม่ได้เบาลงแม้แต่น้อย หากแต่กลับหนักอึ้งขึ้นกว่าเก่า

 

 

ในปีหน้า เขาต้องเพิ่มความแข็งแกร่งของตนให้เร็วมากยิ่งขึ้น

 

 

“ข้าผ่านพ้นช่วงเวลายากลำบากเช่นนั้นมาได้ หินไม่กี่ก้อนที่ขวางทางจะมาล้มข้าได้อย่างไร?” ซูเฉินพึมพำกับตนเองอยู่ภายในรถม้า

 

 

เวลาสามปีในความมืดมิด บทเรียนสำคัญที่สุดที่ซูเฉินได้เรียนรู้คืออย่าหมดหวัง อย่าหยุดพยายาม

 

 

หากการสูญเสียการมองเห็นไม่อาจหยุดยั้งเขาไว้ได้ คู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าก็ย่อมไม่สามารถหยุดเขาไว้ได้เช่นกัน