novel-lucky | นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย PDF
  • หน้าหลัก
  • ดูอนิเมะ anime
  • anime
  • โดจิน
ค้นหานิยาย
Sign in Sign up
  • จันทร์
  • อังคาร
  • พุธ
  • พฤหัสบดี
  • ศุกร์
  • เสาร์
  • อาทิตย์
  • ทุกวัน
  • จบแล้ว
  • นิยาย PDF
  • จันทร์
  • อังคาร
  • พุธ
  • พฤหัสบดี
  • ศุกร์
  • เสาร์
  • อาทิตย์
  • ทุกวัน
  • จบแล้ว
  • นิยาย PDF
Sign in Sign up
Prev
Next
hotgraph Hydra888 xoslotz ดูบอลสด UFAC4 PANAMA888 lotto432 ufabet london168 newyork UFAZEED UFA1919 PG freefire เว็บหวยฮานอย ซื้อหวยฮานอย SSGAME350 เล่นเซ็กซี่บาคาร่า AE SEXY เว็บบาคาร่าดีที่สุด dgthai nowbet หวยออนไลน์

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 36 การมองเห็นที่พัฒนาขึ้น

  1. Home
  2. ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)
  3. บทที่ 36 การมองเห็นที่พัฒนาขึ้น
Prev
Next

บทที่ 36 การมองเห็นที่พัฒนาขึ้น

หลังจากสังหารแมวป่าเงาลวงได้ ซูเฉินก็เริ่มฝึกทักษะการรวมพลัง

หลังจากสิ่งมีชีวิตที่มีพลังงานต้นกำเนิดอยู่ในร่างตายลง พลังงานต้นกำเนิดที่อยู่ในร่างจะค่อย ๆ สลายหายไปในอากาศ

มีคำกล่าวว่าหากทำการบ่มเพาะพลังทันทีหลังจากสิ่งมีชีวิตตายลง จะสามารถได้ผลเป็นสองเท่าของการบ่มเพาะพลังปกติธรรมดา

ทว่ายังไม่เคยมีผู้ใดเห็นความต่างอย่างเด่นชัดมาก่อน บางคนก็คิดว่าเป็นเรื่องแต่งขึ้น ดังนั้นแต่ละคนจึงคิดเห็นเรื่องการบ่มเพาะพลังข้างศพหรือร่างของสิ่งมีชีวิตแตกต่างกัน

ซูเฉินเองไม่สามารถสัมผัสได้ว่าหากทำเช่นนั้นการบ่มเพาะพลังจะทำได้มากขึ้นหรือไม่ หลังจากบำเพ็ญตนอยู่ชั่วครู่ เขาก็หยุด ด้วยเพราะเด็กหนุ่มไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงใด ๆ มากนัก

เรื่องต่อไปที่ต้องทำคือการเก็บของที่ได้หลังจากการต่อสู้

ร่างของอสูรร้ายนั้นเป็นดั่งสมบัติล้ำค่า หนังสามารถนำไปขายได้ เนื้อสามารถนำไปทำอาหารได้ เลือดและไขกระดูกสามารถนำมากลั่นเป็นโอสถสืบสายเลือดได้ และหากในร่างมันมีผลึกแก้วต้นกำเนิดอยู่ด้วยแล้ว ผลึกแก้วชิ้นนั้นเป็นสมบัติล้ำค่า สามารถนำมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการบ่มเพาะพลังได้

แต่แมวป่าเงาลวงตัวนี้เป็นเพียงอสูรร้ายระดับล่าง จึงมีโอกาสเพียงหนึ่งในพันที่จะมีผลึกแก้วต้นกำเนิดในตัว ถึงจะสามารถใช้ร่างมันกลั่นโอสถสืบสายเลือด ยาที่ออกมาก็จะเป็นยาระดับต่ำที่สุดอยู่ดีและมีมูลค่าไม่มาก หากต้องเคลื่อนร่างมันไปไหนมาไหนด้วยคงไม่สะดวก เพราะฉะนั้นทิ้งไว้แบบนี้คงเหมาะกว่า

เขาใช้หินต้นกำเนิดไปถึงสองก้อนในการต่อสู้กับเจ้าแมวป่า เมื่อลองคิดคำนวณมูลค่าหินต้นกำเนิดและของที่ได้กลับมา เด็กหนุ่มก็พบว่าตนเองขาดทุนไปเล็กน้อย

อย่างแรกคือการต่อสู้ลากยาวเกินไป ทำให้กินพลังมาก อย่างที่สองคือ เขาไม่มีทางขนร่างเจ้าแมวป่าทั้งร่างกลับไปด้วยได้เนื่องจากมีพื้นที่จำกัด

หากเขามีแหวนกักเก็บก็คงดี

เรื่องเสียเงินไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับซูเฉิน ที่สำคัญกว่าคือเขาได้รับประสบการณ์อันล้ำค่าจากการต่อสู้ครั้งนี้

นี่นับเป็นครั้งแรกที่เด็กหนุ่มได้ต่อสู้กับอสูรร้าย ยามได้สัมผัสพละกำลังของเหล่าอสูรร้ายพวกนี้กับตนเอง ซูเฉินถึงเพิ่งเข้าใจถึงความต่างระหว่างเขากับพวกอสูรร้าย ในเวลาเดียวกันเขาก็มีความมั่นใจในการต่อกรกับอสูรร้ายของตนเองมากขึ้น แล้วยังได้ลับฝีมืออีก

สิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นคือดวงตาของซูเฉินมีการพัฒนาขึ้นอีกครั้งแล้ว

นับจนถึงตอนนี้ ดวงตาของเขามีการเปลี่ยนแปลงถึงสามครั้งด้วยกัน

หลังจากการเปลี่ยนแปลงครั้งแรก ซูเฉินสามารถสัมผัสแสงได้ ไม่จมดิ่งอยู่กับความมืดมิดอีกต่อไป

หลังจากการเปลี่ยนแปลงครั้งที่สอง ซูเฉินก็สามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ในที่สุด การมองเห็นกลับคืนมาโดยสมบูรณ์

การเปลี่ยนแปลงสองครั้งนี้ทำให้ดวงตาของซูเฉินกลับมาเป็นดั่งดวงตามนุษย์ปกติ

ทว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งที่สามได้ทำให้เขาพบกับประสบการณ์ที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน เป็นสิ่งที่คนธรรมดาไม่อาจทำได้

นั่นก็คือ “นัยน์ตาจับความเคลื่อนไหว”

ซูเฉินค้นพบว่าตอนนี้ดวงตาของเขาสามารถจับภาพวัตถุที่เคลื่อนที่ด้วยความรวดเร็วได้ ดวงตาของเขาจะเห็นวัตถุพวกนั้นเคลื่อนที่ช้าลง ทำให้มองเห็นทิศทางการเคลื่อนที่ได้ชัดเจนขึ้น แถมสายตาธรรมดาของเขายังสามารถเห็นได้ชัดและแม่นยำมากขึ้นอีกด้วย เด็กหนุ่มสามารถเห็นยุงตัวเล็ก ๆ ที่สะบัดปีกบินอยู่ห่างออกไปร้อยกว่าฟุต ยังสามารถเห็นภาพทับซ้อนที่ปีกของยุงตัวนั้นสะบัดทิ้งไว้ด้วย

สิ่งนี้คือสิ่งที่ขอทานเฒ่าเคยพูดไว้หรือไม่ว่าเขาจะทำให้  ซูเฉินเห็นสิ่งต่าง ๆ ให้มากขึ้น?

ถ้าเช่นนั้นแล้ว หากการคาดเดาของเขาไม่ผิดพลาด หลังจากจมอยู่ในห้วงฝันร้ายถึงสามปี ในที่สุดฝันร้ายพวกนั้นก็กลับกลายเป็นเรื่องน่าพึงพอใจเสียที!

ถึงเขาจะคิดไว้นานแล้วว่านัยน์ตาของเขาต้องพัฒนาขึ้นไปอีกเรื่อย ๆ ทว่าเมื่อมันเกิดขึ้นจริง ๆ ซูเฉินก็ไม่อาจระงับความตื่นเต้นยินดีในหัวใจได้

ทั้งวันนั้น ซูเฉินหยุดล่ออสูรร้ายมาต่อสู้ เขานั่งอยู่บนยอดเขา ทดลองใช้นัยน์ตาจับความเคลื่อนไหวอยู่เรื่อย ๆ

หลังจากลองใช้มาทั้งวัน ซูเฉินก็รู้วิธีใช้นัยน์ตาจับความเคลื่อนไหวของตนแล้ว

เขาสามารถเปิดหรือปิดนัยน์ตาจับความเคลื่อนไหวของตนได้ หากปิดความสามารถ นัยน์ตาของเขาก็จะกลับมาเป็นปกติธรรมดา

หากใช้ความสามารถนี้เป็นเวลานานจะทำให้ดวงตาอ่อนล้า ทว่าหากปิดความสามารถไว้ยามไม่ได้ใช้ ความเหนื่อยล้าก็จะค่อย ๆ จางหายไปและฟื้นฟูจนกลับมาเป็นปกติ

หากตอนที่ปิดความสามารถดวงตาของเขาอ่อนล้า เมื่อกลับมาใช้ดวงตาปกติก็จะมองเห็นภาพต่าง ๆ ไม่ชัดเจนไปด้วย เมื่อพลังฟื้นคืนแล้ว ดวงตาที่พร่ามัวก็จะหายเป็นปกติในทันที

กลับกัน หากเด็กหนุ่มไม่ใช้นัยน์ตาจับความเคลื่อนไหวสักระยะหนึ่งเพื่อไม่ให้ดวงตาอ่อนล้า การมองเห็นปกติเขาจะชัดขึ้น ถึงจะไม่ได้ชัดเพิ่มขึ้นมากแต่ก็มองภาพได้ชัดเจนกว่าสายตาปกติของเขาเอง

แต่ถึงอย่างไร นัยน์ตาจับความเคลื่อนไหวก็เป็นแค่นัยน์ตาที่ใช้จับความเคลื่อนไหวของวัตถุ ไม่ได้ผันเปลี่ยนกาลเวลาหรือทำให้เขาเคลื่อนไหวเร็วขึ้นแต่อย่างใด เพียงทำให้เขาสามารถมองเห็นวัตถุที่เคลื่อนที่ได้เร็วมากเท่านั้น ส่วนปฏิกิริยาของเขาจะรวดเร็วแค่ไหนนั่นขึ้นอยู่กับตัวเขาล้วน ๆ เหมือนอย่างตอนที่เขาสังหารเจ้าแมวป่าเงาลวงตัวนั้น

แต่ถึงกระนั้น เท่านี้ก็มากพอให้ซูเฉินตื่นเต้นดีใจได้แล้ว

เจ้าสิ่งนี้นั้นเหมือนกับทักษะพลังต้นกำเนิดที่เกี่ยวพันกับการมองเห็นที่ในวันนี้ซูเฉินได้รับมาโดยไม่เสียเงินแม้แต่ตำลึงเดียว

ถึงการมองเห็นที่ดีขึ้นจะไม่ได้ช่วยเพิ่มทักษะการต่อสู้ให้ ทว่าก็เป็นประโยชน์ในการต่อสู้มาก

ซูเฉินเชื่อว่าความสามารถของดวงตาตนยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ในอนาคตอาจจะพัฒนาขึ้นอีกเรื่อย ๆ

เขายังไม่ลืมภาพที่ได้เห็นในห้องของกู่ชิงลั่วเมื่อตอนนั้น

สักวันดวงตาของเขาจะมองผ่านสิ่งของได้หรือไม่?

หรือจะมีวันใดที่ดวงตาของเขาจะมีความสามารถอื่น ๆ นอกเหนือจากนี้อีก?

ซูเฉินไม่มีทางหาคำตอบได้พบ ได้เพียงตั้งหน้าตั้งตารอต่อไป

ในชั่วชีวิตนี้ ไม่มีวันใดที่ทำให้ซูเฉินรู้สึกมีความหวังเต็มเปี่ยมได้เท่ากับวันนี้เลย

วันต่อมา ซูเฉินทำการ “ตกปลา” อยู่ที่ยอดเขาต่อ

พอถึงวันที่สิบสอง ซูเฉินก็เผชิญหน้าเข้ากับหมียักษ์เขี้ยวยื่น

หมียักษ์เขี้ยวยื่นนั้นมีร่างกายที่แข็งแกร่งมาก พละกำลังของมันมีมากกว่าแมวป่าเงาลวงหลายเท่า หินก้อนใหญ่ยังแหลกสลายกลายเป็นเม็ดทรายหากโดนอุ้งมือของมันซัดเข้าสักครา แล้วยังมีวิชาติดตัวของมันอย่างการใช้เขี้ยวที่ยื่นออกมาของมันซัดพลังคล้ายพลังต้นกำเนิดที่เหมือนกับคลื่นดาบออกมาได้อีก    ซูเฉินไม่ทันระวังตัว เกือบโดนมันซัดเข้าอยู่หลายครั้งตอนต่อสู้กับมันในระยะประชิดเนื่องจากจู่ ๆ มันก็ปล่อยการโจมตีระยะไกลของมันออกมา

เขาใช้เวลาเกือบครึ่งวันในการล้มเจ้าหมีตัวนี้ เขาทั้งใช้ชุดเกราะพลอยม่วง รองเท้าย่ำเมฆี และมีดสั้นริ้วดำในการเอาชนะมัน

มีดสั้นริ้วดำนั้นสมกับที่เป็นเครื่องมือต้นกำเนิดระดับ 8 ปลายมีดแหลมเกินบรรยาย เมื่อซูเฉินเปิดใช้ลายสลักเลือดบนตัวมีด เขาก็เห็นว่ามีหมอกสีเลือดกำจายออกมาจากตัวมีด ร่างของเจ้าหมียักษ์เขี้ยวยื่นที่ถูกเขาจ้วงมีดสั้นริ้วดำเข้าใส่ราวสิบครั้งแยกออกเป็นสองส่วนภายในการซัดรุนแรงคราวเดียว

ทว่าในขณะที่ตัวมีดมีความสามารถสูง พลังที่ต้องใช้ก็เยอะมากเช่นกัน เด็กหนุ่มแทบจะทรุดลงไปนั่งกับพื้นด้วยความเหนื่อยอ่อน

ซูเฉินลองประเมินหากตนต้องใช้มีดสั้นเล่มนี้ตอนที่มีพลังเต็มเปี่ยม เขาจะสามารถเปิดใช้ความสามารถของมันได้เพียงสามครั้งเท่านั้น หากแต่ถ้าไม่เปิดใช้ลายสลักเลือด เขาจะสามารถใช้งานมันได้นานขึ้นกว่าเดิม

ไม่ต้องตั้งคำถาม ซูเฉินก็รู้ได้ทันทีว่าตนขาดทุนเข้าอีกครั้ง ถึงหมียักษ์เขี้ยวยื่นจะมอบทรัพยากรให้เขาได้มากกว่าแมวป่าเงาลวง แต่การต่อสู้ในครั้งนี้ทำให้ซูเฉินต้องเสียหินพลังต้นกำเนิดไปถึงสี่ก้อน

หากแต่ผลประโยชน์ที่ซูเฉินได้รับไม่ใช้เพียงเรื่องเงินทอง แต่การประมือกับหมียักษ์เช่นนี้ยังทำให้พละกำลังของเขาเพิ่มมากขึ้น และได้รับประสบการณ์การต่อสู้ที่ล้ำเลิศ

ยิ่งตอนที่เด็กหนุ่มได้กินเนื้อเจ้าหมีซึ่งมีแก่นอสูรร้ายอยู่ลงท้องไปเป็นจำนวนมาก เขาก็พลันได้รับความแข็งแกร่งเหมือนกับตอนที่ได้ต่อสู้เลยทีเดียว เวลาผ่านไปเพียงสิบวัน ทว่า ซูเฉินรู้สึกราวกับตนได้เกิดใหม่ พละกำลังของเขาที่เพิ่มมากขึ้นเห็นได้เด่นชัดมาก

เมื่อถึงวันที่สิบห้าบนเทือกเขาสีเลือด ซูเฉินก็พบกับอุปสรรคที่แท้จริงครั้งแรก มีสัตว์อสูรเกล็ดทะมึนสองตัวเข้าหาเขาภายในคราวเดียว

ซูเฉินโดดลงผาอย่างไม่ลังเล ใช้เชือกตาข่ายที่ผูกไว้ในตอนแรกหลบหนีไปอย่างไร้ร่องรอย

เหตุการณ์ที่มีสัตว์อสูรเกล็ดทะมึนสองตัวโผล่มาทำให้เขาเสียเวลาไปหนึ่งวันเต็ม และเพื่อป้องกันไม่ให้พวกมันหาเขาเจออีก ซูเฉินจึงต้องไปตั้งมั่นในสถานที่ใหม่ที่ห่างไกลออกไปจากจุดเดิม

ในวันที่สิบแปดบนเทือกเขาสีเลือด ซูเฉินก็สังหารเสือดาวไฟโลกันตร์ได้ เจ้าเสือดาวตัวนี้สามารถปลดปล่อยลูกบอลเพลิงออกจากร่างยามมันตายได้ ทำให้ซูเฉินบาดเจ็บสาหัส เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะเด็กหนุ่มมั่นใจในตนเองเกินไป หลังจากสังหารมันได้ เขาก็จัดแจงกลืนยาเม็ดหนึ่งที่ชายชุดดำมอบไว้ให้ บาดแผลเขาประสานอย่างรวดเร็วทว่าวันต่อมาเขากลับท้องเสียไปทั้งวัน

ในวันที่ยี่สิบเอ็ด ซูเฉินก็สามารถสังหารแมวป่าเงาลวงได้อีกตัว ครั้งนี้เขาไม่ได้ใช้ชุดเกราะพลอยม่วงและไม่ขาดทุนอีก

ในวันที่ยี่สิบห้า ซูเฉินประจันหน้าเข้ากับสัตว์อสูรเมฆาดำ มันเป็นอสูรร้ายที่มีทักษะพลังต้นกำเนิดที่ทำให้ตนสามารถเปลี่ยนร่างเป็นหมอกได้ ซูเฉินไม่แข็งแกร่งพอที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของมัน ดังนั้นเขาจึงรีบโดดลงผาวิ่งหนีไปทันที

ในวันที่ยี่สิบเก้า ซูเฉินเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรเกล็ดทะมึนที่มาพร้อมกันสองตัวอีกครั้ง เขาหลอกล่อให้พวกมันแยกออกจากกัน แล้วค่อยหาโอกาสสังหารหนึ่งตัว ตอนที่มันกำลังจะตาย มันพยายามใช้เฮือกสุดท้ายโจมตีกลับด้วยทักษะพลังต้นกำเนิดซึ่งเป็นการดีดเกล็ดทั้งหมดของมันใส่ศัตรู ครั้งนี้ซูเฉินเตรียมการมาอย่างดีรีบหันหลังให้มันแล้วเปิดการใช้งานเกราะป้องกันทันที ทว่าตัวที่สองกลับตามมาอย่างรวดเร็ว ซูเฉินไม่มีแรงสู้ต่อไหวจึงโดดลงหน้าผาเป็นครั้งที่สามในรอบวัน เจ้าสัตว์อสูรเกล็ดทะมึนตามล่าเขาทั้งวันอย่างไม่ลดละ จนกระทั่งซูเฉินมีจังหวะเหมาะ จึงลงมือสังหารมันได้ในที่สุด

ซูเฉินต่อสู้กับสัตว์อสูรบนเทือกเขาสีเลือดแบบนั้นต่อไปเรื่อย ๆ ดื่มเลือดกินเนื้อของอสูรร้าย ยิ่งได้ต่อสู้กับสัตว์อสูรมากเท่าไหร่ ความแข็งแกร่งและประสบการณ์การต่อสู้ของเขาก็ยิ่งพุ่งสูงขึ้นมากเท่านั้น

ก่อนที่จะเดินทางมายังเทือกเขาสีเลือด ซูเฉินเพิ่งจะก้าวถึงด่านหลอมกายาขั้น 9 ผลการทดสอบขั้นดาราของเขาอยู่ที่ 91 ดาราขาว แต่หลังจากกินเนื้ออสูรร้ายและการต่อสู้นับไม่ถ้วน พลังของอสูรร้ายเหล่านั้นก็ทำให้กำลังของซูเฉินแข็งแกร่งขึ้น ภายในเวลาเดือนเดียว ซูเฉินเพิ่มพละกำลังของตนขึ้นมาได้ 3 ดาราขาว หากเขามุ่งมั่นในหนทางเช่นนี้ต่อไป เมื่อบทลงทัณฑ์สีเลือดจบลง เด็กหนุ่มอาจบรรลุถึงขั้นพลังขั้นสุดท้ายของด่านหลอมกายาเลยก็เป็นได้

ทว่าการเดินทางของเขาก็ไม่ได้ราบรื่นนัก

ไม่นานเด็กหนุ่มก็พบปัญหาใหม่ปัญหาหนึ่ง

นั่นคือยาล่อสัตว์อสูรของเขาเริ่มร่อยหรอลง