novel-lucky | นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย PDF
  • หน้าหลัก
  • ดูอนิเมะ anime
  • anime
  • โดจิน
ค้นหานิยาย
Sign in Sign up
  • จันทร์
  • อังคาร
  • พุธ
  • พฤหัสบดี
  • ศุกร์
  • เสาร์
  • อาทิตย์
  • ทุกวัน
  • จบแล้ว
  • นิยาย PDF
  • จันทร์
  • อังคาร
  • พุธ
  • พฤหัสบดี
  • ศุกร์
  • เสาร์
  • อาทิตย์
  • ทุกวัน
  • จบแล้ว
  • นิยาย PDF
Sign in Sign up
Prev
Next
hotgraph Hydra888 ดูบอลสด UFAC4 PANAMA888 lotto432 ufabet london168 newyork UFAZEED UFA1919 PG freefire เว็บหวยฮานอย ซื้อหวยฮานอย SSGAME350 เล่นเซ็กซี่บาคาร่า AE SEXY เว็บบาคาร่าดีที่สุด dgthai nowbet หวยออนไลน์

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 49 ปกปิดจุดอ่อน

  1. Home
  2. ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)
  3. บทที่ 49 ปกปิดจุดอ่อน
Prev
Next

บทที่ 49 ปกปิดจุดอ่อน

กิ่งไม้ที่มีเนื้อเสือเสียบไว้หมุนอยู่เหนือกองไฟ สะเก็ดประกายไฟพุ่งขึ้นมาเป็นครั้งคราวเมื่อไขมันที่ละลายเป็นน้ำหยดลงบนกองไฟ ส่งกลิ่นหอมเย้ายวนใจ

เนื้อของพยัคฆ์สีรุ้งสองหางมีกลิ่นที่หอมมาก ทว่ารสสัมผัสของมันกลับไม่ดีนัก มันค่อนข้างเหนียวและไม่อร่อย เหมือนเนื้อตากแห้งที่เก็บมานานแล้ว โชคดีที่ฟันของเหล่าผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดนั้นแข็งแรง สำหรับพวกเขาแล้วคุณภาพของเนื้อนั้นไม่สำคัญ ที่สำคัญกว่าคือปริมาณพลังต้นกำเนิดที่อสูรร้ายเก็บไว้ การกินเนื้อพวกมันมีส่วนช่วยเพิ่มความสามารถในการดูดซับ หมุนเวียนและนำพลังไปใช้ประโยชน์ได้ดียิ่งขึ้น มันจัดเป็นอาหารเสริมที่ดี

เนื่องจากความร้อนมีผลเสียต่อคุณค่าทางโภชนาการของเนื้ออสูร ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดบางคนจึงถึงกับเลือกที่จะกินเนื้ออสูรดิบ

ซูเฉินและจางหยวนเหลียวไม่สามารถทำสิ่งป่าเถื่อนเช่นนั้นได้ลง แต่พวกเขาก็ยังเริ่มกินเนื้อเสือทันทีที่มันสุก

ความอยากอาหารของผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดนั้นเยอะมาก ๆ พวกเขาสามารถกินทั้งเสือ หมี เสือดาว ฯลฯ ได้ทั้งหมดในคราวเดียว ส่วนใหญ่เป็นเพราะพวกเขามีทักษะการดูดซับที่สามารถช่วยให้พวกเขาดูดซับสิ่งที่มีคุณค่าทางโภชนาการสำหรับพวกเขาได้อย่างรวดเร็ว พวกเขาไม่จำเป็นต้องรอให้ขับถ่ายของเสียออกไปก่อนถึงจะสามารถกินต่อได้ เมื่อมีอาหารไม่มากพอพวกเขาสามารถอดอาหารชั่วคราว และดูดซับพลังต้นกำเนิดจากอากาศแทนได้

นี้ทำให้พวกเขาใช้ทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพมาก และทุกครั้งที่พวกเขาล่าสัตว์สำเร็จ พวกเขาจะมีมื้ออาหารสุดหรู

“เอานี่!” จางหยวนเหลียวดึงเนื้อชิ้นหนึ่งจากเตาย่างที่เพิ่งปรุงเสร็จและมอบให้ซูเฉิน

“ขอบคุณ” ซูเฉินรับมันแล้วกัดมันลงไป ปากของเขาชุ่มไปด้วยน้ำมันและกลิ่นหอมก็แพร่กระจายออกมาอย่างรวดเร็ว

“จริงสิ เหตุใดนายน้อยสี่ของตระกูลซูถึงได้เข้ามาอยู่ในเทือกเขาสีเลือดนี้กันเล่า?” จางหยวนเหลียวถาม

“บทลงทัณฑ์สีเลือด” ซูเฉินตอบอย่างไม่ใส่ใจ

“บทลงทัณฑ์สีเลือด?” จางหยวนเหลียวตกตะลึง “เจ้าไปทำสิ่งใดมา จนตระกูลต้องมอบบทลงทัณฑ์สีเลือดให้แก่เจ้ากัน?”

“หลายสิ่งหลายอย่าง … ข้าทำให้ผู้ใต้บัญชาพิการ ทุบตีป้าและยังทุบตีลูกพี่ลูกน้องจนมันต้องนอนรักษาตัวอยู่บนเตียงเป็น 10 วัน”

จางหยวนเหลียวผิวปาก “ข้าไม่เคยคิดเลยว่าคนตาบอดจะโหดร้ายได้ขนาดนี้”

“แน่นอนเพราะข้าตาบอด ข้าจึงต้องทำตัวโหดเหี้ยม … กุมจุดสำคัญของพวกมันไว้และอย่าปล่อยไปง่าย ๆ !” ซูเฉินยิ้มเบา ๆ

จางหยวนเหลียวตกใจชั่วครู่ก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง “เยี่ยม กล่าวได้ดี ข้าบังเอิญมีเหล้าติดตัวมาด้วย มาเถอะพี่ชายเรามาดื่มด้วยกัน”

ขณะที่พูดเขาก็ดึงขวดน้ำและจอกสองใบออกมาจากห่อของตน

จางหยวนเหลียวเทเหล้าใส่จอกสำหรับซูเฉิน จากนั้นก็เทให้กับตัวเอง ก่อนจะกล่าวว่า “มา จอกนี้ดื่มให้แก่การพบกันของเรา การได้พบเจอกันในดินแดนรกร้างแบบนี้ถือได้ว่าเป็นโชคชะตาแล้ว!”

ซูเฉินจิบเข้าไปเบา ๆ

เหล้านี้แรงมาก มันเหมือนมีไฟกำลังไหม้อยู่ในคอของเขา

“เป็นอย่างไร รสแรงดีใช่ไหมล่ะ?” จางหยวนเหลียวหัวเราะ จากนั้นก็ดื่มเหล้าในจอกของเขาหมดรวดเดียว ก่อนจะเติมให้เต็มอีกรอบ

“ข้ายังไม่ชินกับเหล้าแรง ๆ ” ซูเฉินส่ายหัว แล้ววางจอกเหล้าลง “ว่าไป แล้วเหตุใดพี่ใหญ่จางถึงได้มายังเทือกเขาสีเลือดนี้กัน?”

“มีบางคนค้นพบแร่ดาราเงินในหุบเขามรกต ข้าเลยสงสัยว่าอาจมีสายแร่ใหญ่อยู่ใกล้ ๆ แถวนั้น จึงมาลองดูว่าข้าจะมีโชคกับเขาบ้างไหม” จางหยวนเหลียวตอบอย่างเฉยชา

“เหมืองแร่ดาราเงิน?” ซูเฉินก็ตกใจเช่นกัน

แร่ดาราเงินเป็นโลหะหายากที่ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดนิยมใช้กัน มันเป็นตัวนำพลังต้นกำเนิดอันดับหนึ่งที่ผู้คนมักจะนำมาใช้ในการสร้างเครื่องมือต้นกำเนิด บ้างก็ใช้ปรับแต่งสิ่งที่เกี่ยวข้องกับพลังต้นกำเนิด และยังช่วยในการบ่มเพาะ

โดยทั่วไปแล้วแร่ดาราเงินนั้นจะไม่ปรากฏมาเพียงเป็นกลุ่มเล็ก ๆ น้อย ๆ หากพบเจอบางส่วน เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะมีสายแร่ใหญ่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง

ตามข้อมูลที่จางหยวนเหลียวกล่าวมา คนที่พบแร่ดาราเงินในหุบเขามรกตนั้นเป็นนักล่าธรรมดาทั่วไป เขาไม่เข้าใจถึงคุณค่าที่แท้จริงของแร่ดาราเงิน คนผู้นั้นเพียงแค่คิดว่ามันดูสวยมากจึงนำมันกลับมาด้วย และเพราะเช่นนั้นเขาเลยไม่ได้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ เมื่อข่าวลือแพร่สะพัดออกไป หลายคนก็รู้ว่าในหุบเขามรกตอาจจะมีสายแร่ดาราเงินสายใหญ่อยู่ คนพวกนั้นจึงพากันมุ่งหน้าออกไปหาโอกาสสร้างโชคให้ตัวเอง

จางหยวนเหลียวก็ทำเช่นเดียวกัน เมื่อได้รับข่าว เขาก็รีบมุ่งหน้าเข้าสู่เทือกเขาสีเลือดในทันที โดยหวังว่าตนจะได้รับโชคที่ยิ่งใหญ่สักครั้งในชีวิต

แม้ว่าผู้ฝึกตนจะไม่เคยขาดเงินเพราะพวกเขาสามารถผลิตหินพลังต้นกำเนิดด้วยตนเองได้ แต่ในทางกลับกัน ความจำเป็นในการหาทรัพยากรดี ๆ มาฝึกฝนก็ทำให้เหล่าผู้ฝึกตนนั้นขาดแคลนเงินมากกว่าใคร นอกจากนี้การผลิตหินพลังต้นกำเนิดยังส่งผลกระทบต่อการฝึกฝน แม้จะทำงานหนักเป็นเวลา 1 ปีเต็มก็ผลิตหินพลังต้นกำเนิดได้เพียง 300 ถึง 400 ก้อนเท่านั้น แน่นอนว่ามันไม่เพียงพอที่จะใช้

นี่จึงทำให้ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดกลายเป็นพวกที่ต้องการความมั่งคั่งมากขึ้นเรื่อย ๆ และไล่คว้าทุกโอกาสที่พวกเขาสามารถคว้าได้ไปโดยปริยาย

สายแร่ดาราเงินในหุบเขามรกตถือเป็นโอกาสที่ดีและหายากอย่างเห็นได้ชัด

“นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าต้องการบอกเจ้า แม้ว่าหุบเขามรกตจะไม่มีผู้ถือครอง ทุกคนที่ต้องการไปที่นั่นต่างก็สามารถเข้าไปได้ตามต้องการ และเพราะเหตุนี้เมื่อมันไม่มีคำสั่งหรือข้อจำกัดใด ๆ ข้อพิพาทมากมายก็ย่อมจะตามมา ไม่มีกฎและจริยธรรมที่นั่น แม้ว่าผู้ใดจะกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะไม่มีผลกระทบใด ๆ ตามมา ความชั่วร้ายในใจจะขยายใหญ่ขึ้นและผู้อ่อนแอจะกลายเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่ง นี่คือเหตุผลที่ข้าต้องการร่วมมือกับเจ้า หากเราร่วมมือกัน เราอาจจะสามารถสร้างสถานที่ที่เป็นของเราเองที่นั่นได้”

จางหยวนเหลียวอ้อนวอน เขาก็ยังคงไม่ยอมแพ้กับเป้าหมายที่จะเป็นพันธมิตรกับซูเฉิน

ซูเฉินไม่ได้สนใจอีกฝ่ายเลย เขาตอบกลับแค่ “โอ้” แล้วกินเนื้อต่อไป

“เจ้าไม่สนใจเลยเหรอ?” จางหยวนเหลียวค่อนข้างแปลกใจ “เรากำลังพูดถึงแร่ดาราอยู่นะ! แร่ดาราเพียงแค่ชิ้นเดียวก็มีมูลค่านับ 10 หรือหลาย 100 หินพลังต้นกำเนิดแล้วนะ!”

“แต่มันก็ยังต้องไปคอยอยู่ที่นั่นเพื่อขุดมันออกมาใช่ไหม?” ซูเฉินตอบกลับ “ข้าอยากอยู่ที่นี่และต่อสู้กับอสูรร้าย กินเลือดและเนื้อ เก็บเกี่ยวผืนหนังผืนขนของพวกมัน นอกจากนี้การอยู่ที่นี่ข้ายังสามารถฝึกฝนร่างกายของข้าและสะสมประสบการณ์มากกว่า การไปขุดหาโชคในเหมืองแร่”

“นั่นมันช้าเกินไป!” จางหยวนเหลียวถอนหายใจ “ผู้คนจะไม่มีทางรวยหากพวกเขาไม่มีโชคลาภ!”

“นั่นคือหลักการชีวิตของเจ้าหรือ?” ซูเฉินหัวเราะ “งั้นข้าก็คงไม่สามารถตกลงอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าได้ โอ้ ขวดเครื่องเทศอยู่ที่ไหน? หยิบมันให้ข้าที ข้าต้องการโรยใส่เนื้อเพิ่มอีกหน่อย”

จางหยวนเหลียวหันมองไปรอบ ๆ และพึมพำ “แปลกจริง เมื่อครู่มันก็อยู่ตรงนี่นี้ ข้าเอาไปวางไว้ไหนแล้วนะ?”

จางหยวนเหลียวมองไปรอบ ๆ ทว่าก็หามันไม่พบ

“หากเจ้าหาไม่เจอก็มันช่างเถอะ ยังไงซะข้าก็อิ่มแล้ว”

“เจ้าจะไปแล้ว?”

“อืม”

“เอาล่ะ เช่นนั้นดื่มอวยพรกันสักจอกหนึ่ง แล้วก็แยกไปตามทางของตัวเอง” จางหยวนเหลียวชูจอกเหล้าในมือของเขา

ซูเฉินไม่เกรงใจอีกต่อไป ในทำนองเดียวกันเขาก็ชูจอกขึ้นแล้วชนกับจอกของจางหยวนเหลียวอย่างแรง ทั้งสองดื่มเหล้าหมดจอกไปพร้อมกัน

หลังจากดื่มเหล้าไปหมดแล้ว จางหยวนเหลียวก็ปาจอกทิ้งลงกับพื้น “ซูเฉิน เจ้าช่างเป็นคนที่ประหลาดเสียจริง แม้ว่าร่างกายของเจ้าจะพิการแต่จิตใจของเจ้ากลับแข็งแกร่ง แม้ว่าเจ้าจะมองไม่เห็นแต่เจ้าก็ยังกล้าเข้ามาในเทือกเขาสีเลือดนี้ด้วยตัวเอง ข้านับถือเจ้าจริง ๆ ”

ซูเฉินฟังอีกฝ่ายพูดอย่างเงียบ ๆ ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป

จางหยวนเหลียวกล่าวต่อ “แต่น่าเสียดาย แม้ว่าเจ้าจะมีความทะเยอทะยานและความมุ่งมั่น แต่ท้ายที่สุดเจ้าก็ยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มและยังไร้เดียงสาเกินไป เจ้ายังมีประสบการณ์ไม่มากพอ”

การแสดงออกของซูเฉินนั้นนิ่งสงบ “พี่ใหญ่จางกำลังหมายถึงอะไร?”

จางหยวนเหลียวหัวเราะเยาะ “อยากรู้หรือ เช่นนั้นทำไมเจ้าไม่ลองโคจรพลังต้นกำเนิดของเจ้าดูเล่าว่ายังทำได้หรือไม่?”

ซูเฉินก้มศีรษะลง ดวงตาที่มองไม่เห็นของเขาจ้องไปที่จอกในมือ “เจ้าวางยาในเหล้างั้นหรือ? ทำไม?”

“ยังต้องมีเหตุผลอื่นอีกหรือ?” จางหยวนเหลียวแบมือออก “แน่นอนว่าย่อมเป็นเพราะเครื่องมือต้นกำเนิดของเจ้า สิ่งเหล่านั้นมีค่าอย่างยิ่ง แม้กระทั่งคนตาบอดเช่นเจ้ายังสามารถเดินในเทือกเขาสีเลือดได้อย่างปลอดภัย แล้วข้าจะไม่ถูกล่อลวงได้อย่างไร?”

“ดังนั้นเจ้าจึงเลือกจะลงมือกับข้า? กับผู้ช่วยชีวิตของเจ้า?”

จางหยวนเหลียวเงยหน้าขึ้นหัวเราะเสียงดัง และยกดาบเกล็ดมรกตของเขาขึ้นมาในเวลาเดียวกัน “เจ้าพูดถูกเจ้าได้ช่วยข้าไว้ แต่แล้วยังไงล่ะ? หลังจากที่ข้าสังหารเจ้าไปแล้วใครจะรู้? ก่อนหน้านี้ข้าก็เตือนเจ้าไปแล้วว่าไม่มีใครรวยโดยไม่มีโชค ดินแดนไม่มีเจ้าของ ไม่มีกฎ ไม่มีศีลธรรม ความชั่วร้ายในใจของมนุษย์ก็ย่อมจะทวีคูณขึ้น ทว่าเจ้าอ่อนโยนเกินไป และไม่เข้าใจสิ่งที่ข้าพยายามจะบอก แล้วเจ้าจะมาโทษข้าได้อย่างไร?”

ในขณะที่จางหยวนเหลียวกำลังพูด การแสดงออกของเขาเผยให้เห็นเจตนาฆ่าอย่างชัดเจน “คนตาบอดที่ถือครองเครื่องมือต้นกำเนิดก็เหมือนเด็กเล็กผู้เดินเล่นในตลาดที่คนพลุกพล่านขณะถือทองคำไว้ ผู้ที่ไม่เข้าใจวิธีซ่อนจุดอ่อน จะไม่เชื้อเชิญหายนะมาให้ตนเองได้อย่างไร ในเมื่ออีกไม่ช้าก็เร็วเจ้าก็ต้องตายอยู่ดี แทนที่จะให้ผู้อื่นได้กำไรไป ข้าเก็บกำไรไว้เองไม่ดีกว่าหรอกหรือ!”

หลังจากพูดจบ จางหยวนเหลียวก็วาดดาบลงไปบนหัวของซูเฉินในทันที

ดาบนี้เต็มไปด้วยความดุร้ายและรุนแรง เขาไม่ได้เก็บความเมตตาใด ๆ ไว้ในการโจมตีนี้แม้แต่น้อย

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่จางหยวนเหลียวเพิ่งก้าวออกไปได้เพียงก้าวเดียว ชายหนุ่มก็พบว่าเขาไม่สามารถควบคุมพลังต้นกำเนิดได้เลย ร่างกายทั้งหมดของเขาว่างเปล่าและอ่อนแอ

“ผงขัดพลังปราณ?” จางหยวนเหลียวชะงักค้างด้วยความตกใจอย่างยิ่ง

ผงขัดพลังปราณที่ควรอยู่ในท้องของซูเฉิน มาจบลงในท้องของเขาอย่างไร?

ในเวลาเดียวกัน กำปั้นของซูเฉินก็โจมตีออกไป หมัดอันทรงพลังที่หุ้มพลังต้นกำเนิดเอาไว้ กระแทกเข้ากับใบหน้าของจางหยวนเหลียวและส่งอีกฝ่ายลอยกระเด็นไป

“เจ้าไม่ได้ถูกวางยา … เจ้าสลับจอกเหล้า!” จางหยวนเหลียวเริ่มตะโกนอย่างหวาดกลัว

ซูเฉินเดินเข้าไปทีล่ะก้าว ทว่าราวกับว่าเขาได้เดินเข้าไปในหัวใจของชายหนุ่ม จางหยวนเหลียวรู้สึกกดดันอย่างมาก

“ข้าสลับพวกมันอย่างง่าย ๆ เมื่อตอนที่ข้าบอกให้เจ้าช่วยมองหาเครื่องเทศ” ซูเฉินตอบกลับ

“เจ้าระแวงข้าตลอดเลยงั้นหรือ?” จางหยวนเหลียวตกใจมากยิ่งขึ้น

“อันที่จริงต้องกล่าวว่า ข้าไม่ได้เชื่อใจเจ้าต้องแต่แรกแล้ว” ซูเฉินตอบอย่างใจเย็น

“ทำไมกัน? ข้าไม่เข้าใจ” จางหยวนเหลียวนอนอยู่บนพื้นราวกับว่าเขายอมแพ้อย่างสมบูรณ์แล้ว แต่ดวงตาของเขากลับยังคงกลอกไปกลอกมา

ซูเฉินแสร้งทำเป็นไม่เห็นขณะที่เขาตอบกลับอีกครั้ง “เพราะเจ้าไม่เข้าใจความกตัญญู ตอนที่ข้ากลับมาหลังจากสังหารพยัคฆ์สีรุ้งสองหาง ข้ากล่าวว่าหากเจ้าต้องการความช่วยเหลือ ครึ่งหนึ่งของเสือตัวนั้นจะต้องเป็นของข้า เจ้าจำคำตอบของเจ้าได้หรือไม่?”

“ไม่จำเป็น” จางหยวนเหลียวพูดขึ้นอย่างสับสน

“ ถูกต้องแล้ว ‘ไม่จำเป็น’ ” ซูเฉินหัวเราะ “เจ้าไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนโลภใช่มั้ย ข้าเพิ่งช่วยชีวิตเจ้าแต่เจ้ากลับไม่อยากแบ่งพยัคฆ์สีรุ้งสองหางกับข้า ถ้าผู้ที่ข้าช่วยไว้มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีสักนิด คำตอบมาตรฐานของมันไม่ใช่ว่าควรจะเป็น ‘เจ้าช่วยข้าไว้ เอาไปเถอะทั้งหมดนี้เป็นของเจ้า’ อะไรประมาณนี้หรอกหรือ?”

จางหยวนเหลียวตกตะลึงจนพูดไม่ออก

อย่างไรก็ตามลูกดอกสีม่วงดำ 3 ลูกกลับปรากฏมาอยู่ในมือซ้ายของเขาอย่างเงียบ ๆ เห็นได้ชัดว่าพวกมันเป็นลูกดอกพิษ

“แน่นอนว่าสิ่งที่ข้าสนใจไม่ใช้เจ้าเสือนั่นแต่เป็นความนัยที่ข้าส่งไป หากขาดความกตัญญูก็หมายความว่าไม่ว่าคนผู้นั้นจะลงมือทำอะไร มันก็ไม่มีสิ่งใดให้น่าแปลกใจ”

“ที่แท้เป็นเช่นนั้น” จางหยวนเหลียวยิ้มอย่างขมขื่น “ข้าเป็นคนชั่วร้ายผู้ไร้ความกตัญญู ไม่น่าแปลกใจเลยที่คนตาบอดอย่างเจ้าจะมองออก แต่ทว่า ……”

จางหยวนเหลียวลากคำพูดของเขาออกไป ทันใดนั้นน้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนไปและรุนแรงขึ้น “มันก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าชนะแล้ว!”

ฟิ้ว!

ลูกดอกพิษทั้ง 3 บินตรงไปที่ซูเฉิน มุ่งเป้าไปตามส่วนต่าง ๆ บนร่างกายของเด็กหนุ่ม

การโจมตีครั้งนี้เร็วมาก มุมที่ยิงออกมาก็แปลกเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าจางหยวนเหลียวใช้เวลาในการฝึกฝนทักษะนี้อย่างหนัก

จังหวะเดียวกับที่ลูกดอกพิษพุ่งแหวกอากาศออกมา รองเท้าย่ำเมฆีที่เท้าของซูเฉินก็พลันเปล่งแสงขึ้น เด็กหนุ่มบินไปในอากาศเหมือนควันเพื่อหลีกเลี่ยงลูกดอก 1 ใน 3 แล้วบิดตัวกลางอากาศเพื่อหลบหลีกลูกดอกอีกลูกหนึ่ง ส่วนดอกสุดท้ายเขาไม่สามารถหลบมันให้พ้นได้ แต่ซูเฉินก็พลิกตัวกลับหลังกลางอากาศ 180 องศา หันด้านหลังของตนมารับลูกดอกแทน ชุดเกราะพลอยม่วงส่องประกายลูกดอกพิษดอกสุดท้ายกระแทกเข้ากับโล่ป้องกัน ก่อนจะร่วงลงกับพื้นส่งเสียงกระทบดัง ‘กริ่ง’

หัวใจของจางหยวนเหลียวจมดิ่งลงสู่ความสิ้นหวัง การเคลื่อนไหวเมื่อครู่นี้ไม่ใช่สิ่งที่คนตาบอดจะสามารถทำได้

ทันใดนั้นเขาก็รู้ความจริงและเริ่มตะโกนด้วยความประหลาดใจและความกลัว “ไม่ได้ตาบอด! เจ้าไม่ได้ตาบอด!”

มุมปากของซูเฉินยกขึ้นโค้งขึ้นจนเกิดเป็นรอยยิ้มดูถูกเหยียดหยาม ขณะที่เขาจับจ้องไปที่จวนหยวนเหลียวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเย็นชา

“ 4 ปีที่แล้ว ข้าได้พบกับชายชราผู้หนึ่ง คนผู้นั้นกล่าวว่าข้ามีความคิดที่เฉียบคมและไม่รู้ถึงคุณค่าของการเก็บซ่อนจุดอ่อนและทำตัวให้ไม่โดดเด่น ดังนั้นมันจึงแลกเปลี่ยนดวงตาของข้า ทำให้ข้ามองเห็นได้มากขึ้นและทำให้ได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของโลกใบนี้ ตั้งแต่นั้นมาข้าก็เริ่มเรียนรู้ว่าการเก็บซ่อนจุดอ่อนและทำตัวให้ไม่โดดเด่นมันหมายถึงอะไร … ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ!”

“ไม่ !!!”

ขณะที่จางหยวนเหลียวกรีดร้องด้วยความสิ้นหวัง คมดาบก็ได้ฟาดฟันลงมา