novel-lucky | นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย PDF
  • หน้าหลัก
  • ดูอนิเมะ anime
  • anime
  • โดจิน
ค้นหานิยาย
Sign in Sign up
  • จันทร์
  • อังคาร
  • พุธ
  • พฤหัสบดี
  • ศุกร์
  • เสาร์
  • อาทิตย์
  • ทุกวัน
  • จบแล้ว
  • นิยาย PDF
  • จันทร์
  • อังคาร
  • พุธ
  • พฤหัสบดี
  • ศุกร์
  • เสาร์
  • อาทิตย์
  • ทุกวัน
  • จบแล้ว
  • นิยาย PDF
Sign in Sign up
Prev
Next
hotgraph Hydra888 ดูบอลสด UFAC4 PANAMA888 lotto432 ufabet london168 newyork UFAZEED UFA1919 PG freefire เว็บหวยฮานอย ซื้อหวยฮานอย SSGAME350 เล่นเซ็กซี่บาคาร่า AE SEXY เว็บบาคาร่าดีที่สุด dgthai nowbet หวยออนไลน์

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 66 ปรึกษาหารือ

  1. Home
  2. ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)
  3. บทที่ 66 ปรึกษาหารือ
Prev
Next

บทที่ 66 ปรึกษาหารือ

เมื่อได้เจ้าแมลงกินเหล็กมาแล้ว กังเหยียนก็เก็บมันไว้ในถุงแมลงที่ซูเฉินเพิ่งมอบให้ตน

หลังจากเก็บกวาดทุกสิ่งอย่างแล้ว ทั้งคู่ก็เดินทางออกจากถ้ำ

เมื่อเทียบกับสิบวันก่อนหน้านี้ ผู้คนในหุบเขามรกตลดลงอย่างเห็นได้ชัด

จำนวนแร่ดาราเงินร่อยหรอลงไปเรื่อย ๆ คนหลายคนต่างจากไปพร้อมกับความผิดหวังที่ไม่สามารถขุดแร่ใดออกมาได้เลย

กิจการของเฮยโฉ่วก็เริ่มค้าขายได้น้อยลง สิ่งที่ทำให้มันหมดหนทางที่สุดคือมีร้านคู่แข่งมาตั้งตรงจุดที่มันวางแผนจะตั้งร้านของตน ทั้งสองกิจการต่างไม่ถูกกัน ไม่นานคงต้องเกิดการประจันหน้า

ซูเฉินพากังเหยียนลอบออกไปจากที่นั่น เป็นอีกครั้งที่ต้องเดินเท้าเข้าป่าที่แสนคุ้นเคยเพื่อเดินทางกลับบ้านที่อยู่ห่างไกลนัก

ด้วยยังเหลือเวลาอีกสี่วัน ซูเฉินจึงไม่ได้รีบร้อนนัก เด็กหนุ่มเดินท่องเที่ยวไปทั่ว ล่าอสูรร้ายไปตามทางเท่าที่กำลังจะเอื้ออำนวย

ยามอยู่ตัวคนเดียว เขาก็มักเดินทางไปไหนมาไหนได้ตามใจชอบอยู่แล้ว ยิ่งในตอนนี้ที่มีกังเหยียนและเจ้าแมลงกินเหล็กอยู่ด้วยแล้ว เด็กหนุ่มก็ยิ่งไม่ต้องกังวลสิ่งใด ถึงเจ้าแมลงกินเหล็กจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่คาดเดาได้ยากก็ตาม

ด้วยเพราะที่นี่อยู่ลึกเข้าไปในป่า ไม่นานพวกมันจึงเจอเข้ากับอสูรร้ายระดับต่ำ

คนทั้งสองคนร่วมมือกันจัดการอสูรร้ายอย่างง่ายดาย

กังเหยียนกำลังจะถลกหนังของเจ้าอสูรร้ายออก ทว่า     ซูเฉินกลับหยุดอีกฝ่ายไว้แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ทำตามที่ข้าบอก ยื่นนิ้วเจ้าไปวางตรงนั้น…… ไม่ใช่ ต่ำลงไปอีกนิด ใช่แล้ว ตรงนั้นล่ะ คราวนี้อย่าขยับ ใช้วิชาดูดซับพลังศรเภกะที่ข้าสอนให้เจ้าเสีย มุ่งดูดซับพลังจากตรงจุดนั้น นึกภาพตัวเจ้ากำลังหายใจเข้า หายใจเข้าเสีย…… หายใจเข้าต่อไป…… หายใจเข้าต่อไปเรื่อย ๆ!”

ในที่สุดจุดแสงพลังต้นกำเนิดก็ค่อย ๆ จมหายเข้าไปในร่างของกังเหยียน

นี่คือสิ่งที่ซูเฉินกล่าวว่ามันจะทำให้กังเหยียนฝึกตนได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ดวงตาของเขาสามารถมองเห็นพลังต้นกำเนิดได้ นั่นก็หมายความว่าเด็กหนุ่มสามารถใช้ความสามารถนี้ในการช่วยผู้อื่นได้เช่นกัน

หลังจากเวลาผ่านไปราวสิบวันบวกกับการสอนสั่งและฝึกฝน กังเหยียนก็เริ่มใช้วิชาดูดซับพลังศรเภกะจนชำนาญ ทว่าความเร็วในการดูดซับพลังของมันยังเร็วได้เพียงครึ่งหนึ่งของซูเฉิน

ซูเฉินรู้ดีว่าเป็นเพราะตามปกติแล้วกังเหยียนไม่อาจสัมผัสถึงพลังต้นกำเนิดได้ ทั้งความสามารถในการบ่มเพาะพลังก็เลวร้ายยิ่ง ทว่าจากสิ่งที่ได้เห็น เขาจึงพอคำนวณคร่าว ๆ ได้ว่ากังเหยียนนั้นแตกต่างกับเผ่ามนุษย์อยู่ราวสองเท่า

หากความเข้าใจของกังเหยียนเท่ากับครึ่งหนึ่งของมนุษย์ ทั้งความสามารถในการสัมผัสถึงพลังต้นกำเนิดและความสามารถในการดูดซับพลังมีเท่ากับครึ่งหนึ่งของมนุษย์แล้ว ไม่แปลกที่เผ่าหินผาจะบ่มเพาะพลังได้ยากเย็นยิ่งนัก

ทว่าซูเฉินไม่ยอมแพ้ เขายังคงชี้แนะกังเหยียนและฝึกการบ่มเพาะพลังของตนเองต่อไป

ด้วยเพราะต้องคอยชี้แนะกังเหยียน อัตราการดูดซับจุดพลังของเด็กหนุ่มจึงลดลดลงเล็กน้อยราวสองจุด แต่ทว่ามันก็ลดลงเพียงชั่วคราวเท่านั้น

ในวันต่อ ๆ มา เมื่อไรที่สามารถสังหารอสูรร้ายได้ เด็กหนุ่มก็จะคอยช่วยกังเหยียนดูดซับจุดแสงพลังต้นกำเนิด ถึงการรับรู้ของกังเหยียนจะต่ำ ทว่าชายร่างยักษ์ก็ไม่ได้ไร้ปัญญาไปเสียทีเดียว อีกฝ่ายสามารถทำตามคำชี้แนะของซูเฉินได้เป็นอย่างดี หากซูเฉินชี้ไปตรงจุดใด มันก็จะยื่นมือไปตรงจุดนั้น ถึงจะไม่อาจมองเห็นจุดพลังแต่มันก็ยอมทำตามที่ซูเฉินบอกและเริ่มทำการดูดซับและบ่มเพาะพลัง

ผลลัพธ์ที่ออกมาสามารถเห็นได้รวดเร็วยิ่ง ไม่ว่ามันจะหัวช้าสักเพียงไหน แต่ทว่ากังเหยียนก็ค้นพบว่าการบ่มเพาะพลังของมันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เดิมทีขั้นพลังของมันอยู่ด่านหลอมกายาขั้น 7 ทว่าตอนนี้กลับถึงด่านหลอมกายาขั้น 8 แล้ว

สิ่งนี้ทำให้กังเหยียนตื่นเต้นยิ่งนัก

“นี่เป็นความลับ มีเพียงเจ้ากับข้าที่รู้เรื่องนี้ เข้าใจหรือไม่?” ซูเฉินเอ่ย

กังเหยียนหงกหัว “ถึงกังเหยียนต้องตายก็จะไม่เผยความลับนี้ออกไปเด็ดขาด”

“ดีมาก” ซูเฉินตอบ

ทั้งคู่สนิทกันถึงเพียงนี้แล้ว

สี่วันให้หลัง ซูเฉินก็พากังเหยียนออกจากเทือกเขาสีเลือด

ครั้งนี้เด็กหนุ่มไม่กล้ากลับมาช้าอีก

ข้ารับใช้จากตระกูลซูที่มารอรับซูเฉินต่างก็สับสนมึนงงเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ข้างซูเฉิน

จะไม่ให้พวกมันตกใจได้อย่างไร? นายน้อยตาบอดเดินทางเข้าไปยังเทือกเขาสีเลือดถึงสองครั้ง แล้วยังสามารถเอาชีวิตรอดกลับมาได้ถึงสองครั้งอีก

ซูเฉินไม่ใส่ใจ ก่อนกลับมาถึงเขาได้เล่าตัวตนและเรื่องนัยน์ตาของตนให้กังเหยียนรับรู้แล้ว ดังนั้นจึงไม่ต้องคอยเตือนกังเหยียนในเรื่องใดอีก เด็กหนุ่มขึ้นรถม้าที่จอดรอไว้โดยไม่สนสิ่งใด ทว่าเมื่อกังเหยียนเดินขึ้นรถม้าตามไป รถม้าก็เริ่มสั่นคลอน ม้าทั้งสี่ตัวไม่อาจเคลื่อนรถม้าได้ในตอนแรก คนขับรถม้าจำต้องลงแส้ที่ม้าทั้งสี่ตัวไม่หยุดเพื่อให้พวกมันออกเดิน ทำเอาข้ารับใช้สองคนพูดอันใดไม่ออก พวกมันได้แต่คิดว่านายน้อยสี่คงพึ่งพาคนร่างสูงใหญ่ผู้นี้ในการเอาชีวิตรอดบนเทือกเขาสีเลือดกระมัง

ถึงซูเฉินจะไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา คนรอบข้างพวกนั้นก็จะหาคำตอบที่ตนเชื่อมาตอบคำถามในใจตนอยู่แล้ว

รถม้าเดินทางไปยังศาลาหยกพิสุทธิ์เป็นแห่งแรก เมื่อมาถึง เด็กหนุ่มก็เห็นว่าหลี่ชู่และถังเจิ้นกำลังคุยกัน เมื่อทั้งสองเห็นว่าซูเฉินมาถึง ตอนแรกก็มึนงงไป ทว่าเมื่อเห็นกังเหยียน หลี่ชู่ก็เข้าใจในทันที รีบเข้ามาช่วยพยุงซูเฉินพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “นายน้อยสี่โปรดระวัง นายน้อยสี่มองเห็นลำบาก ให้ข้าน้อยช่วยพยุงเถอะ”

กล่าวได้ว่าความสามารถในการปรับตัวของกังเหยียนนั้นมีมากกว่าหลี่ชู่นัก

หลี่ชู่พยุงซูเฉินเดินเข้าไปในห้อง ส่วนถังเจิ้นก็ไล่คนอื่น ๆ ออกไปจนหมด คนทั้งสามนั่งลงยกเว้นกังเหยียนที่ยังคงยืนอยู่ด้านหลังซูเฉิน

ถังเจิ้นได้ยินหลี่ชู่พูดถึงกังเหยียนแล้ว ดังนั้นมันจึงไม่ประหลาดใจนัก

หลังจากคุยเรื่องทั่วไปกันอยู่ชั่วครู่ ทั้งหมดก็เริ่มพูดคุยถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในหลายวันที่ผ่านมา เล่าเหตุการณ์แต่ละอย่างให้แต่ละคนฟัง

หลังจากหลี่ชู่เดินทางมาถึงศาลาหยกพิสุทธิ์แล้ว ถังเจิ้นก็ได้พูดคุยกับอีกฝ่ายและเรียนรู้ว่าคนผู้นี้มีปัญญา ทั้งยังสามารถเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นชายชราจึงเริ่มสอนหลี่ชู่เกี่ยวกับการดูของโบราณ หลี่ชู่ยังเล่าสิ่งที่ซูเฉินไปทำในหุบเขาให้ถังเจิ้นฟังอีกด้วย ซึ่งระหว่างนั้นถังเจิ้นก็กล่าวชมออกมาตลอดเวลา

ซูเฉินเล่าให้คนทั้งสองคนฟังถึงเรื่องที่เขาพบเจอหลังจากค้นพบถ้ำแร่ เมื่อได้ยินว่าซูเฉินได้พบเจอกับเหตุการณ์เช่นนั้น ถังเจิ้นกับหลี่ชู่ต่างก็ตกตะลึงไป

เมื่อถังเจิ้นพบว่าซูเฉินได้คัมภีร์หนังแกะโบราณของชาวอาร์คาน่ามา ชายแก่ก็รีบหยิบคัมภีร์ขึ้นมาดู เมื่อได้เห็นเขาก็ถึงกับตะโกนออกมาเสียงดังด้วยความตื่นเต้น “คัมภีร์โบราณหายาก! เป็นคัมภีร์โบราณหายาก! ข้าไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าของเมื่อสมัยหนึ่งหมื่นปีก่อนจะยังถูกเก็บรักษามาจนถึงตอนนี้ อาณาจักรอาร์คาน่านี่ช่างโดดเด่นไม่เหมือนใครจริงเชียว คัมภีร์ม้วนนี้หายากยิ่ง!”

หากไม่ใช่เพราะคัมภีร์ม้วนนี้ยังสามารถนำไปใช้งานได้อยู่ ถังเจิ้นอาจฉวยคัมภีร์นี้เป็นของตนไปตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็นแล้ว

ส่วนเรื่องการแปลอักขระอาร์คาน่าโบราณ ถังเจิ้นกล่าวว่าการฝึกตนนั้น หากผิดพลาดเพียงนิดอาจเกิดเรื่องร้ายแรงได้ เพื่อความมั่นใจจึงต้องใช้ของโบราณชิ้นอื่นในการอ้างอิงข้อมูล   ซูเฉินไม่มีปัญหากับความระมัดระวังของถังเจิ้น “ต่อไปข้าอาจได้วิชาโบราณอาร์คาน่ามาครอบครองอีก ดังนั้นข้าจึงอยากเรียนภาษาอาร์คาน่ากับหัวหน้าผู้จัดการร้านในเวลาว่าง ทว่าเรื่องนี้ยังไม่เร่งด่วน สิ่งสำคัญในตอนนี้คือสิ่งนี้”

เด็กหนุ่มพูดพร้อมกับหยิบแก่นแร่ดาราเงินออกมา

เมื่อเห็นแก่นแร่ดาราเงิน ทั้งถังเจิ้นและหลี่ชู่ก็แทบผุดลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ

แร่ดาราเงินธรรมดาก็ถือได้ว่าเป็นแร่เหล็กที่มีมูลค่าสูงมากแล้ว ทว่าแก่นแร่ดาราเงินนั้นถือได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่าเลยทีเดียว

หากซูเฉินต้องการขายแก่นแร่ก้อนขนาดนี้ เขาจะได้เงินมากพอที่จะใช้ซื้อถนนหลายสายในเมืองหลินเป่ยได้เลยทีเดียว

ทว่าถังเจิ้นรู้ดีว่าความมุ่งมั่นของซูเฉินไม่ใช้เพียงความร่ำรวยเท่านั้น ดังนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “นายน้อยต้องการแลกเปลี่ยนของสิ่งนี้กับสมบัติที่ใช้ในการบ่มเพาะพลังหรือ?”

การสนทนากับคนมีปัญญานั้นไม่ต้องเสียแรงเลย ซูเฉินพยักหน้าก่อนกล่าวขึ้น “ข้าจะใช้เงินตราในมือเพื่อทำให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้นไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง เงินส่วนหนึ่งที่ได้จากการขายเจ้านี่จะนำมาซื้อแร่เหล็กอื่น ๆ ที่เหลือจะขอแลกเป็นหินพลังต้นกำเนิด”

“ท่านไม่ต้องการสมุนไพรเสริมวิญญาณหรือยาที่สามารถเพิ่มพื้นฐานการบ่มเพาะพลังงั้นหรือ?” ถังเจิ้นถามด้วยความประหลาดใจ

ซูเฉินส่ายหน้า

หากมีจุดแสงพลังต้นกำเนิดแล้ว เขาก็สามารถใช้การต่อสู้ในการบ่มเพาะพลังได้ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องใช้ของเหล่านั้น

ทว่ากับหินพลังต้นกำเนิดนั้นต่างกัน ไม่เพียงสามารถใช้แทนเงินตราได้ เด็กหนุ่มยังสามารถใช้หินเหล่านั้นฟื้นคืนพลังต้นกำเนิดในร่างได้อีกด้วย เมื่อฝึกฝนทักษะพลังต้นกำเนิด ผู้ฝึกจำต้องใช้พลังต้องกำเนิดในการฝึกฝนอย่างมาก

หากต้องการฝึกฝนจนสามารถควบคุมทักษะพลังต้นกำเนิดได้ จำต้องคอยใช้วิชานั้นฝึกฝนมันอย่างสม่ำเสมอ หินพลังต้นกำเนิดหนึ่งก้อนมีค่าเท่ากับการบ่มเพาะพลังหนึ่งวันของผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดด่านก่อเกิดลมปราณ หรือก็คือหินหนึ่งก้อนมีค่าเท่ากับพลังต้นกำเนิดที่ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดด่านก่อเกิดลมปราณใช้ในหนึ่งวันนั่นเอง

ดังนั้นมีหินพลังต้นกำเนิดหนึ่งก้อน เท่ากับสามารถประหยัดเวลาไปได้หนึ่งวัน การบ่มเพาะพลังครั้งก่อนของซูเฉินใช้หินพลังต้นกำเนิดไปจำนวนหนึ่ง ทว่าตอนนั้นเขามีเงินอยู่ไม่มาก ดังนั้นจึงสามารถบ่มเพาะพลังได้อย่างจำกัด ตอนนี้ที่มีเงินอยู่ในมือมาก เด็กหนุ่มจึงจะใช้เงินที่มีให้เต็มที่

เป็นเพราะมันสามารถมองเห็นจุดแสงพลังต้นกำเนิด ซูเฉินจึงคิดจะใช้ความร่ำรวยของตนในการเพิ่มความแข็งแกร่ง และใช้ความแข็งแกร่งในการเพิ่มพื้นฐานการบ่มเพาะพลัง

นอกจากนี้ เขายังต้องซื้อทักษะพลังต้นกำเนิดและเครื่องมือต้นกำเนิด ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีหินพลังต้นกำเนิดไว้ในครอบครอง เด็กหนุ่มไม่เพียงจะขายแก่นแร่ดาราเงินเท่านั้น เขายังว่าจะขายสมุนไพรเซียนต่าง ๆ ที่ได้มาจากหลางเตาด้วย

ส่วนเรื่องแร่เหล็ก เด็กหนุ่มกะว่าจะซื้อมาเพื่อทำการทดลองกับเจ้าแมลงกินเหล็กว่ามันจะสามารถเปลี่ยนแร่ทุกชนิดเป็นแก่นแร่ได้หรือไม่

เมื่อถังเจิ้นได้ยินดังนี้ ชายชราก็ลูบเคราของตนก่อนเอ่ยขึ้น “หากต้องการแลกแก่นแร่ดาราเงินมากมายขนาดนี้กับหินพลังต้นกำเนิด ในเมืองหลินเป่ยอาจไม่มีที่ขาย ถึงจะมีแต่ราคาคงต่ำกว่าที่ควรเป็นมาก”

เมื่อต้องการขายในจำนวนมาก ๆ ราคาย่อมน้อยลง เป็นเรื่องธรรมดาของการค้าขาย

ซูเฉินถามขึ้น “เช่นนั้นหัวหน้าผู้จัดการร้านหมายความว่า……”

“หากท่านอยากขายได้ราคาดี ต้องไปขายที่ตำหนักเซียนเหิน”

เมืองหลินเป่ยเป็นส่วนหนึ่งของมณฑลสามเทือกเขา ตำหนักเซียนเหินคือเมืองหลวงของมณฑลแห่งนี้ หากเมืองหลินเป่ยเปรียบเสมือนเด็กน้อยที่อยู่ต่างจังหวัดห่างไกล เช่นนั้นแล้วตำหนักเซียนเหินก็เปรียบดั่งองค์ชายจากตระกูลร่ำรวยในเมืองใหญ่ ความแตกต่างระหว่างเมืองทั้งสองนั้นมีมากจนกระทั่งไม่อาจนำมาเทียบกันได้

มีเพียงที่นั่นที่ซูเฉินจะสามารถขายแก่นแร่ดาราเงินในราคาดีได้

จากนั้นทั้งสี่คนก็เริ่มปรึกษาหารือในเรื่องอื่น ๆ แน่นอนว่าผู้ที่ออกความเห็นส่วนมากคือซูเฉินและถังเจิ้น หลี่ชู่นั้นเพิ่งมาและยังไม่มีอำนาจตัดสินใจใด ๆ ในขณะที่กังเหยียนไม่จำเป็นต้องสนใจสิ่งใด หน้าที่ของมันมีเพียงยืนฟังบทสนทนาเท่านั้น

“เช่นนั้นตกลงตามนี้ อีกสักสองสามวันข้าจะเดินทางไปยังตำหนักเซียนเหิน หลี่ชู่ เจ้าอาจไปตรวจสอบพื้นที่แถบนั้นให้ข้า ข้าเพิ่งกลับมาจึงอยากรีบกลับไปพบท่านแม่ วันนี้พอแค่นี้เถอะ” เมื่อกล่าวจบซูเฉินก็ลุกขึ้นยืน

ถังเจิ้นและหลี่ชู่เดินตามไปส่งซูเฉินถึงที่ประตู

ยามเมื่อมองตามซูเฉินที่เดินออกไป ถังเจิ้นก็ค่อย ๆ พูดขึ้น “นายน้อยเติบโตขึ้นแล้วจริง ๆ”

“ใช่แล้ว” หลี่ชู่ถอนหายใจ “ใครจะไปคาดคิดว่าหน้ากากปีศาจที่แสนจะลึกลับ เด็ดขาด แล้วยังชั่วร้ายจะคือนายน้อยตาบอดของตระกูลซูได้กัน เป็นเด็กที่ยังมีอายุไม่ถึงสิบหกปีแท้ ๆ”

ถังเจิ้นเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า “พ้นปีนี้ไปนายน้อยก็จะมีอายุสิบหกปีโดยสมบูรณ์แล้ว”

“การประเมินสิ้นปีของตระกูลซูใกล้จะมาถึงแล้วใช่หรือไม่?” หลี่ชู่เอ่ยถาม

ทั้งสองมองหน้ากัน ก่อนจะหัวเราะออกมาพร้อม ๆ กัน

ดูท่าครั้งนี้ซูเค่อจี่จะต้องสูญเสียอย่างใหญ่หลวงในการช่วยให้ลูกชายของตนเอาชนะในการประเมินสิ้นปีในครั้งนี้อย่างแน่นอน

ในความเป็นจริงแล้ว การชนะการประเมินสิ้นปีไม่ได้มีความหมายมากมายอีกต่อไป ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นการประเมินครั้งสุดท้ายก่อนที่สถาบันมังกรซ่อนเร้นจะเปิดรับศิษย์ ทว่าชัยชนะของซูเค่อจี่ก็ไม่อาจทำให้ได้รับแก่นวิญญาณไม้เขียวอีกแล้ว

แต่เพื่อเป็นการระบายความโกรธต่างหาก

ถึงจะเป็นเพียงการเอาชนะซูเฉิน ทว่าเพื่อสั่งสอนซูเฉิน เขาจึงต้องชนะการประเมินสิ้นปีเพื่อเป็นการแก้แค้นที่ซูเฉินทำร้ายซูชิงซึ่งเป็นลูกชายตนให้ได้

Prev
Next
แทงหวยออนไลน์

Comments for chapter "บทที่ 66 ปรึกษาหารือ"

MANGA DISCUSSION

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

*

*

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

YOU MAY ALSO LIKE