novel-lucky | นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย PDF
  • หน้าหลัก
  • ดูอนิเมะ anime
  • anime
  • โดจิน
ค้นหานิยาย
Sign in Sign up
  • จันทร์
  • อังคาร
  • พุธ
  • พฤหัสบดี
  • ศุกร์
  • เสาร์
  • อาทิตย์
  • ทุกวัน
  • จบแล้ว
  • นิยาย PDF
  • จันทร์
  • อังคาร
  • พุธ
  • พฤหัสบดี
  • ศุกร์
  • เสาร์
  • อาทิตย์
  • ทุกวัน
  • จบแล้ว
  • นิยาย PDF
Sign in Sign up
Prev
Next
hotgraph Hydra888 xoslotz ดูบอลสด UFAC4 PANAMA888 lotto432 ufabet london168 newyork UFAZEED UFA1919 PG freefire เว็บหวยฮานอย ซื้อหวยฮานอย SSGAME350 เล่นเซ็กซี่บาคาร่า AE SEXY เว็บบาคาร่าดีที่สุด dgthai nowbet หวยออนไลน์

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 80 ข้าไม่ใช่ศิษย์ที่ท่านต้องการ

  1. Home
  2. ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)
  3. บทที่ 80 ข้าไม่ใช่ศิษย์ที่ท่านต้องการ
Prev
Next

บทที่ 80 ข้าไม่ใช่ศิษย์ที่ท่านต้องการ

 

 

“สันเขานอนตระกูลจู ?”

 

 

ฉือไคฮวงส่งเสียงดัง เลิกคิ้วขึ้นสูง น้ำเสียงทั้งระแวดระวังและจริงจังยิ่ง

 

 

“อาจารย์รู้จักตระกูลชั้นสูงนี้หรือ ?” ซูเฉินถาม ร่างเขานั่งอยู่ใจกลางค่ายกลยันต์พลังต้นกำเนิด เหนือศีรษะมีหมู่ดาวส่องพร่างพราว

 

 

ฉือไคฮวงเหม่อมองหมู่ดาวครู่หนึ่งก่อนตอบ “เจ้าน่าจะรู้ว่าตระกูลสายเลือดชั้นสูงก็มีระดับชั้นเช่นกันใช่หรือไม่ ? สันเขานอนตระกูลจูนั้นมีสายเลือดจักรพรรดิอสูร”

 

 

“สายเลือดจักรพรรดิอสูร ?” ซูเฉินตกตะลึงไป

 

 

สังคมที่พวกเขาอาศัยอยู่นั้นมีลำดับชนชั้นแบ่งแยกชัดเจนนัก

 

 

ในสังคมเช่นนี้ กระทั่งตระกูลสายเลือดชั้นสูงยังถูกแบ่งออกเป็นลำดับ

 

 

โดยสิ่งที่ใช้แยกลำดับชนชั้นของตระกูลต่าง ๆ นั้นคือสายเลือด

 

 

อสูรกายนั้นแยกออกเป็นระดับต่ำ กลาง และสูง เหนือกว่านั้นคือ เจ้าอสูรกาย ราชันอสูรกาย และสุดท้ายคือจักรพรรดิอสูรกาย ทั้งยังแบ่งออกเป็นสายเลือดบริสุทธิ์และผสมได้อีก

 

 

ในหมู่ตระกูลสายเลือดชั้นสูงนั้น ส่วนมากจะมีสายเลือดอสูรกายระดับสูงมากกว่าระดับต่ำ

 

 

เป็นเพราะทุกตระกูลต่างมีความทะเยอทะยาน หากเป็นไปได้ย่อมไม่มีใครต้องการครอบครองสายเลือดระดับต่ำ

 

 

ไม่เช่นนั้นแล้ว เหตุใดจึงไม่มีตระกูลสายเลือดอสูรร้ายบ้าง ?

 

 

เป็นเพราะอสูรร้ายนั้นมีระดับต่ำเกินไป จึงไม่มีใครสนใจสายเลือดของมัน

 

 

ไม่ว่าจะเป็นตระกูลสายเลือดบริสุทธิ์หรือผสมต่างก็ไม่ใช้สายเลือดอสูรร้าย ด้วยพวกเขาพากันเสาะหาสายเลือดอสูรกายที่แข็งแกร่งกว่า ดังนั้นแม้จะมีสายเลือดอสูรกายระดับต่ำและระดับกลางอยู่บ้างแต่ก็มีจำนวนน้อยนัก

 

 

ซูเฉินจึงพบแต่ผู้ที่มีสายเลือดอสูรกายระดับสูงครั้งแล้วครั้งเล่าในสนามสอบ และนอกจากเขาแล้ว คนอื่น ๆ ต่างก็มาจากตระกูลสายเลือดชั้นสูงกันเสียส่วนมาก

 

 

ตามปกติแล้ว สายเลือดเจ้าอสูรระดับต่ำถึงระดับกลางจะอยู่เหนือกว่าสายเลือดอสูรกายระดับสูง

 

 

เหนือไปกว่านั้นคือสายเลือดราชันอสูร

 

 

ตระกูลสายเลือดราชันอสูรนับได้ว่าเป็นหนึ่งในหมู่ตระกูลชั้นสูง ได้รับความเคารพยกย่อง ฐานะไม่ธรรมดา จนถึงตอนนี้ซูเฉินยังไม่เคยพบตระกูลเช่นนี้มาก่อน แต่ก็พอจะนึกภาพออกว่าคนที่มีสายเลือดสูงส่งเช่นนั้น อย่างน้อย ๆ ก็คงจะแข็งแกร่งพอกับจีหานเยี่ยน

 

 

ราชันอสูรนั้นเป็นผู้บัญชาการ เป็นเจ้าเหนือเผ่าสัตว์อสูร และตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันก็มีบันทึกราชันอสูรเอาไว้ทั้งหมด 1,342 ตน ซึ่งสายเลือดของพวกมันล้วนถูกสกัดออกมาตั้งแต่ครั้งที่อาณาจักรอาร์คาน่ายังรุ่งเรือง หากแต่สายเลือดที่สกัดออกมาได้นั้นมีเพียง 312 เท่านั้น

 

 

หลังจากเวลาหมื่นปีผ่านไป สายเลือดจักรพรรดิอสูรก็เหลือเพียง 108 สายเลือดเท่านั้น ที่เหลือนั้นถูกทำลายย่อยยับไปในสนามรบจนสิ้น

 

 

ตระกูลจูคือตระกูลผู้เหลือรอดเหล่านั้น

 

 

ซูเฉินไม่คิดว่าตนจะได้พบกับสายเลือดจักรพรรดิอสูร ย่อมไม่คิดว่าจะได้พบตระกูลราชันอสูรเช่นกัน

 

 

แน่นอนว่าชีวิตจริงนั้นไม่เป็นเช่นการเล่นสนุก ศัตรูย่อมไม่ดาหน้ากันเข้ามาทีละคนตามลำดับแน่

 

 

“ถูกต้อง สันเขานอนตระกูลจู หรือรู้จักกันในนาม จิ้งจอกร้อยเล่ห์ตระกูลจู มาจากจิ้งจอกร้อยเล่ห์ที่มีสายเลือดจักรพรรดิอสูร จิ้งจอกร้อยเล่ห์ตระกูลจูคือจิ้งจอกอสูรเจ้าเล่ห์ที่เชี่ยวชาญด้านการสะกดใจคนและชื่นชอบการหยอกเอินจิตใจคนเล่น”

 

 

“วิชาสะกดจิตของตระกูลนี้มีพลังสูงส่ง ไม่เหมือนกับวิชาคุมจิตของจินหลิงเอ้อร์ที่มีข้อจำกัดมากมาย ใช้รังแกได้เพียงคนที่มีจิตใจอ่อนแอ วิชาสะกดจิตของสายเลือดจิ้งจอกร้อยเล่ห์จักรพรรดิอสูรนั้นเมื่อใช้มีโอกาสสำเร็จสูงกว่ามาก”

 

 

“แข็งแกร่งถึงขั้นนั้นเลยหรือ ? เช่นนั้นก็ไม่มีใครโค่นล้มได้เลยกระมัง ?”

 

 

“ใต้หล้านี้ไร้สิ่งใดอยู่ยงคงกระพัน แม้วิชาสะกดจิตของสายเลือดจิ้งจอกร้อยเล่ห์จะทรงพลังแต่ก็มีข้อจำกัด ใช้เวลาในการเตรียมตัวนาน ดังนั้นจึงไม่อาจใช้ในการต่อสู้ที่เปลี่ยนแปลงฉับไวได้ อีกทั้งวิชาสะกดจิตมักใช้ในการลอบโจมตี ดังนั้นหากมองมุมนี้ก็นับว่าด้อยกว่าวิชาของตระกูลผีเสื้อลวงที่สามารถใช้ในการต่อสู้ได้”

 

 

“สองคือเป็นวิชาที่ต้องนับลำดับขั้นในการบ่มเพาะพลัง หากใช้วิชาสะกดจิตกับคนที่มีพื้นฐานการบ่มเพาะพลังสูงกว่าตนก็อาจล้มเหลว ทั้งยังถูกวิชาตีกลับได้”

 

 

“สามคือมีเพียงสตรีเลือดบริสุทธิ์ในตระกูลเท่านั้นที่จะสามารถใช้วิชานี้ได้ ทั้งยังใช้ได้กับบุรุษเท่านั้น ดังนั้นคนฐานะสูงในตระกูลนี้จึงเป็นสตรีทั้งสิ้น ส่วนบุรุษเป็นเพียงลูกน้อง สายเลือดนี้ให้ความสำคัญกับสตรีสูงกว่า อีกฝ่ายจงใจดึงเจ้าเข้าตระกูล ให้เจ้าสามารถแต่งสตรีจากในตระกูลได้…… จะบอกว่าอีกฝ่ายไร้ความจริงใจหรือจริงใจจนเกินไปดีเล่า ?”

 

 

ฉือไคฮวงพูดแล้วก็หัวเราะ

 

 

“ศัตรูอยู่ประตูหน้าเช่นนี้ ท่านยังมีใจขบขันอีกหรืออาจารย์ ?” ซูเฉินเอ่ยถามเสียงแห้ง

 

 

ฉือไคฮวงตอบเสียงสงบ “เจ้าเตรียมใจพร้อมรับผลลัพธ์เช่นนี้ไว้ตั้งแต่ที่เป็นศิษย์ข้าแล้วไม่ใช่หรือ ?”

 

 

“ถึงท่านจะเคยกล่าวเช่นนั้น แต่เห็นอาจารย์ไร้กังวลเช่นนี้ข้าก็ว่ามากเกินควร” ซูเฉินพึมพำ “มิน่าท่านถึงบอกให้ข้าจัดการกับตำราเปิดพลังไคฮวงเอง ตอนนี้ข้าจึงเป็นคนที่เจอปัญหา ส่วนท่านไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง”

 

 

“เจ้าไม่พอใจหรือไร ?” ฉือไคฮวงกล่าวหยอกแล้วหัวเราะ

 

 

“ข้าจะกล้าได้อย่างไร” ซูเฉินกลอกตาใส่เขา

 

 

ทั้งสองคนเป็นอาจารย์ศิษย์มา 3 ปี ความสัมพันธ์ไม่ธรรมดา สามารถสนทนาได้อย่างไร้สิ่งปิดบัง แน่นอนว่าฉือไคฮวงเป็นห่วงซูเฉิน หากแต่เด็กหนุ่มเองก็ได้เตรียมพร้อมกับสถานการณ์เช่นนี้มาตั้งแต่เลือกที่จะเดินเส้นทางนี้แล้ว

 

 

หากเตรียมตัวมานานหลายปีแต่ยังกังวลเกรงกลัวอยู่เช่นนี้ ตัวเขาคงผิดปกติแล้ว

 

 

อีกทั้งฉือไคฮวงไม่มีทางยืนมองเฉย ๆ แน่

 

 

อาจารย์กับศิษย์นั้นก็เหมือนคน ๆ เดียวกัน เรื่องที่เกี่ยวพันกับซูเฉินย่อมเกี่ยวพันกับฉือไคฮวงด้วย

 

 

หากแต่ฉือไคฮวงต้องการทดสอบศิษย์ของตน เขาจะไม่ลงมือจนกว่าซูเฉินจะรับมือไม่อยู่ ตระกูลจูนั้นก็เช่นกัน หากซูเฉินยอมตกลง อีกฝ่ายย่อมจัดการฉือไคฮวงเป็นคนต่อมา ใช้วิธีจัดการศัตรูไปทีละคน

 

 

“ใช่แล้ว อาจารย์ ท่านคิดว่าพวกเขาจะทำเช่นไรหลังจากข้าปฏิเสธไปอีกครา ? จะสังหารฆ่าเสียตรงนั้นเลยหรือไม่ ?” ซูเฉินถาม

 

 

เมื่อเผชิญหน้าเข้ากับศัตรูฝีมือสูงส่ง อย่างไรซูเฉินก็ยังต้องการคำชี้แนะจากฉือไคฮวง

 

 

ฉือไคฮวงครุ่นคิดพักหนึ่งก่อนเอ่ยตอบ “ไม่หรอก หากสังหารเจ้าไป เช่นนั้นก็ไม่อาจถอดตำราเปิดพลังไคฮวงออกจากปราสาทแดนฝันได้ ด้วยเจ้าเป็นเจ้าหน้าที่แห่งฝันขั้น 5 แม้จะตายไปแล้ว สินค้าที่ขายก็ยังขายต่อไปได้”

 

 

สันเขานอนตระกูลจูนั้นซื้อตำราเปิดพลังไคฮวงของซูเฉินมาแล้ว ดังนั้นจึงนับว่ามีวิชาในครอบครอง

 

 

ดังนั้นจุดมุ่งหมายที่มาหาเขาถึงที่นี่ไม่ใช่เพื่อตัววิชา แต่มาเพื่อยับยั้งไม่ให้วิชาถูกแพร่ออกไปต่างหาก

 

 

ซูเฉินเข้าใจ “ดังนั้นพวกเขาจำต้องเกลี้ยกล่อมให้ข้านำตำราเปิดพลังไคฮวงออก ไม่เช่นนั้นตำราเปิดพลังไคฮวงก็จะอยู่ในนั้นตลอดไปหากสังหารข้าทิ้ง… และหากต้องการปิดยังวิชานี้ก็ต้องใช้เงินจำนวนมากปิดบังประกาศไปทุกวัน หากเพียงวันสองวันคงไม่เป็นไร แต่เวลาผ่านไปต้องรับมือยากเป็นแน่ และความตายนั้น…… ไร้ที่สิ้นสุด”

 

 

“ถูกต้อง” ฉือไคฮวงพยักหน้า “เพราะฉะนั้นอีกฝ่ายไม่สังหารเจ้าแน่ แต่จะเกลี้ยกล่อมให้เจ้าล้มเลิกไปเองเสียมากกว่า แต่เจ้าก็ไม่อาจนำเรื่องนี้ไปใช้เป็นไพ่ตายได้ เช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าอีกฝ่ายจะไม่ใช้กำลังบีบเจ้า ยังมีวิชาลับที่สามารถคุมจิตคนได้อยู่ หากอีกฝ่ายคุมจิตเจ้าได้ ก็จะควบคุมให้เจ้าทำสิ่งที่ต้องการได้ ซ้ำร้ายจิ้งจอกร้อยเล่ห์ตระกูลจูยังเชี่ยวชาญวิชาเช่นนี้เสียอีก”

 

 

“ท่านจะบอกว่าพวกเขาคิดจะคุมจิตข้าโดยบังคับแล้วปลดตำราเปิดพลังไคฮวงจากแดนฝันหรือ ?”

 

 

“หากเจ้าไม่ฟังคำพวกเขา เช่นนั้นก็ถูกต้อง แต่ไม่ต้องกังวลนัก การคุมคนในแดนฝันนั้นแตกต่างจากการคุมจิตคนในโลกจริงนัก จุดต่างที่สุดคือในโลกจริงคนเราใช้ร่างจริง แต่ในแดนฝันนั้นใช้ร่างวิญญาณ หมายความว่ามีตื้นลึกหนาบางแตกต่างกันนัก ยิ่งระดับสิทธิ์เจ้าสูงขึ้นครั้งนี้เป็นเพราะขายเกราะรบเหล็กกล้า ที่ขายได้ดีเช่นนี้เป็นเพราะ……”

 

 

“เพราะเมิ่งหลาน” ซูเฉินเอ่ยขัด

 

 

หากไม่ได้ความช่วยเหลือจากเมิ่งหลาน เกราะรบเหล็กกล้าก็คงไม่ขายดีเช่นนี้ และระดับสิทธิ์ของเขาก็คงไม่ก้าวกระโดดเช่นนี้

 

 

ฉือไคฮวงกล่าว “ถูกต้อง พวกเขาน่าจะรู้ดีว่านายหญิงแห่งปราสาทไม่ชอบวิธีนี้ หากตอนนั้นเจ้าพลันตัดสินใจปลดตำราเปิดพลังไคฮวงออก นายหญิงแห่งปราสาทไม่มีทางนิ่งเฉยแน่”

 

 

“ท่านพูดถูกต้องยิ่ง”

 

 

ที่ซูเฉินได้รู้จักเมิ่งหลานก็เพราะเขาเคยขู่ว่าจะปลดตำราเปิดพลังไคฮวงออก

 

 

หากตระกูลจูคิดคุมร่างวิญญาณเขาแล้วปลดตำราเปิดพลังไคฮวงออก เมิ่งหลานจะต้องเกิดความสงสัยเป็นแน่ นางคงลงมือสืบหาข้อมูล ไม่แน่ว่าอาจลงมือแทรกแซงเองโดยตรง

 

 

“แต่ก็อาจมีวิธีเลี่ยงเช่นกัน เจ้าก็รู้ว่าหากยินยอมพร้อมจ่าย เรื่องบางอย่างก็สามารถจัดการได้” ฉือไคฮวงกล่าว

 

 

“ศิษย์เข้าใจแล้ว” ซูเฉินพยักหน้ารับ

 

 

เมิ่งหลานเต็มใจช่วยเขาเพราะนางได้ประโยชน์ ดังนั้นนางก็ย่อมถูกประโยชน์มากกว่าดึงตัวไปได้

 

 

“ดังนั้นอีกฝ่ายคงไม่ผลีผลามลงมือ แต่หากไร้ทางเกลี้ยกล่อมคงลงมือ เจ้าต้องรู้ว่าแม้ตระกูลจิ้งจอกร้อยเล่ห์เป็นตระกูลที่เชี่ยวชาญควบคุมจิต แต่ฝีมือด้านการต่อสู้ก็มีไม่น้อย ไม่ใช่ตระกูลที่เมื่อไร้วิชาคุมจิตแล้วไม่อาจต่อสู้ได้ แท้จริงแล้วสตรีในตระกูลมีหน้าที่ลวงจิต ส่วนบุรุษมีหน้าที่ต่อสู้ต่างหาก !”

 

 

“สุดท้ายที่รอข้าอยู่ก็คือหุบเหวลึกอยู่ดี” ซูเฉินถอนใจ “ช่างเป็นสถานการณ์ที่ทำให้คนสิ้นหวังได้จริง ๆ”

 

 

ฉือไคฮวงเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าบอกเจ้าตั้งแต่แรกแล้วว่าข้าต้องการศิษย์ที่สามารถมุ่งหน้าเดินต่อไปได้แม้หนทางข้างหน้าจะเต็มไปด้วยขวากหนามมากมาย ว่าอย่างไร ? ตัวเจ้ารับมือไหวหรือไม่ ?”

 

 

ซูเฉินใจลอยเล็กน้อย

 

 

คำของฉือไคฮวงดังสะท้อนในหู ราวกับอาจารย์เป็นนักทำนายก็ไม่ปาน พูดสิ่งใดเป็นจริงทุกอย่าง

 

 

และตอนนี้ถึงเวลาซูเฉินตอบกลับไปแล้ว

 

 

เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเอ่ยขึ้น “ข้าจำที่ท่านกล่าวเช่นนี้ได้ ‘ตลอดมาข้าอยากได้ศิษย์ที่จะต่อสู้เต็มที่เพื่อเอาชีวิตรอด หรือก็คือศิษย์ที่มีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวในการมุ่งหน้าต่อไปไม่ว่าจะพบกับอุปสรรคใด ๆ น่าแปลกที่ศิษย์คนที่ข้ารับมานั้นเป็นคนเจ้าเล่ห์ ถกเถียงเก่งนัก มีความสง่างาม พูดสิ่งใดชัดเจน มีความคิดเห็นเป็นของตนเอง สามารถอ่านใจข้าได้’…… อาจารย์พูดถูก ข้าไม่ใช่ศิษย์แบบที่ท่านต้องการ”

 

 

ฉือไคฮวงไม่เอ่ยคำใด ทำเพียงจ้องศิษย์ตนเองนิ่งเท่านั้น

 

 

ซูเฉินกล่าวต่อ “หากศัตรูมาหา ข้าอาจไม่กล้าหาญชาญชัยเช่นที่ท่านต้องการ ข้าจะไม่มีทางพลีชีพเยี่ยงวีรบุรุษเพื่อความฝัน ข้ามีวิธีของข้า……”

 

 

เขามองฉือไคฮวงจากนั้นหัวเราะแผ่วเบา “ข้าจะเลือกสังหารพวกมัน !”

 

 

“จะด้วยหนทางใด แผนการใด ต้องจ่ายสิ่งใดไป ข้าก็จะสู้เต็มกำลัง……”

 

 

“จะสังหารให้สิ้น !”