ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด - ตอนที่ 337 สิทธิส่งเข้าเรียน
ชายแก่มองดูท่าทางจี้เฟิงที่ถูกข้อสอบดูดกลืนพลัง จึงไม่ได้พูดอะไรต่อ ทำได้เพียงตบไหล่ของเขาราวกับเป็นการปลอบใจ พร้อมใช้น้ำเสียงของคนที่เคยผ่านมาก่อนพูดขึ้น “สู้เถิดสหายจี้! พวกข้าล้วนผ่านมาเช่นนี้ เจ้าเก่งมากแล้ว ตอนนั้นพวกข้ายังสู้เจ้าไม่ได้เลย!”
“จริงหรือ” จี้เฟิงเบิกตาโต
“แน่นอน! ข้าใช้เวลาเท่าเจ้าแต่ไม่อาจอ่านตำราได้มากเท่าเจ้า!” เขาใช้เวลาหลายเดือนถึงจะอ่านจบหนึ่งเล่ม ชายแก่พยักหน้าอย่างแรง ก่อนจะให้กำลังใจอย่างแน่วแน่ “เชื่อมั่นในตนเอง เจ้าต้องผ่านการทดสอบและได้ใบอนุญาตอย่างแน่นอน อย่าลืมสิ เจ้าเป็นเทพ!”
จี้เฟิงเกิดความมั่นใจขึ้นมาในทันใด เขามองชายแก่ด้วยความซาบซึ้ง ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “ขอบใจสหายไป๋ ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะพยายามอย่างแน่นอน!” เพื่อศักดิ์ศรีของเผ่าเทพ!
ทันใดนั้นเขาก่อเกิดความมั่นใจอย่างล้นหลาม ภายในดวงตาลุกวาวไปด้วยประกายแห่งความแน่วแน่!
อวิ๋นเจี่ยว “…”
เอ่อ นางควรบอกเขาหรือไม่ว่าอันที่จริงอยากให้เขาไปเป็นพิธีเท่านั้น คะแนนเป็นอย่างไรไม่สำคัญ อย่างไรก็ให้เขาผ่านอยู่แล้ว
สุดท้ายอวิ๋นเจี่ยวก็ไม่ได้พูดออกมา ช่างเถิด อย่าทำลายความกระตือรือร้นในการสอบของเขาจะดีกว่า
ดังนั้นทั้งสามคนจึงมุ่งหน้าเดินทางไปยังสำนักเทียนซือ เนื่องจากเพิ่งผ่านสงครามมา เมื่อเทียบกับการสอบใบอนุญาตที่เต็มไปด้วยคนในครั้งก่อนๆ ลูกศิษย์ที่มาเข้าร่วมการสอบในครานี้จึงมีน้อยลงอย่างมาก อีกทั้งยังมีบางส่วนเป็นลูกศิษย์ที่เพิ่งจบไปไม่นานนี้
อวิ๋นเจี่ยวไม่ได้ไปคุมสนามสอบ เพียงแต่ส่งมอบข้อสอบให้ชายแก่ จากนั้นเดินไปหาเหล่าเจ้าสำนักสวีเพื่อหารือเรื่องค่ายกลข้ามดินแดน ค่ายกลข้ามดินแดนแตกต่างจากค่ายกลอื่น เพราะไม่ได้มีปัญหาเพียงระยะห่างระหว่างสองโลก แต่ยังเกี่ยวข้องกับการเชื่อมต่อของทั้งสองโลก ถือเป็นค่ายกลที่ยากที่สุดตั้งแต่อวิ๋นเจี่ยวทะลุข้ามมิติมา
ภายในใจของนางมีความคิดหนึ่ง เดิมทีการก้าวข้ามดินแดนต้องทะลุผ่านผนึกของดินแดน เหมือนดั่งประตูผีในยมโลก เพียงแค่ก้าวผ่านประตูนี้ก็จะสามารถก้าวข้ามดินแดนได้ แต่ดินแดนสวรรค์แตกต่างจากยมโลก ผนึกจากดินแดนสวรรค์ข้ามมายังดินแดนมนุษย์ก้าวข้ามผ่านได้ยากกว่ายมโลกอย่างมาก แม้แต่เซียนในดินแดนสวรรค์ก็ต้องมีกำลังถึงระดับหนึ่งถึงจะข้ามมาได้
ปัญหายากของอวิ๋นเจี่ยวในตอนนี้คือ จะเชื่อมต่อค่ายกลทำลายผนึกและค่ายกลขนส่งได้อย่างไรถึงจะทำให้โลกบนโลกล่างเชื่อมต่อกันอย่างไร้อุปสรรค ภายในมีส่วนเกี่ยวข้องกับความรู้ที่นางไม่เคยสัมผัสมาก่อน เวลานี้นางเข้าใจได้เพียงบางส่วน แต่หากต้องการให้สมบูรณ์ยังคงต้องใช้เวลา ด้วยเหตุนี้ทำให้นางคิดถึงหมีโคอาลาบางตัวขึ้นมา ตอนนั้นไม่ว่านางจะมีปัญหาอะไรล้วนสามารถหาคำตอบได้จากอาจารย์ปู่ แต่ตอนนี้นางต้องหาคำตอบด้วยตัวเอง
นางหารือเรื่องค่ายกลกับเหล่าท่านอาวุโสหนึ่งวัน ก่อนจะเดินทางกลับชิงหยาง เมื่อมาถึงนางเงยหน้าขึ้นมองยอดเจดีย์ด้วยความเคยชิน ทันใดนั้นมีความรู้สึกเร่งรัดขึ้นมา ค่ายกลข้ามดินแดนสำคัญมาก ไม่เพียงแต่เพื่อการเชื่อมต่อระหว่างสามโลก แต่สิ่งสำคัญคือนางต้องการค่ายกลนี้
อวิ๋นเจี่ยวกลับมาถึงชิงหยางได้ไม่นาน ข้อสอบการสอบใบอนุญาตก็ถูกส่งมา หลายปีมานี้ ข้อสอบใบอนุญาตและการตรวจล้วนเป็นนาง ดังนั้นนางจึงไม่รีรอ
“เจ้าหนู!” เพิ่งตรวจไปได้ไม่กี่แผ่น ชายแก่ก็ลากจี้เฟิงกลับมา พร้อมมองนางอย่างคาดหวังปนตื่นเต้น
“ทำไมกลับมาอีกแล้ว” อวิ๋นเจี่ยวกวาดมองทั้งสองคน “ท่านบอกว่าจะพาจี้เฟิงไปสำนักเทียนซือไม่ใช่หรือ หาที่ไม่เจอ?” สำนักเทียนซือตอนนี้ควรมีห้องว่างจำนวนมากถึงจะถูก
เขาพยักหน้า “หาเจอแล้วๆ แต่มีเรื่องสำคัญกว่า” พูดจบเขาก็ลากจี้เฟิงเข้ามา ก่อนจะมองไปยังข้อสอบบนโต๊ะนางด้วยสีหน้าคาดหวัง “เจ้าหนู เจ้าตรวจข้อสอบของจี้เฟิงแล้วหรือไม่ ผลเป็นอย่างไรบ้าง เปิดเผยหน่อย!”
อวิ๋นเจี่ยวกวาดตามองชายแก่อย่างระอา ก่อนสงครามยังเอาแต่ก่นด่าจี้เฟิง เพิ่งผ่านไปนานแค่ไหน ทั้งสองคนก็กลายเป็นสหายคนสนิทเสียแล้ว อีกทั้งยังพาอีกฝ่ายเดินเข้าประตูหลังดูผลคะแนน นางไม่อาจเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายได้เสียจริง!
“รีบพูดเร็ว เจ้าหนู!” เมื่อเห็นนางไม่พูด ชายแก่จึงมองไปยังข้อสอบที่ตรวจแล้วบนโต๊ะอย่างรีบร้อน “จี้เฟิงคะแนนเป็นอย่างไร ผ่านหรือไม่”
อวิ๋นเจี่ยวกระตุกมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้า “ผ่านแล้ว…”
ทันทีที่พูดจบ ทั้งสองมีสีหน้าผ่อนคลายลง โดนเฉพาะจี้เฟิงที่ตั้งตัวตรงอยู่ตลอดเวลา
“ฮ่าๆๆๆ ข้าว่าแล้ว สหาย! เจ้าทำได้!” ชายแก่ตบไหล่ผอมบางของจี้เฟิงอย่างแรง ท่าทางดีใจเสียยิ่งกว่าอีกฝ่าย ก่อนจะหันไปพูดกับอวิ๋นเจี่ยว “เจ้าหนู ข้าบอกเขาเรื่องการสอนก่อน ไม่รบกวนเจ้าตรวจข้อสอบแล้ว!”
ทั้งสองคนโอบไหล่กันเดินจากไปอย่างดีใจ พลางเดินพลางพูด
“ขอบใจสหายไป๋ หากไม่มีท่านเน้นจุดสำคัญให้ข้า ข้าคงไม่ผ่านง่ายเช่นนี้”
“โอย พี่น้องกันเองเกรงใจอะไรกัน นี่เป็นความสามารถของเจ้าเอง!”
“มีใบอนุญาตนี้ ข้าสามารถออกข้อสอบให้คนอื่นได้แล้วใช่หรือไม่”
“แน่นอน! หรือไม่พวกเราไปเลือกวิชาตอนนี้ จะได้เตรียมการสอนล่วงหน้า”
“รวมถึงการออกข้อสอบที่พี่ไป๋พูดถึงหรือ”
“แน่นอน เมื่อเจ้ามีนักเรียน ข้อสอบที่ต้องออกมีมากโขเลย แทบจะทุกวิชามีการสอบ ทุกเทอมของพวกเรามีการสอบ ทุกเดือนมีการสอบ อีกทั้งยังมีสอบรายสัปดาห์ แล้วแต่ว่าเจ้าจะจัดการอย่างไร”
“เช่นนี้เอง! เช่นนั้นข้าสามารถออก…การสอบรายวันได้หรือไม่”
“สหาย…เจ้ามีความโลภมาก!”
“ฮ่าๆๆ ธรรมดาๆ เพื่อสามโลก!”
“ใช่ เพื่อสามโลก!”
อวิ๋นเจี่ยว “…”
ทำไมนางถึงรู้สึกว่าการศึกษาของเสวียนเหมินเริ่มเดินไปผิดทิศทางแล้ว
อวิ๋นเจี่ยวถอนหายใจ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก นางหยิบข้อสอบของจี้เฟิงออกมาจากกองข้อสอบที่ตรวจแล้วอย่างเงียบๆ มองไปยังตัวเลขห้าสิบเก้าที่เขียนด้วยหมึกแดงด้านบน สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเขียน “บวกหนึ่งคะแนน” ลงไปบนกระดาษข้อสอบที่มีการแก้ไขหลายครั้งด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ช่างเถิด หาอาจารย์เทพได้ไม่ง่าย อีกทั้งต่อจากนี้ก็คงมีแค่คนเดียว
…
หลายวันนี้ชาวสวนอิ้งหลุนมีความหวาดระแวงเล็กน้อย ตั้งแต่ถูกศิษย์หลานตัวน้อยล้วงความลับเรื่องคำสาปบนตัวของอาจารย์ปู่ อีกทั้งยังคาดเดาว่าคนที่ลงคำสาปคือเทพปีศาจแล้ว เขาก็หลบกลับเข้าไปยังหลังเขาไม่แม้แต่จะลงมากินข้าว พร้อมทั้งคอยจับตาดูการเคลื่อนไหวของอวิ๋นเจี่ยว จากนั้นเขาถึงพบว่าอวิ๋นเจี่ยวไม่มีทีท่าจะไปดินแดนปีศาจช่วยแก้คำสาปให้เยี่ยยวนแม้แต่น้อย
ราวกับว่านางลืมเรื่องนี้ไปแล้ว แม้แต่มาถามรายละเอียดยังไม่มี
ในขณะที่เขาวางใจ ก็อดไม่ได้ที่จะลังเลขึ้นมา เขาอดทนอยู่นานหลายเดือน ก่อนจะถามขึ้น “ศิษย์หลานตัวน้อย เจ้าไม่คิดจะช่วยให้เยี่ยยวนตื่นขึ้นมาก่อนเวลาหรือ” ตอนแรกนางร้อนใจมากไม่ใช่หรือ