ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด - ตอนที่ 351 เดินทางสู่ชั้นล่างสุด
“อา เจ้าหนู?” ชายแก่ผงะ ก่อนจะตั้งสติได้ “เกิดอะไรขึ้น”
“ไปเร็ว!” อวิ๋นเจี่ยวไม่ได้อธิบายอะไร เพียงแต่ดึงคนวิ่งหนีไป
เสียดายที่ไม่ทันการ เพียงแค่ขยับตัว นาทีถัดมาก็มาอยู่ตรงหน้าคนทั้งสอง เขายังคงหรี่ตามองคนทั้งสองด้วยความสงสัย “อยู่ในอาณาเขตของข้า พวกเจ้าไม่มีทางหนีได้พ้น”
ทันทีที่เขาพูดจบ พลังกลุ่มหนึ่งก็หลั่งไหลมาทางคนทั้งสอง ชายแก่ขาสั่นก่อนจะถูกกดหมอบลงไปบนพื้น แม้แต่อวิ๋นเจี่ยวก็รู้สึกร่างกายไม่อาจขยับได้
เฮ้ย!
ทันใดนั้นอวิ๋นเจี่ยวมีความรู้สึกอยากจะสบถออกมา พวกเขาไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันด้วยซ้ำ หากรู้เช่นนี้นางคงจะไม่ตีสัตว์ประหลาดแล้ว นางกำยันต์ขนส่งข้ามดินแดนในมือแน่น หากไม่ได้คงต้องกลับไปอย่างเดียวแล้ว
“เอ๊ะ? ประหลาดจริง พวกเจ้าไม่ใช่สิ่งมีชีวิตในดินแดนมืด!” ชายหนุ่มกวาดตามองพวกนาง ก่อนจะผงะไป “มิน่าถึงทำร้ายอูชิวได้” เขาราวกับนึกบางอย่างขึ้นได้ ดวงตาลุกวาวเป็นประกาย ก่อนจะเผยรอยยิ้มหวานออกมา “นานทีจะเจอสิ่งมีชีวิตดินแดนอื่น เสียดายที่จะกินเสียจริง ข้านำพวกเจ้าไปมอบให้นายท่านดีกว่า ท่านหลับใหลเป็นเวลานานเช่นนี้ ไม่แน่ว่าอาจตื่นขึ้นล่วงหน้าเพราะดีใจก็เป็นได้”
อวิ๋นเจี่ยวที่กำลังจะกระตุ้นยันต์ขนส่งในมือชะงักลง ก่อนจะปล่อยออกอย่างเงียบๆ นายท่าน?
“ตกลงตามนี้” ปีศาจงูพยักหน้าเอง ไม่ได้สนใจคนทั้งสองที่เคลื่อนไหวไม่ได้ ราวกับไม่กังวลว่าทั้งสองจะหนีไป เขาเลื้อยมาข้างตัวของคนทั้งสอง ทุกการเคลื่อนไหวของเขารูปร่างของเขาก็ขยายใหญ่ขึ้น ระยะทางเพียงหลายสิบก้าว ร่างของเขาก็ทอดยาวไปถึงขอบฟ้า มีขนาดใหญ่เสียยิ่งกว่าสัตว์ประหลาดยักษ์ทางนั้น
เห็นเพียงเขายกมือขึ้นทาบลงบนหัวของสัตว์ประหลาดยักษ์นั้น นาทีถัดมาแสงสีแดงก็สว่างขึ้น ร่างกายของเขาหดเล็กลง แม้แต่ร่างของสัตว์ประหลาดก็หดลงตามไปเช่นกัน ไม่ถึงชั่วครู่ ปีศาจงูก็กลายร่างเหลือเพียงขนาดเริ่มต้น ส่วนข้างขาของเขามี…แมวดำกำลังนั่งอยู่
“ชิวๆๆ…” แมวดำร้องเสียงประหลาดขึ้น ก่อนจะยกอุ้งเท้าเตรียมกระโจนเข้ามา
“เดี๋ยว อูชิว!” ปีศาจงูรั้งมันเอาไว้ “เนื้อสองชิ้นนี้มาจากดินแดนอื่น จะมอบให้นายท่าน เจ้ากินไม่ได้!”
“ชิว…” แมวดำร้องด้วยเสียงประหลาดอีกหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้กระโจนเข้ามา มันนั่งเลียเท้าของตนเองอยู่บนพื้น
“พอแล้ว กลับไปชั้นล่างกัน!” ปีศาจงูไม่ได้รีรอ หางงูรัดเข้าที่ตัวของคนทั้งสอง ก่อนจะเหาะขึ้นกลางอากาศ ลากคนทั้งสองมุ่งตรงไปยังทิศทางที่จากมา
ชายแก่ถามอวิ๋นเจี่ยวที่ถูกมัดไว้เช่นเดียวกัน “เจ้าหนู ทำอย่างไรดี”
อวิ๋นเจี่ยวหลับตาลง ตามสถานการณ์
ปีศาจงูพาทั้งสองคนลอยขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง ตามการเคลื่อนที่ของเขา บริเวณรอบด้านล้วนปกคลุมไปด้วยหมอกสีแดง จนกระทั่งครึ่งเค่อต่อมา เขาถึงหยุดอยู่กลางอากาศ ยกมือขึ้นราวกับสัมผัสกับอะไรบางอย่าง
นาทีถัดมา แสงสีขาวส่องสว่างขึ้น เห็นเพียงแต่กลางอากาศปรากฏค่ายกลซับซ้อนที่คุ้นเคย มันคือค่ายกลขนส่งที่พวกเขาพบเจอตอนอยู่ชั้นหนึ่ง ทั้งสองคนตกตะลึง มิน่าพวกเขาเดินตามหาอยู่ด้านล่างครึ่งวันก็ไม่พบค่ายกลแม้แต่น้อย ที่แท้ก็อยู่ด้านบน ใครจะไปคิดถึงกัน!
ปีศาจงูดูเหมือนจะคุ้นเคยกับค่ายกลนี้อย่างมาก เขาลอยเข้าไปใกล้ ทันใดนั้นแสงสีขาวส่องสว่างขึ้น ทิวทัศน์ตรงหน้าเปลี่ยนไปในทันที แสงสีขาวแสบตาสว่างขึ้นอย่างกะทันหันทำให้ทั้งสองคนไม่ทันตั้งตัว ราวกับมีไฟแรงสูงเปิดขึ้นอย่างกะทันหันภายใต้ความมืด
พวกนางหรี่ตาลงตามสัญชาตญาณ สักพักถึงมองเห็นทิวทัศน์รอบด้าน
ทันใดนั้นพวกนางรู้สึกเหมือนกลับสู่ดินแดนมนุษย์ ทิวทัศน์ตรงหน้าคือพื้นหญ้าเขียวชอุ่ม ด้านข้างมีป่าไม้ไผ่ใบม่วง เส้นทางระหว่างป่าไม้ไผ่นั้นปูด้วยแผ่นหินสีขาวราวกับหยก เพียงแต่แผ่นหินเหล่านั้นลอยยกสูงเหนือพื้น มุ่งหน้าสู่ทิศทางกลางอากาศ ส่วนกลางอากาศที่ไม่ไกลนัก มีตำหนักแห่งหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่
เห็นเพียงแต่บริเวณโดยรอบของตำหนักใหญ่อบอวลไปด้วยพลังสีม่วง ปีศาจงูลากคนทั้งสองเหยียบขึ้นไปบนแผ่นหินนั้นขึ้นไปยังด้านหน้าของตำหนักใหญ่ ตรงหน้าคือประตูหินขนาดใหญ่ที่ปิดสนิท ด้านบนเต็มไปด้วยค่ายกลซับซ้อนมากมาย
เดิมทีพวกนางคิดว่าปีศาจงูจะกลายร่างใหญ่ขึ้นเพื่อผลักประตูออก หรือว่าอาจจะมีวิชาเวทพิเศษบางอย่างสำหรับการเข้าไปด้านใน ใครจะไปรู้ว่าเขากลับลากทั้งสองคนมาบริเวณข้างกำแพงตำหนัก ก่อนจะชี้ลงไปยังรูขนาดกว้างหนึ่งเมตรด้านล่าง “เอาเถิด พวกเจ้าเข้าไปเอง!”
อวิ๋นเจี่ยว “…”
ชายแก่ “…”
เจ้ากำลังล้อเล่น! เขาเป็นคนจับพวกนางมา แต่ตัวเองไม่อยากเข้าไป ยังคิดจะให้พวกนางเข้าไปหาที่ตาย อีกทั้งยังคิดจะให้พวกนางคลานผ่านรูหมาผ่าน ทำไมเจ้าไม่ขึ้นฟ้ากัน
“เร็วเข้า!” เมื่อเห็นทั้งสองคนไม่ขยับ ปีศาจงูเร่งเร้าขึ้นอย่างหมดความอดทน “ข้ายังมีธุระต่อ! หากนายท่านตื่นขึ้นมาจริง พวกเจ้าอย่าลืมบอกกับนายท่านว่าข้าเป็นคนมอบให้!”
“…” เงื่อนไขที่เจ้ามีต่อเชลยสูงเกินไปหรือไม่
“ถูกมอบให้นายท่านเป็นบารมีของพวกเจ้า!” ปีศาจงูพูดด้วยท่าทางจริงจัง “วางใจเถิด รูนี้มุ่งหน้าสู่สถานที่ที่นายท่านหลับใหล พวกเจ้าไม่ถูกกินระหว่างทางแน่”
“…” ข้าขอบใจเจ้ามาก!
“เหตุใดจึงยังไม่คลานเข้าไป” เมื่อเห็นทั้งสองคนไม่ขยับ ปีศาจงูโกรธเคืองเล็กน้อย “ข้าไม่อาจอยู่ในพื้นที่ศักดิ์สิทธินาน มิเช่นนั้นจะถูกดีดออกไป วางใจเถิด ถึงแม้รูนี้จะเล็ก แต่เบียดเสียหน่อยก็เข้าไปได้ หากเข้าไปไม่ได้จริงๆ …” ปีศาจงูก้มหน้ามองทั้งสองคน ก่อนจะเลียริมฝีปาก จากนั้นกำชับด้วยสีหน้าจริงจัง “เมื่อถึงเวลาพวกเจ้าก็ถอยออกมา ข้าจะกินพวกเจ้าเอง!”
“…” น้ำเสียงสมเหตุสมผลเช่นนี้คืออะไรกัน ปีศาจในเซินยวนนี้ล้วนเสียสติ?
อวิ๋นเจี่ยวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนจะออกเสียง “นายท่านที่เจ้าพูดถึงคือผู้ใด ใช่เทพปีศาจในตำนานหรือไม่”
“นายท่านก็คือนายท่าน นายท่านแห่งเซินยวน!” ปีศาจงูมองนางด้วยสีหน้าฉงน ก่อนจะตอบกลับ “ท่านเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในเซินยวน มีคนจำนวนมากอยากพบแต่ยังไม่ได้พบ!” เขาทำหน้าราวกับพวกนางได้กำไรมหาศาล
“เขาหลับใหลนานแค่ไหนแล้ว” อวิ๋นเจี่ยวถามต่อ
“ไม่รู้ ตอนข้ากำเนิด นายท่านก็เข้าสู่ห้วงนิทราแล้ว” เขาไม่มีทีท่าปิดบังแต่อย่างใด “ได้ยินว่านายท่านมีชีวิตอยู่จนเบื่อ ดังนั้นจึงเข้าสู่ห้วงนิทรา”
“…” ช่างเป็นเหตุผลที่ยิ่งใหญ่
“อาหารอย่างเจ้าจะถามมากมายเช่นนี้ด้วยเหตุใด ยังจะเข้าไปหรือไม่” ปีศาจงูมองคนทั้งสองด้วยสายตาหมดความอดทน “หากยังไม่เข้าไปอีก ข้าจะเปลี่ยนใจกินพวกเจ้าเองแล้ว ข้ายังไม่เคยกินอาหารที่มาจากนอกดินแดนมืด!”
อาหารอวิ๋นเจี่ยว “…”
ชายแก่ที่อยู่ด้านข้างก็หันไปมองนาง “ทำอย่างไรดี”
“จะทำอย่างไรได้ คลานสิ!”
อวิ๋นเจี่ยวถอนหายใจ ก่อนจะหันไปนั่งมองรูบนกำแพงพร้อมชายแก่ ด้านในมีความลึกมากแค่ไหนไม่ทราบแน่ชัด มองไม่เห็นที่สิ้นสุดแม้แต่น้อย ทั้งสองคนลังเลเล็กน้อย ก่อนที่ชายแก่จะมุดเข้าไปก่อน อวิ๋นเจี่ยวตามอยู่ด้านหลัง