สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 401 เสี่ยวเมิ่งผู้น่าเอ็นดู
ใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงจึงจะเผาโซ่เหล็กแปดเส้นเสร็จได้หมด ทำให้เห็นถึงระดับความแข็งแกร่งของมัน
“เคร้ง…”
โซ่เหล็กเส้นสุดท้ายถูกเผาไหม้จนขาด สัตว์อสูรแห่งฝันร้ายย่ำอยู่กับที่หลายครั้งพลางส่งเสียงคล้ายฮัมเพลง หลังจากที่แน่ใจว่าตนมิได้ถูกพันธนาการแล้วจริงๆ จึงพุ่งเข้าใส่ซือหม่าโยวเย่ว์ในทันใด
“ฮี้ๆๆ” สัตว์อสูรแห่งฝันร้ายกระโจนเข้าใส่จนซือหม่าโยวเย่ว์ล้มลงไป แล้วใช้ลิ้นเลียใบหน้าเธอ
ซือหม่าโยวหลินที่อยู่ข้างๆ เห็นสัตว์อสูรแห่งฝันร้ายเลียใบหน้าเธอราวกับสุนัข ถ้าหากมิใช่เพราะมันดูไม่เหมือนสุนัขเลยสักนิด เขาก็คงอดสงสัยไม่ได้ว่าที่จริงแล้วเจ้านี่เป็นสุนัข
ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่เข้าใจว่าเจ้านี่กำลังพูดอะไร เธอลุกขึ้นนั่งแล้วเรียกหมัวซาออกมาก่อนเอ่ยถามว่า “ข้าจะทำพันธสัญญากับมันได้อย่างไร”
“จริงๆ จะใช้เคล็ดควบคุมสัตว์อสูรก็ได้ แต่พลังยุทธ์ของเจ้าต่ำเกินไป จึงไม่มีทางฝึกมันให้เชื่องได้” หมัวซาพูด
ซือหม่าโยวเย่ว์ถลึงตาใส่ แล้วเขาจะมาพูดอะไรอีกเล่า!
“เช่นนั้นจะให้มันยอมรับเป็นเจ้านายอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวหลินกล่าว
“แบบนั้นไม่คุ้มหรอก” หมัวซาพูด
“เช่นนั้นจะทำอย่างไรเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์จนคำพูด
โน่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ จะทำพันธสัญญากับสัตว์มารสักตนยังต้องวุ่นวายถึงเพียงนี้เชียว
“อย่าลืมสิว่าก่อนหน้านี้ข้าก็เป็นนักฝึกสัตว์อสูรเช่นกัน” หมัวซามองค้อนซือหม่าโยวเย่ว์ บางทีหัวสมองของเจ้าเด็กนี่ก็ใช้ไม่ได้เอาเสียเลย
“…”
ซือหม่าโยวเย่ว์ตัดสินใจปล่อยผ่านผู้ที่ระยะนี้ดูถูกเธอบ่อยเหลือเกินผู้นี้ไป
หมัวซาคุยกับสัตว์อสูรแห่งฝันร้ายเรียบร้อยแล้ว จากนั้นจึงควบรวมร่างกายแล้วเริ่มต้นฝึกมัน
คิดไม่ถึงว่าวิญญาณร่างหนึ่งอย่างเขาจะฝึกสัตว์มารให้เชื่องได้ด้วย ทั้งสองมองดูกันจนปากอ้าตาค้าง
ไม่นานนักหมัวซาก็ฝึกสัตว์อสูรแห่งฝันร้ายเสร็จ แววในดวงตากลมโตของสัตว์อสูรแห่งฝันร้ายตกอยู่ในภวังค์
“มาสิ” หมัวซาพูด
“เสร็จเรียบร้อยแล้วหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์เดินเข้าไป “ข้าต้องทำพันธสัญญากับมันอย่างไร”
“ก็เหมือนการทำพันธสัญญากับตนอื่นๆ นั่นแหละ เพียงแต่ใช้ปราณวิญญาณความมืดเท่านั้น” หมัวซาพูด
ซือหม่าโยวเย่ว์วางมือลงบนหัวของสัตว์อสูรแห่งฝันร้าย พลางโคจรปราณวิญญาณความมืดในร่างกาย เริ่มทำพันธสัญญาสัตว์อสูรแห่งฝันร้าย
ไม่นานนักพันธสัญญาระหว่างทั้งสองฝ่ายก็ถูกสร้างขึ้น รัศมีสีดำสายหนึ่งแผ่ลงมาโอบล้อมเธอและสัตว์อสูรแห่งฝันร้ายเอาไว้ ในท้ายที่สุดก็กลายเป็นอักขระสีดำสองตัวหายลับไปตรงหว่างคิ้วของทั้งคู่
“เจ้านาย” เมื่อพันธสัญญาก่อตัวขึ้น ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ได้ยินเสียงร้องเรียก
“สัตว์อสูรแห่งฝันร้ายหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ลองเรียกดู
“เจ้านาย ข้าคือเสี่ยวเมิ่ง!” สัตว์อสูรแห่งฝันร้ายพูดด้วยรอยยิ้มกว้าง “เจ้านาย ข้าจะเลื่อนระดับแล้ว”
ซือหม่าโยวเย่ว์ยังไม่รู้เรื่องการแบ่งระดับของสัตว์อสูรแห่งฝันร้าย แต่ร้ายกาจกว่าระดับเทพก็ใช้ได้แล้ว
ในตอนที่สัตว์อสูรแห่งฝันร้ายเลื่อนระดับ พลังความมืดในร่างกายซือหม่าโยวเย่ว์ก็เลื่อนระดับไปด้วย หลังจากการเลื่อนระดับสิ้นสุดลงแล้วเธอก็รู้สึกเหมือนว่าปราณวิญญาณความมืดจะมากกว่าปราณวิญญาณอื่นๆ อยู่พอสมควร น่าจะไปถึงระดับจ้าววิญญาณขั้นสุดยอดแล้ว
เสี่ยวเมิ่งกลายร่างเป็นเด็กหญิงตัวน้อยน่ารักคนหนึ่ง สวมอาภรณ์สีดำตลอดร่าง ผมยาวระดับเอว ใบหน้ากลมป้อมและดวงตากลมโตดูไร้ซึ่งพิษภัย
ซือหม่าโยวเย่ว์มองเด็กหญิงวัยสี่ห้าขวบผู้นี้พลางยื่นมือไปขยี้ใบหน้านางแล้วเอ่ยว่า “เสี่ยวเมิ่งคือตุ๊กตาเด็กหญิงตัวน้อย”
“เจ้านาย เสี่ยวเมิ่งหิวเหลือเกิน” เสี่ยวเมิ่งพูดพลางมองไปทางซือหม่าโยวเย่ว์
“เอ่อ… คนของเผ่ามารกินอะไรกันหรือ เอ๊ะ… เจ้าพูดภาษามนุษย์ได้แล้วนี่” ซือหม่าโยวเย่ว์มองแววตาน่าสงสารของเสี่ยวเมิ่งแล้วเอ่ยถาม
“พอทำพันธสัญญากับเจ้านาย ข้าก็พูดภาษาของเจ้านายได้แล้วล่ะ” เสี่ยวเมิ่งกล่าว
ซือหม่าโยวเย่ว์หันหน้ามามองหมัวซา หมัวซาเองก็คิดไม่ถึงว่าที่จริงแล้วสัตว์อสูรแห่งฝันร้ายตนนี้จะเป็นเด็กน้อยที่น่ารักถึงเพียงนี้ จึงเอ่ยว่า “เอาของพวกนั้นของเจ้าให้นางกินสักหน่อยเถิด”
“ไปกัน ข้าจะพาเจ้าไปกินของอร่อยๆ นะ” ซือหม่าโยวเย่ว์คว้ามือเสี่ยวเมิ่งขึ้นมา ก่อนจะพาคนอื่นๆ กลับเข้าไปในเจดีย์วิญญาณพร้อมกัน
เมื่อคนในเจดีย์วิญญาณเห็นเสี่ยวเมิ่งแล้วต่างไม่กล้าเชื่อว่านี่คือสัตว์มารพลังยุทธ์ระดับราชาปีศาจที่ถูกสะกดเอาไว้อย่างยาวนาน
เสี่ยวเมิ่งเห็นภายในมีผู้คนอยู่มากมาย จึงเอนซบข้างกายซือหม่าโยวเย่ว์ด้วยความหวาดกลัวอยู่บ้าง
“เสี่ยวเมิ่ง ไม่ต้องกลัวไปหรอก พวกเขาล้วนเป็นสหายและสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาของข้าทั้งสิ้น ไม่มีทางทำร้ายเจ้าอย่างแน่นอน” ซือหม่าโยวเย่ว์ตบหลังมือนางอย่างปลอบประโลม
เธอรู้สึกได้ถึงความเดียวดายและหวาดกลัวจากการถูกสะกดเอาไว้ตลอดหลายปีนี้ของเสี่ยวเมิ่งผ่านการทำพันธสัญญา ซึ่งทำให้ความดุร้ายเช่นสัตว์มารของมันหมดไป กลายเป็นความขี้ขลาดเช่นนี้
“อื้อๆ” เสี่ยวเมิ่งพยักหน้าหงึกหงักแล้วเอ่ยว่า “เจ้านายช่วยเสี่ยวเมิ่งออกมา เจ้านายต้องปกป้องเสี่ยวเมิ่งได้แน่ ส่วนเสี่ยวเมิ่งก็จะปกป้องเจ้านายเช่นกัน”
“ไป ข้าจะพาเจ้าไปกินของอร่อยเอง” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดด้วยรอยยิ้ม
“ได้เลย” เสี่ยวเมิ่งเงยหน้าพลางเอ่ยยิ้มๆ
ซือหม่าโยวเย่ว์พานางจากไป คนอื่นๆ มองเงาหลังของทั้งสองแล้วตบหน้าตัวเองก่อนจะเอ่ยว่า “นี่คือเจ้าสัตว์อสูรแห่งฝันร้ายตนนั้นจริงๆ น่ะหรือ”
“ช่างเป็นสัตว์มารที่น่ารักอะไรอย่างนี้”
“ยากจะจินตนาการได้จริงๆ”
อวิ๋นอี้นึกขึ้นมาได้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์ทำพันธสัญญากับเสี่ยวเมิ่งแล้วแต่กลับไม่เป็นไร หรือในร่างกายซือหม่าโยวเย่ว์จะมีปราณวิญญาณความมืดอยู่จริงๆ เล่า
พวกซือหม่าโยวเย่ว์จากไปนานแล้วยังไม่กลับมา พวกเขาจึงคิดจะไปดูกันว่าสัตว์มารกินอะไร เมื่อไปถึงด้านหลังห้องครัวแล้วพวกเขาก็ตกตะลึงไปในทันที
เห็นเพียงแค่ว่าซือหม่าโยวเย่ว์ยืนอยู่ด้านนอกเล้า ส่วนเสี่ยวเมิ่งอยู่ด้านใน กำลังอุ้มไก่ฟ้าตัวหนึ่งพร้อมกัดแทะมันอยู่อย่างมีความสุข
ไก่ตัวนั้นถูกถอนขนจนเกลี้ยงแล้วแต่ยังไม่ตาย มันถูกกินหมดไปครึ่งหนึ่ง ส่วนขาไก่อีกข้างนั้นเตะไปมาคล้ายกับกำลังดิ้นรนเป็นครั้งสุดท้าย
และตอนนี้ไก่ฟ้าเกือบร้อยตัวภายในเล้าเหลืออยู่เพียงแค่ไม่กี่สิบตัวเท่านั้น ขนไก่กองพะเนินเต็มพื้น
ส่วนเสี่ยวเมิ่งก็ยืนอยู่ท่ามกลางกองขนนั้น บนใบหน้าอมชมพูเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด มุมปากก็ถูกคราบโลหิตอาบย้อม ช่างชวนให้คนตกใจเป็นอย่างยิ่ง
“โยวเย่ว์ นางกินเจ้าพวกนี้ทั้งหมดเลยหรือ” ทุกคนรู้สึกว่าภาพเหตุการณ์นี้ช่างน่าคลื่นไส้ กระทบความรู้สึกมากเหลือเกิน
ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าเอ่ยว่า “ตอนนี้ถอนขนได้แล้ว แต่อีกประเดี๋ยวมันก็จะกินขนลงไปด้วย บอกไปหลายรอบแล้วก็ยังเป็นเช่นนี้อยู่ดี”
เธอพาเสี่ยวเมิ่งเข้ามา เสี่ยวเมิ่งมองไก่ฟ้าเหล่านั้นแล้วถามว่า ”เจ้านาย เจ้าพวกนี้ให้ข้ากินใช่หรือไม่”
ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า ยังไม่ทันพูดอะไร นางก็กางมือออกมาในทันใดแล้วพุ่งตัวเข้าไปในเล้า จับไก่ตัวหนึ่งได้แล้วก็เริ่มต้นกัดกิน
ไก่ตัวหนึ่งหายเกลี้ยงไปในระยะเวลาเพียงไม่นาน นางหันไปจับไก่อีกตัวหนึ่งมาแล้วคว้าคอไว้หมายจะกัด
ขณะนี้ซือหม่าโยวเย่ว์ได้สติกลับคืนมาแล้ว จึงรีบหยุดนางเอาไว้ ให้นางถอนขนก่อน หลังจากพูดไปหลายรอบแล้วนางถึงจะยอมถอนขนก่อนกินทุกครั้ง
เสี่ยวเมิ่งยืนอยู่ที่เดิม เมื่อเห็นทุกคนมองตนด้วยสีหน้าแปลกพิกลราวกับตนทำอะไรผิดมหันต์ ก็ตกตะลึงไปในทันใด
“เจ้านาย…” นางมองเจ้านายของตน
เจ้าคำรามน้อยเห็นท่าทางของนางจึงเอ่ยว่า “เจ้านี่น่ารักยิ่งกว่าข้าเสียอีก ยังดีที่เป็นหญิง ไม่อย่างนั้นข้าต้องทำร้ายนางแน่นอน”
ซือหม่าโยวเย่ว์ดีดนิ้ว กองขนไก่และเครื่องในเหล่านั้นต่างหายวับไป ภายในเล้าไก่กลับมาสะอาดดังเดิม
เธอเดินเข้าไปแล้วหยิบผ้าออกมาเช็ดคราบเลือดบนใบหน้าของเสี่ยวเมิ่งพลางถามว่า “กินอิ่มหรือยัง”
“อิ่มนิดหน่อยแล้ว” เสี่ยวเมิ่งใช้มือโชกเลือดจับเสื้อผ้าซือหม่าโยวเย่ว์เอาไว้พลางเอ่ยว่า ”เจ้านาย ข้าทำอะไรผิดไปใช่หรือไม่ สายตาของพวกเขาช่างแปลกประหลาดนัก”
เมื่อเห็นรอยเลือดบนเสื้อผ้า ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ไม่โกรธ แล้วเอ่ยว่า “ไม่มีอะไรหรอก พวกเขาก็แค่ไม่เคยเห็นวิธีการกินอาหารเช่นนี้เท่านั้นเอง”
“เช่นนั้นพวกเขากินเช่นไรกันหรือ” เสี่ยวเมิ่งกะพริบตาพลางถามอย่างใคร่รู้
……………………………………