สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 400 คู่รักใต้แสงจันทร์
ตอนที่ 400 คู่รักใต้แสงจันทร์
……….
“ตอนไปร้านหนังสือได้พบกับสือโถว คิดว่าเขาเหมือนกับคนที่ข้ารู้จักอยู่บ้าง…”
ผู้จัดการร้านหูตื่นเต้นขึ้นทันที “คนรู้จักของท่านท่านนั้นตอนนี้อยู่ที่ใด ไม่แน่ว่าอาจเป็นสามีที่มารดาสือโถวตามหาอย่างยากลำบากผู้นั้น!”
ซุนเหยียนปวดใจหนักหน่วง แต่สีหน้ายังคงสงบนิ่งไม่เผยพิรุธแม้แต่น้อย “เป็นสหายข้าหลายปีก่อน ต่อมาก็ไม่รู้ไปที่ใดแล้ว ข้าจะส่งคนไปตามหา ผู้จัดการร้านอย่าเพิ่งเอ่ยกับสือโถวแม่ลูก พวกเขาจะได้ไม่คาดหวังแล้วก็ผิดหวัง”
ยามนี้ซุนเหยียนกลับรู้สึกโชคดีที่สือโถวหน้าตาเหมือนชุ่ยเหนียงทำให้เขามองออกทันทีที่เห็น ไม่ถูกคนสงสัยว่าเขามีสายสัมพันธ์กับสือโถว
ผู้จัดการร้านหูถอนหายใจ “หาไม่พบก็ไม่ควรเอ่ยถึง หลายปีมานี้มารดาสือโถวได้ยินคนบอกว่าเห็นคนเหมือนสามีนาง ก็จะวิ่งไปหาแต่ก็ไม่ใช่ ตอนกลับมาก็เสียใจอยู่หลายวัน…”
ซุนเหยียนได้ยินก็เสียใจมาก กลับเข้าวังด้วยอารมณ์ตกต่ำสุดขีด
ผ่านไปอีกสองสามวัน เขาก็ทูลรายงานต่อฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ “ฉางเล่อโหวไปอ่านหนังสือที่ร้านหนังสือชิงซงอยู่ตลอด ตามที่บ่าวสอบถามมาในหลายวันนี้ ตอนนั้นฉางเล่อโหวน่าจะไม่รู้สถานะขององค์หญิงอาโย่ว…”
ซุนเหยียนกล่าวเช่นนี้ก็เท่ากับมัดรวมตนเองไว้กับเฮ่อชิงเซียวแล้ว วันหน้าเกิดตรวจสอบว่ามิใช่เช่นนี้ จะต้องไม่รอดเป็นแน่ แต่ซินโย่วมีบุญคุณต่อเขา ภรรยาและบุตรชายยังอยู่กับซินโย่ว ไม่ว่าเพราะคุณธรรมในใจหรือเพราะเรื่องใด ก็ได้แต่ทำเช่นนี้
การที่ซุนเหยียนทำเช่นนี้ก็หมายความว่าวันหน้าหากมีคนสืบเรื่องนี้อีก เขาก็จะต้องรีบขัดขวาง
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ไม่คิดว่าซุนเหยียนจะปกป้องเฮ่อชิงเซียว ควรรู้ว่าก่อนนี้ซุนเหยียนเคยขัดขากับเฮ่อชิงเซียว ตอนนี้ได้ยินก็ย่อมมิสงสัย “นับว่าเขายังจดจำสถานะเจิ้นฝูสื่อกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินได้”
ซุนเหยียนลอบถอนหายใจ รู้ว่าเรื่องนี้นับว่าผ่านไปได้แล้ว ไว้หาโอกาสแจ้งกับซินโย่ว
ซินโย่วจึงได้วางใจลงได้
จากนี้ก็สงบเงียบไร้คลื่นลม ไม่ได้พบกับเฮ่อชิงเซียวอีก เข้าสู่เทศกาลฤดูใบไม้ร่วงแล้ว
เทศกาลฤดูใบไม้ร่วง ในวังจัดงานเลี้ยงอีกแล้ว ซินโย่วปฏิเสธได้อย่างไม่รู้สึกอันใด ตกค่ำก็ถือโคมไฟออกจากบ้าน ค่อยๆ เดินเล่นไปเรื่อย เดินไปยังสะพานหมิงเยวี่ยที่ไม่ไกลจากบ้านนัก
นางพบเฮ่อชิงเซียวบนสะพานโดยบังเอิญ
บนสะพานมีคนเดินไปมา สายลมพัดอ่อน แสงจันทร์กระจ่าง ทุกอย่างล้วนเป็นภาพฉากหลัง มีเพียงสาวน้อยถือโคมไฟเป็นภาพทิวทัศน์ที่งดงามที่สุดในสายตาของเฮ่อชิงเซียว
ทั้งสองสบตากันครู่หนึ่ง ซินโย่วเดินเข้ามา “ใต้เท้าเฮ่อ บังเอิญจริง”
เฮ่อชิงเซียวไม่ได้ถือโคมไฟ สองมือว่างเปล่า แววตาเต็มเปี่ยมด้วยความตื่นเต้นดีใจ “บังเอิญจริง คุณหนูซินวันหน้าเรียกชื่อข้าก็พอ ไม่ต้องเรียกข้าว่าใต้เท้าเฮ่อแล้ว”
ไม่มีตำแหน่งเป่ยเจิ้นฝูสื่อกองกำลังองครักษ์จิ่นหลิน เขาก็คือฉางเล่อโหวเฮ่อชิงเซียว ถึงกับไม่ได้รู้สึกกับตำแหน่งฉางเล่อโหวมากมายเท่าไร มักคิดมาตลอดว่านี่คือของที่มิใช่ของของเขาแท้จริง
ที่เป็นของของเขาแท้จริง มีเพียงชื่อที่บิดามารดาตั้งให้เขา
ซินโย่วเงียบงันไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า “เช่นนั้นก็ดี วันหน้าข้าก็เรียกท่านว่าเฮ่อชิงเซียว”
ใบหน้าชายหนุ่มใต้แสงจันทร์ยามค่ำคืนเผยรอยยิ้มบาง
“พวกเราไปทางนั้นกันเถอะ ยืนบนสะพานสะดุดตาเกินไป” ซินโย่วชี้ไปทางเขื่อน
ริมเขื่อนมีต้นหยางหลิ่วปลูกเรียงราย ยามนี้ใบกลายเป็นสีเหลือง ปลิวร่วงหล่นยามสายลมพัด
คนข้ามสะพานไม่น้อย สาวน้อยที่เยื้องย่างไปตามเขื่อนยาวที่แสงสว่างน้อยนิด เป็นสถานที่เหมาะแก่การนัดพบพูดคุย
ทั้งสองเดินเคียงกันมาช้าๆ โคมไฟในมือซินโย่วส่องแสงวับแวมส่องเส้นทางข้างหน้าได้ไม่ไกลนัก
“เฮ่อชิงเซียว บาดแผลท่านหายดีแล้วหรือ” ซินโย่วเรียกชื่อเขาเช่นนี้ ใบหน้าก็ร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
บางทีเรียกท่านโหวเหมาะสมกว่าสักหน่อย?
“หายดีนานแล้ว” เสียงเฮ่อชิงเซียวในค่ำคืนจันทร์เต็มดวงนี้ไม่เหมือนดังปกติ คล้ายดังลังเลไม่แน่ใจ
ซินโย่วฟังออก เอ่ยเบาๆ “วันนั้นข้าไม่ได้มอง ท่านวางใจ”
นางหมายถึงวันที่โดนโทษโบยวันนั้น ไม่ได้มองสภาพอนาถของเฮ่อชิงเซียวยามถูกถอดกางเกงโบย
“ข้ารู้” เสียงชายหนุ่มเบาหวิวยิ่งกว่าเดิม
เขารู้ว่านางใส่ใจศักดิ์ศรีของเขา นอกจากความรู้สึกขอบคุณแล้ว ก็มีแต่ความรู้สึกจนปัญญาไร้หนทาง
ดำรงชีวิตอยู่ใกล้ชิดฮ่องเต้ ไหนเลยจะมีศักดิ์ศรีใดให้เอื้อนเอ่ย พวกเขาไม่อาจตัดสินชะตาชีวิตตนเองได้
ซินโย่วหลุบตาลงจ้องมองเงาของทั้งสอง บางครั้งก็ทับซ้อนกัน บางครั้งก็แยกจากกัน
“เขารู้…” นางเอ่ยปากแต่กลับยากเอ่ยต่อ
นางกับเฮ่อชิงเซียวรู้ความในใจกันและกันอย่างมิต้องเอื้อนเอ่ย แต่กลับไม่อาจแสดงออกชัดเจนยามสติกระจ่างชัดได้
เฮ่อชิงเซียวกลับไม่เหมือนยามปกติ ถามขึ้นตรงไปตรงมาว่า “ฝ่าบาทรู้ว่าข้ามีใจปฏิพัทธ์ต่อคุณหนูซินแล้วหรือ”
ซินโย่วชะงักฝีเท้าทันที เหลือบสายตาขึ้นมองเขา
ท่ามกลางแสงค่ำคืน แววตาเขาอ่อนโยนดังหยกสีนิลที่เต็มไปด้วยความรู้สึกในใจไม่อาจปิดบัง
“เฮ่อชิงเซียว…”
เฮ่อชิงเซียวใบหูแดง เอ่ยอย่างรู้สึกผิดขึ้นมาเบาๆ “เช่นนั้นฝ่าบาทต้องส่งคนไปตรวจสอบคุณหนูซิน หรือเรื่องของคุณหนูโค่ว ข้าทำให้คุณหนูยุ่งยากแล้ว…”
แต่มาถึงตอนนี้เขายังคงอยู่สบายไร้กังวล ต้องเป็นเพราะอาโย่วออกแรงช่วย
“ไม่ยุ่งยาก” โคมไฟในมือซินโย่วค่อยๆ ลงต่ำ เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย “ตอนข้ายังเป็นคุณหนูโค่ว ท่านช่วยข้าไว้หลายครั้ง คิดว่าเป็นเรื่องยุ่งยากหรือไม่”
“ย่อมไม่” เฮ่อชิงเซียวหลุดเอ่ยออกมา
“ดังนั้นท่านก็อย่าได้รู้สึกผิด ข้าเองก็ไม่” ซินโย่วชะงักไปครู่หนึ่ง ครั้งแรกที่ได้เปิดเผยความรู้สึกตนเองอย่างกระจ่างชัดเช่นนี้ “เฮ่อชิงเซียว ข้าดีใจมากที่ได้พบกับท่าน”
พวกเขาเดินไปถึงข้างต้นหลิ่วลำต้นใหญ่หนาต้นหนึ่งพอดี โคมไฟเคลื่อนลงต่ำสาดสะท้อนใบหน้า แต่ก็เป็นใบหน้าเลือนรางของทั้งสองคนเท่านั้น
ค่ำคืนสลัวในเทศกาลฤดูใบไม้ร่วงนี้ มักจะทำให้คนใจกล้ามากขึ้นกว่าปกติได้ง่าย เฮ่อชิงเซียวมองดูแววตาส่องประกายของสาวน้อยตรงหน้า สติสัมปชัญญะถูกคำพูดนางทำลายหมดสิ้น
เขาโน้มกายลงใกล้ ร่างสูงใหญ่บดบังร่างนางไว้ จุมพิตริมฝีปากนาง
แม้พวกเขาดำรงสติสัมปชัญญะได้ดีมาก แต่ก็อยู่ในวัยหนุ่มสาว อารมณ์ความรู้สึกอาจถูกเก็บกดเอาไว้ในใจได้ แต่ไม่อาจถูกเก็บกดไว้ได้ตลอดไป
มีความในใจไม่อาจนิทรา ปวดร้าวใจในค่ำคืนนับไม่ถ้วน ยามนี้ได้ระบายออกมา ทั้งสองจุมพิตกันยิ่งร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ
โคมไฟด้านล่างส่ายไปมา ไม่รู้ว่าร่วงหล่นลงพื้นไปเมื่อใด เปลวไฟกะพริบวาบก่อนจะดับมอดลง
ที่นี่มืดลงกว่าเดิม
แผ่นหลังซินโย่วแนบกับลำต้นไม้แข็งกระด้าง สองมือไม่รู้จักวางไว้ที่ใด ได้แต่โอบเอวของเฮ่อชิงเซียวเอาไว้
เฮ่อชิงเซียวเดิมร่างสูงโปร่งบาง ระยะนี้ผอมลงไม่น้อย เอวสอบดังหนุ่มน้อยวัยเยาว์
ซินโย่วคว้าเอาไว้แน่นยิ่งขึ้น แหงนเงยศีรษะให้เขาค้นหาตามอำเภอใจ
นางได้ยินเสียงหอบหายใจหนักหน่วงของตนเองดังขึ้นเรื่อยๆ และได้ยินเสียงทั้งหมดของเขา คล้ายดังเป็นความฝันมิใช่เรื่องจริง เป็นหมอกหนาท่ามกลางป่าเขา เป็นเมฆบนท้องฟ้าที่ไม่เคลื่อนคล้อย นางได้ยิน ได้สัมผัส แต่กลับเป็นเพียงความว่างเปล่า
ร่างกายนางพลันรู้สึกว่างเปล่า สติทำให้ส่งเสียงครางออกมาเบาๆ
เสียงครางเบาๆ นี้ดึงสติของชายหนุ่มกลับคืนมา สองขาของนางไม่นานก็แตะพื้น กำลังแขนที่โอบกอดนางไว้ถูกถอนกลับคืน จุมพิตดังเปลวไฟแผดเผาหายวับไป
เฮ่อชิงเซียวหลับตาลง ไม่กล้าหวนรำลึกถึงสิ่งที่กระทำลงไปเมื่อครู่
เขาควรตายจริง รู้อยู่ว่าไม่อาจเป็นสามีภรรยากับอาโย่ว ก็ยังเข้าใกล้นางอีก ล่วงเกินนางและถึงกับไม่อาจระงับตนเองไม่ให้โอบกอดนาง
ดวงจันทร์โผล่พ้นเมฆา แสงจันทร์สาดส่องผืนปฐพี
เสียงสาวน้อยดังขึ้นชิดใบหู “เฮ่อชิงเซียว ท่านนึกเสียใจภายหลังแล้วหรือ”