ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 310 ชอบพอ
ดวงหน้าของอวี้ถังร้อนไหม้ หัวใจพองโตเต็มอก เสียงที่เอ่ยออกไปจึงหวานดั่งน้ำตาลข้น “ไปเลือกเรือนที่สกุลท่าน? ข้าจะไปฉลองวันตวนอู่กับครอบครัวข้าต่างหาก!”
เผยเยี่ยนมองผิวขาวดั่งหิมะของนางค่อยๆ ย้อมด้วยสีแดง ดั่งกระดาษขาวที่ถูกแต่งแต้มเติมสี และคนที่ระบายสีลงไปยังเป็นตัวเขาเองด้วย วินาทีนั้น เขาเหมือนคนที่ถูกมอมเมาด้วยเหล้าเกาเหลียง[1]
เขาไม่อาจเอ่ยความเต็มตื้นในใจออกมาได้ จึงขยับเข้าไปกระซิบข้างหูนางอย่างอดใจไม่อยู่ “มาฉลองวันตวนอู่ที่เรือนข้า! ข้าจะไปชมแข่งเรือมังกรเป็นเพื่อนเจ้าเอง”
จะขยับมาใกล้ขนาดนี้ทำไม?
อวี้ถังได้กลิ่นหอมไม้จันทน์บางๆ ลอยมาจากร่างของเผยเยี่ยน
ดวงหน้าของนางเห่อแดงกว่าเก่า ตอบตะกุกตะกักไปว่า “เช่นนั้นต้องให้มารดาข้าอนุญาตก่อน!”
ก็หมายความว่า อวี้ถังตกลงแล้วน่ะสิ
เผยเยี่ยนรู้สึกพออกพอใจนัก
อวี้ถังจะต้องชอบเขาเหมือนกันแน่ ไม่อย่างนั้นนางคงไม่ตอบเช่นนี้
“เจ้าวางใจเถอะ เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง” เขาเหมือนนกยูงลำแพนหาง ตบอกรับประกันกับนางว่า “เจ้าแค่คิดว่าวันตวนอู่จะใส่ชุดอะไรก็พอแล้ว” พูดถึงตรงนี้ เขาก็คิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “อีกสองวันข้าจะให้คนที่หอเครื่องเงินไปทำเครื่องประดับให้เจ้า”
นางกลายเป็นคนแบบไหนไปแล้ว?
“ข้าไม่ต้องการ!” อวี้ถังปฏิเสธโดยไม่ลังเล “ข้ามีเครื่องประดับชุดใหม่ เสื้อผ้าก็ตัดใหม่เหมือนกัน”
แน่นอนว่าฝีมือคงเทียบชั้นกับช่างที่เขาหามาไม่ได้
เผยเยี่ยนคิดจะดึงดัน แต่อวี้ถังดีดตัวลุกยืนแล้วเดินไปใต้ต้นไม้ ใช้มือโบกพัดใส่แก้มไปมา “ร้อนจริงๆ เลย”
เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะหน้าแดงๆ นั่นหรือแสงอาทิตย์ร้อนแรงเกินไปกันแน่
ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด เผยเยี่ยนก็หันไปมองอาหมิงอย่างไม่พอใจทีหนึ่ง รู้สึกว่าอาหมิงเด็กคนนี้ยังหัวไวไม่พอ หากรับใช้อยู่ในห้องหนังสือนับว่ายอดเยี่ยม แต่พาออกมาด้านนอกกลับไม่สะดวกเท่าไร หูซิ่งดูจะเข้าท่ากว่า แต่ตอนที่เขาออกมากับอวี้ถัง เขาไม่อยากพาหูซิ่งมาด้วย
คงต้องเพิ่มเด็กรับใช้ใหม่อีกคนแล้ว
เผยเยี่ยนครุ่นคิด พลางเห็นเด็กรับใช้ที่ถือเบ็ดตกปลาให้อวี้ถังอยู่ไม่รู้ไปหาพัดใบลานมาจากไหน ยืนอยู่บนขั้นบันไดแล้วโบกพัดมาทางพวกเขาอย่างสุดแรง
เขามองเด็กรับใช้คนนั้นอย่างชื่นชมทีหนึ่ง พลางจดจำหน้าตาของเขาไว้ แล้วรับพัดใบลานมาถือไว้เอง ทางหนึ่งคอยโบกพัดให้อวี้ถัง ทางหนึ่งก็เอ่ยว่า “เช่นนั้นตอนวันตวนอู่เจ้ายังอยากไปที่ไหนอีกหรือไม่? แข่งเรือมังกรคาดว่าต้องรอถึงยามเซินจึงรู้ผลแพ้ชนะ พอเริ่มแข่งแล้วข้าไปเดินเล่นเป็นเพื่อนเจ้าได้ หอเสาซีวันนั้นคงมีคนน้อย เจ้าอยากไปเที่ยวเล่นหรือไม่? รอให้ถึงรอบสุดท้ายพวกเราค่อยไปดูว่าใครชนะก็ยังไม่สาย”
หอเสาซีเป็นศาลาริมน้ำที่สกุลเผยบริจาคให้ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเสาซี กินพื้นที่สิบกว่าหมู่ สร้างเลียนแบบสถานศึกษาของหังโจว เป็นสถานที่ที่เหล่าบัณฑิตในเมืองหลินอันชอบไปสังสรรค์รวมตัวกันที่สุด โดยเฉพาะทุกวันที่หนึ่งกับสิบห้า คนจะไปเที่ยวเล่นเยอะเป็นพิเศษ
ตอนอวี้ถังยังเล็กก็เคยติดตามอวี้เหวินไปเล่นที่นั่นหลายครั้ง แต่หลังจากวันเกิดเจ็ดขวบ นางก็ไม่เคยไปอีกเลย
ห้องโถงของหอเสาซีกว้างขวางโอ่อ่า ต้นไม้สูงใหญ่ขึ้นอยู่หนาแน่น ลำธารสายน้อยมีน้ำไหลเอื่อย ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นภาพทรงจำที่อวี้ถังหลงเหลืออยู่
นางเริ่มหวั่นไหวแล้ว
เผยเยี่ยนหลอกล่อนางต่อว่า “ใครๆ ก็ชอบไปเล่นที่หอเสาซีทั้งนั้น ความจริงด้านหลังของหอเสาซียังมีสวนอยู่อีกแห่ง ด้านในไม่เพียงเต็มไปด้วยดอกไม้ ยังมีหอตำราอีก ข้างหอคัมภีร์เป็นศาลาเหมันต์ ก่อนข้าจะเข้ารับราชการ บางครั้งถ้ามีสหายมาจากหังโจว ข้าก็มักพาพวกเขาไปเดินเล่นที่นั่น ทั้งสามารถไปย่างเนื้อกินได้ด้วย พวกเราถึงเวลานั้นก็ไปกินข้าวเที่ยงที่โน่นเลย เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
อวี้ถังอยากไปมาก
เผยเยี่ยนจึงตัดสินใจเสร็จสรรพว่า “เช่นนี้ก็ตกลงตามนี้ ถึงตอนนั้นข้าจะให้ชิงหยวนไปเป็นเพื่อนเจ้าด้วย”
ต้องคิดหาทางให้สถานที่แห่งนั้นปลอดคน เพราะถ้ามีคนมาเห็นเข้า อาจเสื่อมเสียมาถึงชื่อเสียงของอวี้ถังได้
เรื่องนี้มอบให้เป็นหน้าที่ของหูซิ่งก็ได้
แต่วันนั้นเป็นวันตวนอู่ ข้างกายมารดาเขาจำเป็นต้องมีคนคอยรับใช้
อย่างนั้นส่งผู้ดูแลไปก็แล้วกัน
จากนั้นเผยเยี่ยนก็พบว่า ข้างกายอวี้ถังไม่มีคนให้ใช้งานได้เลย
แต่ในเมื่อมารดารับปากแล้วว่าจะทำให้อวี้ถังคุ้นเคยกับเรื่องต่างๆ ในสกุล นางคงไม่ลืมเรื่องเล็กน้อยแบบนี้แน่
สมองของเขาหมุนแล่นอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เริ่มหยั่งเชิงว่าอวี้ถังชอบอะไรบ้าง
อวี้ถังไม่ได้ต่อต้านเผยเยี่ยน บวกกับนางเองก็ชอบคุยกับเผยเยี่ยนอยู่แล้ว สองคนสนทนากันไม่รู้กี่เรื่องต่อกี่เรื่อง จนลืมเรื่องตกปลาไปเสียสนิท
ทางอารามดับทุกข์ ท่านผู้เฒ่าสกุลเผยที่วางแผนจะกินมื้อเย็นที่อารามแล้วค่อยกลับคฤหาสน์ได้ยินว่าเผยเยี่ยนพาอวี้ถังไปตกปลา นางก็อ้าปากค้างอยู่ค่อนวัน ก่อนถามเฉินต้าเหนียงว่า “ข้าไม่ได้ฟังผิดใช่ไหม? คนอย่างเขา ยังรู้จักพาคนสกุลอวี้ไปตกปลา?”
“จริงเจ้าค่ะ!” เฉินต้าเหนียงมีแต่ความปลาบปลื้มกระจายทั่วหน้า “ไม่เพียงไปตกปลานะเจ้าคะ สองคนยังเอาแต่คุยกันไม่หยุด คนก็ยืนอยู่ตรงขั้นบันไดข้างศาลาเหมันต์ พระอาทิตย์จนส่องหน้าแล้วก็ยังไม่ยอมย้ายที่”
ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยหัวร่อดังลั่น คิดถึงตอนที่เผยเยี่ยนยังเล็ก นางกับท่านผู้เฒ่าพาเขาไปกินอาหารเจที่วัดเจาหมิง เพราะนางใช้เวลาคุยกับท่านผู้เฒ่านานไปหน่อย เขายังตีหน้ารำคาญเต็มแก่ โวยวายว่าต่อไปออกมาข้างนอกไม่ต้องพาเขามาด้วยอีก ไม่คิดว่าผ่านไปเพียงสองสามปี ก็ถึงคราวที่เขากับว่าที่ภรรยาจะมีเรื่องให้คุยกันไม่จบไม่สิ้นแล้ว
บุตรชายคนเล็กของนาง โตเป็นผู้ใหญ่แล้วจริงๆ
ท่านแม่เฒ่าถามเฉินต้าเหนียงว่า “พวกเขาจะไปกินมื้อเย็นที่ไหนล่ะ?”
เฉินต้าเหนียงยิ้มพลางตอบว่า “คงไปกินที่เรือนคุณหนูอวี้เจ้าค่ะ คนที่มาส่งข่าวบอกว่าคนครัวของนายท่านสามล้อมวงเล่นไพ่นกกระจอกกันแล้ว ส่วนคนครัวของเรือนคุณหนูอวี้กำลังเริ่มทำของว่างเจ้าค่ะ”
ท่านแม่เฒ่าเห็นว่าบุตรชายคนเล็กมีที่กินข้าวมื้อเย็นแล้วก็ไม่สนใจเขาอีก จับแขนของเฉินต้าเหนียงแล้วยันตัวยืนขึ้น “ไป พวกเราไปดูห้องครัวที่อารามดับทุกข์ดีกว่า เห็นเจ้าอาวาสของพวกเขาคุยโม้หนักหนาว่าแป้งทอดผักกาดเขียวของที่นี่ขึ้นชื่อนัก ที่ขายอยู่ด้านนอกล้วนสู้ไม่ได้ พวกเราไปชิมกัน แล้วค่อยเอาไปฝากพวกนายท่านสามด้วย”
เฉินต้าเหนียงรับคำว่า “เจ้าค่ะ” ก่อนจะประคองท่านแม่เฒ่าไปที่ห้องครัวของอารามดับทุกข์
อวี้ถังทางนี้กำลังกลัดกลุ้มใจ
พวกนาง…เพิ่งตกปลาได้แค่สองตัว
ตัวหนึ่งเป็นปลาหลังเขียวขนาดหนึ่งฉื่อที่นางตกได้ตอนแรก อีกตัวเป็นปลานิลยาวเท่าตะเกียบซึ่งเผยเยี่ยน ‘ตก’ ขึ้นมา
แต่เผยเยี่ยนยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์อยู่เลย!
อวี้ถังปรึกษากับเขาว่า “ไม่อย่างนั้น วันนี้ก็แล้วกันไปเถอะ พวกเราค่อยมาตกปลาใหม่วันหลัง…ส่วนปลาสองตัวนี้ ทอดก็ไม่ดี ต้มน้ำแกงก็ไม่อร่อย”
หากว่าคิดจะทำเป็นกับข้าวจริงๆ ปลาอะไรก็ทำได้ทั้งนั้น
เผยเยี่ยนอ่านใจอวี้ถังออก เขาให้เด็กรับใช้นำปลาสองตัวไปปล่อย ยังเอ่ยอีกว่า “ถือเสียว่าทำบุญ!”
อวี้ถังลอบถอนหายใจ
เผยเยี่ยนเผยรอยยิ้มบางๆ
เดิมเขาก็ไม่คิดจะเอาปลากลับไปอยู่แล้ว ที่บอกว่า ‘กินปลา’ ก็แค่อยากแกล้งอวี้ถังให้เข้าใจว่าตนต้องอุ้มตะกร้าไม้ไผ่กลับเท่านั้น
แต่การที่นางจดจำเรื่องของเขาไว้ในใจเช่นนี้ ทำให้เขาดีใจมากกว่า “เจ้าไม่ต้องสนใจข้าหรอก สกุลเรามิใช่คนหัวโบราณขนาดนั้น ให้กินอาหารมังสวิรัติสามปีนั้น พวกเรายังพอทนรับไว้ แต่ผู้เฒ่ากับเด็กๆ นั้นทำไม่ได้หรอก ปกติก็มักกินพวกไข่ตุ๋นอะไรไป ตอนนี้เจ้ายังไม่ได้แต่งเข้าอย่างเป็นทางการ อยากกินอะไรก็กินได้ตามสบาย ไม่ต้องสนใจข้าหรอก”
แต่จากนิสัยของเผยเยี่ยน ตอนที่ท่านผู้เฒ่าจากไปกระทั่งดอกไม้สีสดใสเขายังทำใจเห็นไม่ได้เลย ในช่วงไว้ทุกข์เช่นนี้ก็คงเข้มงวดให้ตัวเองปฏิบัติตามธรรมเนียมทุกข้ออยู่กระมัง?
อวี้ถังพยักหน้า แต่กลับไม่ทำตามใจ นางฉวยโอกาสตอนที่เผยเยี่ยนกลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าวิ่งไปที่ห้องครัว แล้วสั่งให้จัดอาหารมังสวิรัติมาหนึ่งโต๊ะ
ตอนที่เผยเยี่ยนกินข้าวก็ไม่ได้พูดอะไร แต่พอกินเสร็จ ถึงสั่งคนนำหยกนวดมือมามอบให้นางชิ้นหนึ่ง
เนื้อหยกขนาดเท่าไข่ห่าน เป็นสีขาวนวลละเอียด ตรงส่วนหัวห้อยใช้หนังสัตว์สีเหลืองมาแกะสลักเป็นรูปกวางน้อยนอนตะแคงได้อย่างสมจริง ของหายากเช่นนี้ อวี้ถังถูกใจเป็นที่สุด
ท่านแม่เฒ่าได้ฟังก็ถอนหายใจ เอ่ยกับเฉินต้าเหนียงว่า “ที่เขาชอบคนสกุลอวี้ก็มีเหตุผลอยู่ ดูนิสัยใจคอละเอียดอ่อนของนางสิ ทั้งชวนเขาพูดคุยสร้างเสียงหัวเราะให้เขาได้ แล้วเขาจะไม่หวั่นไหวได้หรือ”
เฉินต้าเหนียงกลัวท่านแม่เฒ่าจะไม่พอใจอวี้ถัง พวกนางที่รับใช้ข้างกายท่านแม่เฒ่าก็ยากจะเลือกข้าง แต่เพราะหลายเรื่องก็เห็นอย่างชัดเจนอยู่ จึงรีบเอ่ยว่า “นี่นับเป็นวาสนาของคุณหนูอวี้ที่ยอมตกลงปลงใจกับนายท่านสามเจ้าค่ะ!”
ท่านแม่เฒ่าไม่ได้พูดอะไร หลังจากอาบน้ำชำระกายก็เข้าไปพักผ่อน
ส่วนอวี้ถังทางนั้น คนเมื่อได้หยกนวดมือชิ้นใหม่มา ก็นอนเล่นอยู่ใต้ผ้าห่มเป็นนานกว่าจะผล็อยหลับไป
ตื่นเช้าวันถัดมา นางก็ตรึกตรองแล้วว่าจะมอบอะไรเป็นของขวัญขอบคุณให้เผยเยี่ยนดี เผอิญคุณหนูสาม คุณหนูสี่และคุณหนูห้าเดินจูงมือกันเข้ามา บอกว่าจะไปคารวะท่านแม่เฒ่าพร้อมกันกับนาง
อวี้ถังคิดถึงจุดประสงค์การไปอารามดับทุกข์ของคุณหนูใหญ่สกุลหยาง รู้ว่าที่พวกนางมาหาคงไม่ใช่แค่เรื่องไปคารวะท่านแม่เฒ่าแน่ จึงหัวเราะแล้วถามว่า “พวกเจ้าอยากคุยกับข้าเรื่องคุณหนูใหญ่สกุลหยางกับคุณชายเหยียนกระมัง?”
“ใช่แล้วๆ!” คุณหนูสี่ร่าเริงกว่าใคร นางจึงกระโดดออกมาเป็นคนแรก แล้วส่งสายตามาจ้องอวี้ถัง “พี่อวี้ ท่านลองเดาดูสิ เมื่อวานเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
ปกติงานแต่งพวกนี้ หากอีกฝ่ายไม่ได้หน้าตาอัปลักษณ์จนเกินไป สองฝ่ายล้วนตกลงกันได้ทั้งสิ้น
พอคุณหนูสี่ถามเช่นนี้ กลับทำให้อวี้ถังคาดเดาไม่ถูก
นางถามกลับด้วยความอยากรู้ว่า “เกิดอะไรขึ้นล่ะ?”
คุณหนูทั้งสามต่างแลกเปลี่ยนสายตากัน แล้วเอ่ยกับอวี้ถังเป็นเสียงเดียวว่า “พี่อวี้ ท่านลองเดาดูก่อนสิ ถ้าเดาผิด พวกเราค่อยบอกท่าน”
อวี้ถังต้องหลอกล่อพวกเด็กๆ แต่ไม่อยากใช้สมอง จึงคาดเดาส่งเดชออกไป คุณหนูทั้งสามต่างก็ส่ายหน้าให้นางตามที่คาดไว้ จากนั้นทั้งสามคนก็อดรนทนไม่ไหว เล่าให้อวี้ถังฟังว่า “งานแต่งนี้ไม่สำเร็จแน่ๆ”
“เช่นนั้นพวกเจ้าก็รีบบอกข้าสิว่าเกิดอะไรขึ้น?” อวี้ถังแสร้งทำท่าตื่นเต้น แล้วเร่งพวกนางให้รีบพูดออกมา
คุณหนูสามถอนหายใจ “เพราะคุณชายเหยียนหน้าตาน่าเกลียดเกินไปน่ะสิ”
ไม่มีปัญหาอื่นก็ดีเท่าไรแล้ว
อวี้ถังถอนหายใจตาม
ใครจะคิดว่านางถอนหายใจเร็วไปหน่อย เพราะคุณหนูห้าเสริมเข้ามาอีกประโยคว่า “แต่คนที่มาดูตัวเป็นเพื่อนคุณชายเหยียนคือญาติผู้น้องของเขา ไม่รู้ว่าคุณชายเหยียนคิดอะไรอยู่ เพราะญาติผู้น้องที่เขาพามานั้นรูปงามเสียยิ่งกว่าอะไร คุณหนูใหญ่สกุลหยางเห็นก็หน้าคว่ำทันที บอกว่าสกุลเหยียนจงใจอยากให้นางยกเลิกงานแต่ง”
คุณหนูสามเอ่ยว่า “เมื่อคืนพี่รองไม่ได้กลับมาที่ห้อง เพราะต้องคอยปลอบใจคุณหนูใหญ่สกุลหยาง ตอนนี้นางคงลำบากใจมาก หากไม่ยกเลิกงานแต่ง สกุลเหยียนหรือพูดว่าคุณชายเหยียนเองก็ไม่อยากดองกับสกุลหยาง แต่ถ้ายกเลิกงานแต่ง ก็จะเข้าแผนที่คุณชายเหยียนวางเอาไว้ คุณหนูใหญ่สกุลหยางล้วนไม่ยินยอมทั้งสิ้น”
“สกุลเหยียนทำเช่นนี้ออกจะน่าเกลียดไปหน่อยกระมัง” คุณหนูสี่เอ่ยอย่างโมโห “หากไม่อยากแต่งก็ไม่ควรไปขอหมั้นสิ ในเมื่อมาขอหมั้นหมาย แล้วเหตุใดยังทำเรื่องเช่นนี้ออกมาอีก”
———————————————————–
[1]เหล้าเกาเหลียง เป็นเหล้ากลั่นดีกรีสูงประมาณ 38-63 ดีกรี มีความเข้มข้นมาก รสชาติค่อนข้างเผ็ด