ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่352 ผูกแค้น
แก้แค้นแทนเขา?
เผิงสืออีได้ฟังก็แสยะยิ้มในใจ
เรื่องราวผ่านเลยไปแล้ว ถึงเวลานั้นจะยังมีใครจดจําความทุ่มเทของเขาได้อีก
เริ่มจากการทําร้ายของคนในสกุล ตามมาด้วยการทอดทิ้งของผู้อาวุโส เงาดํามืดใน
ดวงตาเขาเข้มขึ้น ทว่ากลับไม่กล้าแสดงออกทางสีหน้าสักนิด
สกุลเผิงมากอํานาจบารมี ไม่มีการคุ้มครองจากสกุลเผิง เขาก็เหลือเพียงความตาย
สถานเดียวเท่านั้น
ตอนแรก เขาอดทนต่อการทําร้ายของคนในสกุล ก็มิใช่เพราะเหตุผลนี้หรือ?
แต่เดินวนวกกลับมา สุดท้ายเขาก็ไม่อาจหลุดรอดจากวงจรนี้พ้น
เผิงสืออีข่มความไม่ยินยอมและโกรธแค้นไว้ในก้นบึ้ง โค้งกายตอบคําว่า “ขอรับ” ทั้ง
เอ่ยว่า “ข้าล้วนเชื่อฟังคําสั่งของสกุลทั้งสิ้น”
นายท่านใหญ่เผิงผงกศีรษะอย่างพอใจ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินไปตบไหล่เผิงสืออี เอ่ย
กับเขาด้วยท่าทีจริงใจว่า “นี่ก็เพราะไม่มีทางอื่น เรื่องพี่เจ็ดของเจ้า ทําให้สกุลเผิงต้องเสียอะไร
ไปไม่น้อย บัดนี้มีบางคนยังไม่คิดคืนหนี้นํ้าใจที่ติดค้างไว้ จึงไม่อาจพลิกหน้าใส่สกุลเผยได้ แต่
สกุลเผิงของเราก็มิใช่จะรังแกได้ตามใจ ความแค้นนี้สกุลเผิงจะจดจําไว้ให้สกุลเผยเอง ฆ่าคนก็
แค่ศีรษะร่วงลงพื้น แต่จองเวรไม่ปล่อยแบบนี้มันเกินไป แต่เจ้าก็ต้องเข้าใจ สกุลเผยไม่เหมือน
เมื่อก่อน ที่กัดไม่ปล่อยแบบนี้ก็เพราะกําลังสร้างอํานาจ วันนี้เราถอยให้เขาก้าวหนึ่ง เจ้าสาม
มิใช่คนโง่ เขาต้องรับนํ้าใจครั้งนี้แน่ ส่วนเจ้า ก็ทนลําบากสักสองสามปี รอให้เจ้าสามหายโมโห
แล้ว ข้าค่อยพาเจ้าไปขอโทษเขาด้วยตนเอง เรื่องนี้ก็นับว่าจบกันไป”
พูดไปพูดมา ก็ยังไม่เห็นศักดิศรีของเผิงสืออีอยู่ในสายตาอยู่ดี ์
2802
เขาทําขนาดนี้แล้ว ยังจะให้เขาไปขอโทษเจ้าสามสกุลเผยนั่นอีกรึ?
เผิงสืออีทนไม่ไหว โพล่งออกไปว่า “พี่ใหญ่ ต่อให้นายท่านรองสกุลเผยจะเก่งกาจ แต่ก็
คงไม่ต้องปกป้องนายท่านสามถึงเพียงนี้กระมัง? พวกเรายังต้องไปขอขมานายท่านสามด้วย
รึ?”
นายท่านใหญ่เผิงตรึกตรองดู ก่อนจะตอบว่า “จางอิงต้องการให้เจ้าสามกลับสู่ตําแหน่ง
อีกครั้ง เจ้าสามไม่รู้คิดอย่างไร ถึงไม่ตอบตกลงเสียที แต่หลังจากบุตรชายคนโตสกุลจางตายไป
สกุลจางก็ขาดผู้สืบทอด กลายเป็นช่องโหว่รูใหญ่ ทุกคนต่างก็มีโอกาส สกุลจางไม่มีคนที่ใช้งาน
ได้ การกลับคืนตําแหน่งเดิมของเจ้าสามจึงเป็นเรื่องไม่ช้าก็เร็วเท่านั้น” พูดจบ ด้วยกลัวว่า
เผิงสืออีจะสงสัยว่าสกุลเผิงทําเช่นนี้เพราะต้องการปลอบโยนเขา จึงเอ่ยเสริมอีกว่า “พวกเราทํา
แบบนี้ ก็เพื่อป้องกันไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นแค่เจ้าสามสกุลเผยเพียงคนเดียว อาศัยสิ่งใดมาทําให้
พวกเรายอมก้มหัวครั้งแล้วครั้งเล่า”
พูดมาพูดไป สรุปก็คือกังวลว่าอย่างไรเผยเยี่ยนก็ต้องคืนสู่ตําแหน่งขุนนางเข้าสักวัน
นี่คงเป็นชีวิตที่ทําให้ผู้อื่นริษยากระมัง?
เผิงสืออีไม่ได้ส่งเสียง เขาฟังคําปลอบโยนจากนายท่านใหญ่เผิงด้วยใจที่ล่องลอย คิด
คํานวณแผนการของตน
รอจนถึงตอนที่เผยเยี่ยนรู้เรื่องนี้ เผิงสืออีก็ถูกสกุลเผิงทิ้งไว้ที่กานซูแล้ว ฟังว่าสกุลเผิง
ต้องการสร้างสนามเลี้ยงม้าที่นั่น จึงให้เขาไปคอยดูแล
เผยเยี่ยนยังไม่วางใจ กําชับเผยชีอย่างลับๆ ว่า “ส่งคนไปจับตาดูเขาไว้ ถ้าเขาออกจาก
กานซูเมื่อไร ข้าต้องการรู้เรื่องทันที หากมีปัญหาอะไร ก็ไปบอกพี่รองข้าได้ พี่รองข้ามีสหายร่วม
ชั้นเป็นขุนนางอยู่ที่กานซู”
เผยชียินดีจะทํางานประเภทนี้นัก เขารีบคําอย่างว่องไว
ตอนที่เผยเยี่ยนออกจากประตูไปก็ถามสาวใช้ที่เฝ้าเวรว่า “นายหญิงสามทําอะไรอยู่?”
2803
เขามักจะถามประโยคนี้ขึ้นมาอย่างไม่ให้ใครทันตั้งตัว และจะถามเพียงประโยคนี้
เท่านั้น เขาแค่อยากรู้ว่าอวี้ถังกําลังทําอะไรอยู่ หาใช่ว่ามีธุระใดกับนาง หากว่าใครตอบคําถาม
ไม่ได้ เขาก็จะหงุดหงิดไม่พอใจ ดีที่คนรับใช้รอบตัวเขาล้วนมีไหวพริบ ไม่ถึงสองครั้ง ทุกคนก็
เข้าใจทันทีว่าหากต้องการให้เผยเยี่ยนอารมณ์ดี จะต้องรู้เอาไว้ตลอดเวลาว่าอวี้ถังกําลังทํา
อะไรอยู่ เผื่อเผยเยี่ยนถามขึ้นมา จะได้ตอบคําถามถูก
สาวใช้ข้างกายอวี้ถังกลายเป็นคนเนื้อหอมทันใด ทุกคนต่างไปตีสนิทกับสาวใช้นาง ก็
เพื่อต้องการรู้อยู่เสมอว่าอวี้ถังกําลังทําอะไรอยู่
สาวใช้ตัวน้อยรู้ความเคยชินนี้ของเผยเยี่ยนเช่นกัน นางรีบตอบว่า “เมื่อครู่นายหญิง
สามกําลังลองชุดอยู่เจ้าค่ะ บอกว่าจะไปงานเลี้ยงมงคลที่เรือนใต้เท้าเจียง”
เผยเยี่ยนพยักหน้า ก่อนจะไปหาอวี้ถัง
ยากนักที่จะหาวันที่สวีเซวียนไม่อยู่ได้ นางถูกหลีฮูหยินเรียกไปที่เรือนสกุลหลี อวี้ถังจึง
ปรึกษากับชิงหยวนเรื่องชุดที่จะต้องใส่ไปงานแต่ง
ชิงหยวนเห็นว่าเสื้อคลุมสีนํ้าเงินขลิบทองงดงามนัก แต่เสื้อคลุมหังโฉวสีเงินลาย
ดอกไม้ก็สวยไม่แพ้กัน ชุดคลุมสีเขียวปักลายหางหงส์บนเตียงก็ทําให้คนไม่อาจละสายตาได้
เป็นการตัดสินใจที่ไม่ง่ายเอาเสียเลย
“ใส่ชุดสีเขียว” เสียงของเผยเยี่ยนดังขึ้นในห้องอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
ทุกคนหันไปมองตามเสียง
เห็นว่าเผยเยี่ยนใส่ชุดต้าวผาวสีเงินลายเรียบ สวมหมวกตาข่ายสีดํา กระทั่งปิ่นสักชิ้น
ยังไม่มี ทว่าคนก็ยังเฉิดฉายดั่งไข่มุกอยู่ดี
อวี้ถังยิ้มกริ่มรีบเข้าไปรับเขา “ทําไมท่านมาหาข้าตอนนี้ได้ล่ะ? งานในมือสะสาง
หมดแล้วรึ?”
2804
“ยุ่งแต่เรื่องไม่เป็นเรื่องน่ะสิ” เผยเยี่ยนเอ่ยอย่างไม่พอใจ “วันนี้ก็ถูกศิษย์พี่เฟ่ ยเรียกไป
ช่วยเขาเขียนเครื่องลาง เขาก็ใช่ว่าเขียนไม่ได้เสียหน่อย ดึงดันจะให้ข้าเขียนให้ได้ บอกว่าที่
ปรึกษาเขาเขียนสู้ข้าไม่ได้ นี่มิใช่พูดเรื่องเหลวไหลอยู่รึ? ถ้าที่ปรึกษาพวกนั้นยังเขียนภาษาได้
ดีกว่าข้า แล้วจะให้พวกเขาเป็นที่ปรึกษาอยู่ทําไม ให้พวกเขาไปลงสนามสอบเสียสิ!”
อวี้ถังเม้มปากหัวเราะ
คล้ายว่าตั้งแต่กลับจากวัดถานเจ้อ จู่ๆ ความสัมพันธ์ของเฟ่ ยจื้อเหวินกับเผยเยี่ยนก็ข
ยับเข้าใกล้กันมาก ไม่พูดถึงเฟ่ ยจื้อเหวินที่เรียกเขาไปกินข้าวและสนทนาที่เรือนบ่อยๆ ยังชอบ
ลากเผยเยี่ยนไปชุมนุมกวีที่สหายของเขาจัดขึ้น ทั้งไปเดินท่องเที่ยวอีกตั้งหลายครั้ง เผยเยี่ยน
กลับมาก็บ่นไม่หยุดว่าเฟ่ ยจื้อเหวินมักเรียกใช้เขาเหมือนเป็นน้องชายคนเล็ก นางรู้สึกว่าเช่นนี้ก็
ไม่มีอะไรเสียหาย เผยเยี่ยนอายุยังน้อย แม้ว่าจะมีพรสวรรค์เฉลียวฉลาด เป็นที่เคารพนับถือ
ของผู้คน แต่ส่วนหนึ่งก็เพราะเขาเป็นศิษย์ในสํานักของจางอิง บัดนี้มีเฟ่ ยจื้อเหวินช่วยรับรอง
เขาอีกคน ย่อมมีประโยชน์ต่อเส้นสายของเขาในวันข้างหน้า
ดังนั้น นางจึงสั่งให้หูซิ่งนําของกินไปส่งที่สกุลเฟ่ ยอยู่หลายรอบ ถือเป็นการแสดงความ
ขอบคุณเขา
“วันนี้ท่านมีเวลาว่างหรือไม่?” อวี้ถังถามเผยเยี่ยน “อีกเดี๋ยวพวกเราไปกินข้าวกับ
พี่สะใภ้รองเป็นอย่างไร? หลายวันนี้ทุกคนต่างยุ่งงานในมือ นานแล้วที่ไม่ได้กินข้าวด้วยกัน!”
เมื่อก่อนตอนอยู่เรือนสกุลอวี้ อวี้ป๋ อกับอวี้เหวินสองครอบครัวมักจะมากินข้าวด้วยกัน
บ่อยๆ พูดคุยเรื่องสัพเพเหระทั้งของตนและเพื่อนบ้าน นับเป็นการไปมาหาสู่อย่างหนึ่ง…คนก็
ย่อมจะสนิทชิดเชื้อมากยิ่งขึ้น ดั่งคําที่ว่าญาติไกลหรือจะสู้เพื่อนบ้านใกล้นั่นเอง
เผยเยี่ยนไม่ได้ว่าอะไร เพียงถกเถียงกับอวี้ถังเรื่องชุดที่จะใส่ไปงานมงคลของสกุลเจียง
ต่อ วุ่นวายอยู่ครึ่งวัน พอตกเย็น ก็เดินทางไปที่เรือนของเผยเซวียนทางนั้น
ประจวบเหมาะที่วันนี้เผยเซวียนไม่ได้ยุ่งมาก เขาไม่ได้ไปร่วมงานเลี้ยงที่อื่น และออก
จากที่ว่าการตามเวลาปกติ พอกลับมาเจออวี้ถังกับเผยเยี่ยนก็ดีใจมาก บอกให้นายหญิงรอง
2805
หยิบเหล้าขาวที่เพิ่งส่งมาจากซานตงเมื่อหลายวันก่อนออกมาไหหนึ่ง ตั้งใจจะดวลสุรากับเผย
เยี่ยนสักตั้ง
นายหญิงรองบัดนี้สิ่งใดก็สมใจปรารถนาไปหมด อารมณ์จึงดีเป็นพิเศษ ได้ยินดังนั้นจึง
เอ่ยว่า “พวกท่านพี่น้องดื่มเหล้าขาว ข้ากับสะใภ้สามจะดื่มเหล้าจินหวา พวกเรามากินข้าวให้
สุขใจสักมื้อเถอะ”
เผยเซวียนอ้าปากหัวเราะเสียงดัง
จากนั้นสาวใช้และหญิงรับใช้ก็แยกย้ายไปเตรียมการ
สองครอบครัวย้ายไปนั่งที่โถงรับแขก
นายหญิงรองสั่งสาวใช้ให้พับฉากกั้นเก็บ ดอกอวี้จานกับดอกมะลิม่วงในห้องยังไม่ทัน
บานเต็มที่ แต่ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ แผ่กําจายไปทั่ว
เผยเยี่ยนจามออกมาทันที
เผยเซวียนบอกนายหญิงรองให้ย้ายดอกไม้ออกไป ก่อนจะพูดกับเผยเยี่ยนด้วยสีหน้า
รู้สึกผิดว่า “ดูข้าสิ ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทเลย”
เผยเยี่ยนถูจมูกไปมา “ช่างเถอะ เดี๋ยวข้าคงชินขึ้นเอง ไม่ต้องย้ายไปทั้งหมดหรอก วาง
ไปสักสองกระถางก็พอ”
อวี้ถังเอ่ยอย่างเป็นห่วงว่า “ไปให้ท่านหมอดูหน่อยจะดีกว่า! จมูกท่านไม่เห็นจะดีขึ้น
เสียที”
“ไม่ต้องหรอก!” เผยเยี่ยนตอบ “ผ่านฤดูนี้ไปก็ดีขึ้นแล้ว ไม่จําเป็นต้องวุ่นวาย”
แม้ปากจะพูดเช่นนั้น แต่อวี้ถังก็จดจําไว้ในใจ พอกินข้าวเย็นเสร็จ ตอนที่ทุกคนย้ายไป
ดื่มเหล้าที่สวนดอกไม้ด้านหลัง นางยังกระซิบขอร้องนายหญิงรองว่า “ท่านช่วยข้าดูหน่อยได้
2806
หรือไม่ว่าจินหลิงทางนั้นมีหมอฝีมือดีบ้างหรือเปล่า หากเชิญมาได้ ก็หาทางเชิญมาตรวจอาการ
เขาสักหน่อย เมืองหลวงข้าไม่คุ้นเคย แต่จะขอให้นายหญิงอินช่วยหาอีกแรงเจ้าค่ะ”
นายหญิงรองพยักหน้ารัว แล้วเอ่ยเรื่องคุณหนูห้าที่ตั้งหูคอยฟังเสียงอยู่ข้างๆ “ตอนไป
ดื่มสุรามงคลที่เรือนสกุลเจียง ให้อาตันติดตามข้างกายเจ้าไว้ ข้ากลัวว่าตัวเองจะยุ่งกับงาน
เลี้ยงจนทิ้งให้นางต้องอยู่คนเดียว นางเพิ่งจะเคยปรากฏตัวอย่างเป็นทางการต่อหน้านายหญิง
ทุกสกุลในเมืองหลวงเป็นครั้งแรก!”
ภาพลักษณ์ดีหรือแย่ ย่อมส่งผลต่องานแต่งของคุณหนูห้า
อวี้ถังเข้าใจความหมายของนายหญิงรอง แต่อดจะแปลกใจไม่ได้ที่นางมอบคุณหนูห้า
ให้ตนดูแล
นายหญิงรองยิ้มแล้วกุมมืออวี้ถังเอาไว้ “เจ้าอย่าได้ดูแคลนตัวเองนักเลย คนที่เจอเจ้า
ล้วนพูดว่าเจ้าเป็นคนสุขุมหนักแน่น เช่นนี้เป็นเรื่องดีที่สุดแล้ว”
พูดมากย่อมจะผิดพลาดมาก สําหรับสตรีที่ดีคนหนึ่ง ความสุขุมประเสริฐกว่าสิ่งใด
อวี้ถังคิดว่านางไม่อาจสู้สวีเซวียนได้เลยสักทาง แต่การไม่ลนลานไม่แตกตื่นเป็นสิ่งที่
นางมั่นใจ จึงตอบรับไปทันที
นายหญิงรองถอนหายใจโล่งอก กําลังจะเล่าให้อวี้ถังฟังว่ามีสกุลใดไปร่วมงานเลี้ยง
ของสกุลเจียงบ้าง กลับได้ยินเสียงของเผยเซวียนดังขึ้น เอ่ยอย่างมีอารมณ์ว่า “ไม่ว่าจะพูด
อย่างไร เรื่องนี้ล้วนเป็นความชอบของเจ้า หากว่าเฟ่ ยจื้อเหวินสามารถชิงตําแหน่งของหอเน่ย
เก๋อร์มาได้ ผู้เฒ่าจางทางนั้นก็จัดการได้ง่ายแล้ว ส่วนข้าเอง อาจารย์ข้าบอกว่าอย่าเพิ่งใจร้อน
ต้องหนักแน่นมั่นคงเอาไว้ ค่อยเป็นค่อยไป หากว่านั่งมองผู้อื่นเจอหายนะอยู่ไกลๆ แล้วคอยเก็บ
เกี่ยวผลประโยชน์ได้ เช่นนั้นย่อมเป็นการดีที่สุด”
ปีนั้นที่อาจารย์ของเผยเซวียนได้เป็นผู้คุมสอบเคอจวี่ ก็เพราะได้รับความช่วยเหลือจาก
หลายทาง เพราะสหายร่วมชั้นของเผยเซวียนหาได้มีกําลังพอหนุนหลัง มีเพียงเผยเซวียน ไม่
2807
เพียงอาศัยบารมีของสกุลเผย ตอนที่เผยโย่วยังมีชีวิตอยู่ ก็เป็นคนใจเด็ดแน่วแน่ จึงได้มีหน้าตา
โดดเด่นเหนือใครๆ
คนของสกุลเผยต่างรู้ดี ดังนั้นแม้เผยเซวียนจะได้เป็นรองเจ้ากรมกรมคลัง แต่การจะ
เป็นมหาบัณฑิตของหอเน่ยเก๋อร์ได้นั้น มิใช่จะมีโอกาสมากมาย
เผยเยี่ยนหลุดหัวเราะ “เจ้าสํานักยังรักอิสระเช่นเดิม มิน่าจึงรักลูกศิษย์แบบพี่รองนัก”
เผยเซวียนหัวเราะหึๆ ไม่เก็บมาใส่ใจ แล้วยกเรื่องงานมงคลของสกุลเจียงมาพูดกับเผย
เยี่ยน “เขาได้มาส่งเทียบเชิญให้เจ้าด้วยตนเองหรือไม่?”
อาศัยความสัมพันธ์ระหว่างเผยเยี่ยนกับเจียงหวา เจียงหวาควรจะให้ผู้เยาว์ในสกุลมา
ส่งเทียบเชิญให้เผยเยี่ยนถึงจะถูก
เผยเยี่ยนส่ายหน้า “แล้วแต่เขาเถอะ! พวกเราศิษย์พี่ศิษย์น้องทะเลาะกันแบบนี้ มิใช่
เรื่องที่เพิ่งเคยเกิดขึ้น จะตัดขาดไม่ไปมาหาสู่ก็แล้วแต่เถอะ”
เผยเซวียนแม้จะรู้สึกเสียดาย แต่ก็ยังยืนอยู่ข้างน้องชายทางนี้ เอ่ยปลอบใจเขาว่า
“แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน คนอย่างเขาดีแต่ก่อความวุ่นวาย เลิกคบไปเสีย ไม่แน่อาจเป็นเรื่องดีก็ได้”
เผยเยี่ยนไม่ได้ต่อความ
อวี้ถังคอยสังเกตความเคลื่อนไหวของเผยเยี่่
ยนอยู่
สกุลเจียงไม่ได้ส่งเทียบเชิญมาให้เผยเยี่ยนเป็นพิเศษ กระทั่งสองวันก่อนถึงงานมงคล
ของสกุลเจียง ไม่รู้ว่าเจียงหวาคิดไปคิดมาแล้วรู้สึกละอายแก่ใจ หรือเพราะเหตุผลอื่นกันแน่
บุตรชายคนโตของเจียงหวาถึงได้นําเทียบเชิญมาส่งให้เผยเยี่ยนด้วยตนเอง
เขากับเผยเยี่ยนอายุเท่ากัน ตอนที่เจอเผยเยี่ยนจึงค่อนข้างอวดดีไม่น้อย เขาคารวะ
เผยเยี่ยนอย่างลวกๆ เรียก ‘อาจารย์อา’ อ้างไปส่งเดชว่าเพราะมีธุระยุ่งมาก จากนั้นก็ส่งเทียบ
เชิญให้
2808
เผยเยี่ยนก็ไม่ได้เสวนากับเขาสักหลายคํา เอ่ยวาจาตามมารยาทไปนิดหน่อย แล้วยก
นํ้าชาส่งแขกกลับ
ตอนที่บุตรชายคนโตของเจียงหวาเดินออกมายังรู้สึกขุ่นเคืองไม่เบา
อวี้ถังสงสารเผยเยี่ยน
สกุลเจียงมิใช่ตาสุนัขมองคนตํ่าหรอกรึ?
จะว่าไปแล้ว ก็คือรังแกเผยเยี่ยนเพราะเขาไม่ได้เป็นขุนนางอีกแล้ว
ตอนที่บุตรชายคนโตของเจียงหวาไปส่งเทียบเชิญให้เฟ่ ยจื้อเหวิน ยังจะกล้าสะบัดหน้า
ใส่เช่นนี้อีกรึ?