เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 445 พี่จิ่วอั้น ท่านเอ่ยจริงหรือ ?
หลังจากที่วิญญาณอาวุธและนักพรตเสวียนจีหนีไป พลังอัน แข็งแกร่งที่ปกคลุมอยู่บนกายของทุกคนก็มลายหายตามไปด้วย จากนั้นทุกคนก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน
หากมิสังเกตให้ดี ก็จะมิพบความผิดปกติของเย่ฉางชิงแม้แต่ น้อย เพราะก่อนหน้านี้ทุกคนแทบจะใช ้พลังลมปราณทั้งหมดที่มี เพื่อ ต้านทานพลานุภาพอันน่าสะพรึงกลัวนั้น
แม้ในตอนนี้พวกเขาจะมีอาการดีขึ้น แต่ยังคงมีสีหน้าซีดเซียว และเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า และมีสภาพสะบักสะบอมไปตาม ๆ กัน
แต่เย่ฉางชิงกลับต่างออกไป แววตาของเขายังคงสงบนิ่ง มี ท่าทางสบาย ๆ มิทุกข์มิร ้อนใด ๆ
อีกทั้งผู้เฒ่าที่สวมเสื้อป่ านผู้นั้นยังเป็ นถึงท่านบรรพจารย์ของ นิกายจื่ออวิ๋น และยังมีตบะบารมีระดับเซียนขั้นกลางอีกด้วย เพื่อ
ต้านทานพลานุภาพอันน่ากลัวเมื่อครู่ เขาก็ได้ใช ้พลังลมปราณไป แทบจะหมดเช่นกัน
ดังนั้นจึงสามารถมองออกได้ทันทีว่าใครแข็งแกร่งมากเพียงใด !
เมื่อเขาสังเกตเห็นเย่ฉางชิง และลองตรวจสอบตบะบารมีและ ระดับของอีกฝ่ าย ทว่ากลับมิสามารถสัมผัสได้ถึงไอพลังวิถีเซียนใด ๆ บนกายของเขาเลย
หมายความว่าตบะบารมีของอีกฝ่ ายหากมิอยู่สูงกว่าเขา ก็ต้องมี ของวิเศษบางอย่างที่ปกปิดไอพลังวิถีเซียนของตนเองเอาไว้เป็ นแน่ ซึ่งเรื่องเช่นนี้เดิมทีก็มิสมเหตุสมผลอยู่แล้ว
หลังจากนิ่งเงียบอยู่สักพัก
‘ก่อนหน้านี้เป็ นข้าที่มีตาหามีแววไม่ เดิมคิดว่าคนผู้นี้จะมี พรสวรรค์ที่สูงส่ง จึงได้รับความสนใจจากพวกอู๋ไท่เหอ แต่คิดมิถึง ……คิดมิถึงเลยว่า จะเป็ นผู้แข็งแกร่งที่ไร ้เทียมทานเช่นนี้ไปได้ ! ’
ผู้เฒ่าที่สวมเสื้อป่ านส่ายหน้าน้อย ๆ อดมิได้ที่จะทอดถอนอยู่ ภายในใจ
ในตอนนั้นเองหนิงซู่ซู่ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ก็บังเอิญสังเกตเห็น ความผิดปกติของผู้เฒ่าที่สวมเสื้อป่าน
“ท่านพี่จิ่วอั้น ท่านกาลังคิดสิ่งใดอยู่เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
หลังจากใคร่ครวญสักพัก หนิงซู่ซู่ก็ส่งกระแสจิตไปถามผู้เฒ่าที่ สวมเสื้อป่านจิ่วอั้น
วินาทีต่อมา หลังจากได้ยินเสียงอันเย็นชา จิ่วอั้นก็ได้สติอีกครั้ง
เขามีท่าทางอึกอักเล็กน้อย ก่อนจะฉีกยิ้มแห้ง ๆ ออกมา แล้ว ตอบกลับไ ว่า “เซียนหนิง ความจริงแล้วข้ากาลังคาดเดาว่าบุรุษผู้นั้น แท้จริงแล้วมีฐานะเช่นไรกันแน่”
เอ่ยจบจิ่วอั้นก็บุ้ยใบ้ไปทางเย่ฉางชิงที่ยืนอยู่มิไกลนัก
เมื่อเห็นดังนั้นแววตาของหนิงซู่ซู่ก็มีประกายสับสนพาดผ่าน ในทันที
“ท่านเซียนหนิง หากข้าเดามิผิดแล้วล่ะก็ ตัวตนที่แท้จริงของ บุรุษหนุ่มผู้นี้หาใช่ผู้ที่ข้าจะสามารถคาดเดาได้กระมัง ? และเรื่องเมื่อ ครู่นี้ก็คงเป็ นผู้อาวุโสท่านนี้ที่ยื่นมือเข้าช่วย จนบีบให้นักพรตเสวียน จีและวิญญาณอาวุธตนนั้นจาต้องหนีเตลิดไปใช่หรือไม่ ? ”
ผู้เฒ่าที่สวมเสื้อป่ านจิ่วอั้นชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะส่งกระแสจิต เอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง
ทันทีที่สิ้นเสียงหนิงซู่ซู่ก็เม้มริมฝีปาก ก่อนจะพยักหน้ารับน้อย ๆ
“ท่านพี่จิ่วอั้น เรียนตามตรงเมื่อครู่นี้จะใช่เขาเป็ นผู้ลงมือหรือไม่ ข้าเองก็มิทราบเช่นกัน”
หนิงซู่ซู่ส่งกระแสจิตตอบกลับด้วยท่าทางจริงจัง “แต่มีสิ่งหนึ่งที่ ข้าอยากจะเตือนท่านเอาไว้ก็คือ ตัวตนที่แท้จริงของเขาหาใช่ผู้ที่ท่าน
และข้าจะสามารถคาดเดาได้ และการที่เขามาปรากฏตัวที่นี่ย่อมมี จุดประสงค์บางอย่าง ดังนั้นเรื่องตัวตนของเขาท่านคงจะรู ้ดีว่าควรเก็บ เป็ นความลับใช่หรือไม่ ? ”
จิ่วอั้นมีสีหน้าเปลี่ยนไป ก่อนจะลอบชาเลืองมองเย่ฉางชิงที่อยู่มิ ไกลนัก พร ้อมกับสูดลมหายใจเข้าน้อย ๆ อย่างอดมิได้
บุรุษหนุ่มผู้นี้ก็คือยอดฝีมือไร ้เทียมทานที่ยื่นมือเข้ามาช่วย
แต่แท้จริงแล้วผู้อาวุโสท่านนี้เป็ นผู้ใดกันแน่ ถึงสามารถบีบให้ วิญญาณอาวุธที่อยู่เบื้องหลังของนักพรตเสวียนจีล่าถอยไปได้
‘น่าเหลือเชื่อ ! ’
‘ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก ! ’
‘จริงสิ ! ’
‘การที่คนผู้นี้มาปรากฏตัวที่นิกายกระบี่สวรรค์ หรือว่าเขาจะเป็ น บรรพบุรุษท่านใดท่านหนึ่งของนิกายกระบี่สวรรค์ ที่ขึ้นแดนเซียน โบราณไปแล้ว ? และการที่เขามาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ เป็ นเพราะกลับ ชาติมาเกิดเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘อืม ! ’
‘มีความเป็ นไปได้ ! ’
‘มิใช่สิ ! ’
‘ต้องเป็ นเช่นนี้แน่ ! ’
ขณะเดียวกันระหว่างที่หนิงซู่ซู่และจิ่วอั้น ส่งกระแสจิตสื่อสารกัน อย่างเงียบ ๆ นั้น
ผู้แข็งแกร่งของสานักเซียนใหญ่ทั้งสาม ที่ได้สติขึ้นมาก็เริ่ม ถกเถียงกันจนดังระงม
“ต้องยอมรับว่าการเดิมพันหมากในวันนี้ มีเรื่องราวเกิดขึ้น มากมายจริง ๆ แต่โชคดีที่มีผู้อาวุโสลึกลับท่านนั้นยื่นมือเข้ามาช่วย พวกเราจึงมีโอกาสรอดมาได้”
“แน่นอนว่าสาหรับสิทธิ์ในการครอบครองแดนบาเพ็ญเพียร โบราณบนเขาหยุนหลานต่อจากนี้ คิดว่าคงมิมีผู้ใดคัดค้านอีกกระมัง ? ”
“จะคัดค้านอันใดได้อีก สัญญาร ้อยปีในตอนแรกนั้น เกิดจาก ความเห็นชอบของพวกเราสานักเซียนใหญ่ทั้งสี่ ส่วนการเดิมพันใน ครั้งนี้วังเสวียนจีก็เป็ นผู้เสนอขึ้นมาเอง และตอนนี้นักพรตเสวียนจีก็ ได้พ่ายแพ้ให้แก่น้องชายท่านนั้นไปแล้ว ดังนั้นสิทธิ์ในการ ครอบครองแดนบ าเพ็ญเพียรโบราณแห่งนี้ ต่อไปย่อมต้องตกเป็ น ของนิกายกระบี่สวรรค์ โดยมิสามารถคัดค้านได้อีก”
“ในเมื่อเป็ นเช่นนั้นต่อไปก็จะมิมีสัญญาร ้อยปีอันใดนั่นอีก แดน บาเพ็ญเพียรโบราณบนเขาหยุนหลานจึงตกเป็ นของนิกายกระบี่ สวรรค์ในที่สุดสินะ”
“ทุกท่าน แม้ว่าเรื่องนี้จะได้ข้อสรุปแล้ว แต่ข้ายังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ จ าเป็ นจะต้องเอ่ยถึง”
“หนานหลิงจื่อ มีสิ่งใดเจ้าเอ่ยออกมาตรง ๆ ได้เลย”
“นักพรตเสวียนจียังมิได้ดับสูญอย่างแท้จริง ยังมีวิญญาณอาวุธ อันน่ากลัวที่อยู่เบื้องหลังของเขาอีก เช่นนั้นด้วยนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้น ของนักพรตเสวียนจีแล้ว พวกท่านคิดว่าเขาจะกลับมาแก้แค้นพวก เราทั้งสามสานักเซียนใหญ่หรือไม่ ? ”
“มิเพียงเท่านั้น ข้ามองว่าด้วยลักษณะนิสัยของวิญญาณอาวุธ อันน่ากลัวตนนั้น อาจจะย้อนกลับมาทาลายสานักเซียนของพวกเรา ก็เป็ นได้”
เวลาผ่านไปมิถึงหนึ่งก้านธูป
เมื่อหนานหลิงจื่อแห่งจวนหนานหลิงเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา ผู้แข็งแกร่ง ของสานักเซียนใหญ่ทั้งสามก็ถึงกับพูดมิออกขึ้นมาทันที
‘จริงด้วย ! ’
ด้วยนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นของนักพรตเสวียนจี และวิญญาณอาวุธ อันน่ากลัวที่อยู่เบื้องหลังของเขาตนนั้น มิแน่ว่าพวกเขาอาจจะ กลับมาทาลายสานักเซียนใหญ่ที่เหลือทั้งสามสานักก็เป็ นได้
ส่วนพวกเขานั้นถึงแม้จะเป็ นผู้แข็งแกร่งระดับเซียน แต่ต่อหน้า ของวิญญาณอาวุธตนนั้น ก็ยังคงอ่อนแอราวกับเพียงมดปลวกอยู่ดี
ทีนี้จะทาเช่นไรดี !
ควรท าเช่นไรดี !
น่าปวดหัวจริง ๆ !
ทว่ามิกี่อึดใจต่อมา
ระหว่างที่ทุกคนกาลังเป็ นกังวลกลัวว่าสานักจะถูกทาลายนั้น จู่ ๆ จิ่วอั้นก็เอ่ยขึ้นว่า
“ทุกท่าน ข้าคิดแผนการบางอย่างที่จะสามารถหลีกเลี่ยง มิให้ โศกนาฏกรรมเช่นนี้เกิดขึ้นได้”
จิ่วอั้นหันไปสบตากับหนิงซู่ซู่เล็กน้อย ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างมี เลศนัย “ดูจากสัญญาณต่าง ๆ ก่อนหน้านี้แล้ว ผู้อาวุโสที่ยื่นมือเข้า ช่วยพวกเรา แต่กลับมิยอมปรากฏกายท่านนั้น คงจะมีความ เกี่ยวข้องบางอย่างกับนิกายกระบี่สวรรค์เป็ นแน่”
“ดังนั้นข้ามองว่าพวกเราสองสานักเซียนใหญ่ จาเป็ นจะต้อง สร ้างค่ายกลห้วงเวลามายังนิกายกระบี่สวรรค์ เพื่อเกิดเหตุการณ์ วิกฤตขึ้นจะได้สามารถส่งของสาคัญ หรือศิษย์ที่มีพรสวรรค์สูงส่ง ของแต่ละสานักมายังนิกายกระบี่สวรรค์ เพื่อรับการคุ้มครองและเลี่ยง มิให้ส านักของเราไร ้ผู้สืบทอดได้”
มินานเมื่อทุกคนได้ฟังแผนการของจิ่วอั้น ก็ต่างพยักหน้าเห็น ด้วย
“วิญญาณอาวุธที่อยู่เบื้องหลังของนักพรตเสวียนจีนั้นแข็งแกร่ง เป็ นอย่างมาก หากบุกมาที่สานักเซียนของพวกเราจริง ๆ เกรงว่าทั่ว ทั้งสวรรค์บูรพาก็คงมิมีผู้ใดสามารถต่อกรได้อย่างแน่นอน บัดนี้เมื่อ ต้องเผชิญกับการคุกคามเช่นนี้ พวกเราคงทาได้เพียงฝากความหวัง เอาไว้ที่ผู้อาวุโสท่านนั้นแล้ว”
“เรื่องมาถึงขั้นนี้ ก็คงทาได้เพียงเท่านี้แล้วล่ะนะ”
“จริงสิ ท่านพี่อู๋ ท่านพี่ขง ท่านเซียนหนิง พวกท่านสามคนเห็น เป็ นเช่นไร ? ”
หลังจากทอดถอนใจอย่างจนปัญญาแล้ว สายตาของทุกคนก็หัน ไปทางพวกอู๋ไท่เหอ
“ความจริงแล้วพวกท่านก็กล่าวเกินจริงไปหน่อยนะ”
ขงซิงเจี้ยนเหลือบมองอู๋ไท่เหอที่มีท่าทางเคร่งเครียด จึงชิงเอ่ย ออกมาเสียก่อน “ข้ามองว่าในเมื่อท่านผู้อาวุโสท่านนั้น สามารถทา
ให้วิญญาณอาวุธที่อยู่เบื้องหลังนักพรตเสวียนจีล่าถอยไปได้ ข้าจึง คิดว่าพวกเขาย่อมมิกล้ากลับมาลงมืออีกเป็ นแน่”
“ทุกท่านก็รู ้ดีว่า ยิ่งบาเพ็ญเพียรวิถีเซียนถึงขั้นท้าย มิว่าจะเป็ น ตาเฒ่าอย่างพวกเราหรือว่าวิญญาณอาวุธ ล้วนแต่จะยิ่งรักตัวกลัว ตายมากขึ้นเท่านั้น มิมีทางทาลายอนาคตของตนเพียงเพราะเรื่อง เล็กน้อยที่มิสาคัญเช่นนี้หรอกกระมัง ? ”
ทันทีที่สิ้นเสียงของขงซิงเจี้ยน
ทุกคนต่างก็สบตากัน ก่อนจะพยักหน้าน้อย ๆ เมื่อคิดว่าสิ่งที่ขง ซิงเจี้ยนเอ่ยมาก็มีเหตุผล
“มิดี มิดี ! ”
จิ่วอั้นกลับส่ายหน้าพลางโบกมือไปมา “ข้ามองว่าค่ายกลห้วง เวลา เยี่ยงไรซะก็จาเป็ นจะต้องสร ้างขึ้น มิเยี่ยงนั้นหากเกิดอันใด ขึ้นมาจริง ๆ พวกข้าก็มิมีที่ให้หนีกันพอดีน่ะสิ”
“อีกอย่างแม้ว่ากาลเวลาจะล่วงเลยมาเนิ่นนาน ระหว่างสานัก เซียนใหญ่ทั้งสามของพวกเราอาจจะเกิดการทะเลาะเบาะแว้งกันบ้าง แต่เวลาก็ได้ผ่านไปนานมากแล้ว ดังนั้นถึงเวลาที่จะสร ้างค่ายกลห้วง เวลาขึ้นมา เพื่อกระชับความสัมพันธ ์ของพวกเราสามสานักเซียน ใหญ่ให้แน่นแฟ้ นยิ่งขึ้น”
“พี่จิ่วอั้น ทาไมข้ารู ้สึกเหมือนว่าท่านมีจุดประสงค์มุ่งร ้ายต่อ นิกายกระบี่สวรรค์ของพวกเราเยี่ยงไรก็มิรู ้? ”
“พี่ขง ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้ากล่าวเพราะจริงใจจริง ๆ ”
“หากพวกข้ามิตกลงเล่า ? ”
“พี่ขง เพื่อเป็ นการแสดงความจริงใจ ข้าจะมอบแดนบ าเพ็ญ เพียรโบราณแห่งหนึ่ง ที่อยู่ภายในเขตแดนของนิกายจื่ออวิ๋นให้ นิกายกระบี่สวรรค์ของพวกท่านยืมหนึ่งร ้อยปี ท่านว่าเช่นนี้เป็ นเยี่ยง ไร ? ”
“พี่จิ่วอั้น……”
“ข้าตัดสินใจแล้ว พวกเจ้ามิต้องกล่าวอันใดอีกแล้ว”
“พี่จิ่วอั้น ท่านกล่าวจริงหรือ ? ”
“แน่นอน ! ”
“จริงสิ พี่หนานหลิงจื่อ แล้วจวนหนานหลิงของพวกท่านจะว่า เยี่ยงไรบ้าง ? ”
“คือ……”
ตอนที่ 446 หนานหลิงจื่อกลับมาอีกครั้ง
หลังจากปรึกษากันเสร็จเรียบร ้อยแล้ว
เนื่องจากนิกายจื่ออวิ๋นเสนอเงื่อนไขที่ยั่วยวนใจเช่นนั้น สุดท้ายอู๋ ไท่เหอและขงซิงเจี้ยนก็ตัดสินใจยอมรับข้อเสนอของจิ่วอั้น
ในการสร ้างค่ายกลห้วงเวลาขึ้นที่นิกายกระบี่สวรรค์ !
เยี่ยงไรซะสิทธิ์ในการครอบครองแดนบาเพ็ญเพียรโบราณเป็ น เวลาหนึ่งร ้อยปี มิว่าสานักเซียนไหนก็ล้วนแต่มีความสาคัญยิ่ง
ส่วนเหล่าผู้แข็งแกร่งของจวนหนานหลิง แม้ภายในใจจะเต็มไป ด้วยความสงสัย แต่เยี่ยงไรซะก็เกี่ยวพันถึงสิทธิ์ในการครอบครอง แดนบาเพ็ญเพียรโบราณถึงร ้อยปี ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจขอ กลับไปที่สานักก่อน หลังจากปรึกษากันเรียบร ้อยแล้วจะตัดสินใจอีก ครั้ง
จากนั้นนิกายจื่ออวิ๋นก็ได้ทิ้งผู้อาวุโสเอาไว้สองคน เพื่อปรึกษา กับเหล่าผู้อาวุโสของนิกายกระบี่สวรรค์ว่าจะสร ้างค่ายกลห้วงเวลา ขึ้นเยี่ยงไร
ส่วนพวกจิ่วอั้นรวมทั้งผู้แข็งแกร่งของจวนหนานหลิงเลือกที่จะ กลับกันก่อน
ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม
ระหว่างที่จิ่วอั้นและผู้แข็งแกร่งของทั้งสองสานักเซียนใหญ่เหาะ พ้นเขตแดนของนิกายกระบี่สวรรค์ และผู้แข็งแกร่งของทั้งสองสานัก กาลังจะแยกทางกันนั้น
ในที่สุดหนานหลิงจื่อที่มีท่าทางเคร่งเครียด ภายในใจเต็มไปด้วย ความสงสัยก็ได้เอ่ยถามขึ้นอย่างอดทนมิไหวอีก “พี่จิ่วอั้น ข้าขอคุย ด้วยสักครู่ได้หรือไม่ ? ”
จิ่วอั้นหัวเราะออกมา พร ้อมกับพยักหน้าน้อย ๆ
เวลาผ่านไปมิกี่อึดใจ ทั้งสองก็ได้โรยตัวลงมายังเบื้องล่าง ก่อนจะ หยุดลงที่ริมฝั่งของแม่น้าสายหนึ่ง
“พี่จิ่วอั้น ข้าคิดว่าท่านเองก็คงรู ้ดีว่าจวนหนานหลิงของข้ากับ นิกายจื่ออวิ๋นของท่านมีความสัมพันธ ์อันดีกันมาเนิ่นนาน หลายพัน ปีก่อนบรรพบุรุษท่านหนึ่งของจวนหนานหลิงยังได้แต่งงานกับบรรพ บุรุษท่านหนึ่งของนิกายจื่ออวิ๋นของท่านอีกด้วย”
หนานหลิงจื่อที่อยู่ในชุดผ้าแพรเนื้อดีทอดสายตามองไกล ออกไป พลางลูบที่คางของตนเอง
จิ่วอั้นพยักหน้ารับ พร ้อมกับลูบที่หนวดของตนเองด้วยรอยยิ้ม “พี่หนานหลิงจื่อ ความสัมพันธ ์ของเราสองสานักข้าเองย่อมรู ้ดี ดังนั้น หากมีสิ่งใดเชิญท่านกล่าวออกมาตามตรงได้เลย”
หนานหลิงจื่อถอนสายตากลับมา แล้วหันไปเอ่ยกับจิ่วอั้นที่อยู่ใน ชุดผ้าป่านด้วยน้าเสียงลาบากใจว่า “ข้าต้องการรู ้ว่าผู้อาวุโสท่านนั้น มีความเกี่ยวข้องกับนิกายกระบี่สวรรค์เยี่ยงไรกันแน่ ? ”
“เรื่องนี้จะอธิบายเช่นไรดี ? ”
จิ่วอั้นนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองรอบ ๆ แล้วจึงส่งกระแสจิต กลับไปว่า “พี่หนานหลิงจื่อ ในเมื่อท่านเอ่ยถามเช่นนี้ ข้าก็จะมิปิดบัง ใด ๆ ท่านอีก”
“แต่ก่อนหน้านั้นข้ามีเรื่องที่จะต้องกาชับท่านอย่างหนึ่ง สิ่งที่ข้า จะบอกท่านต่อจากนี้ห้ามบอกผู้ใดอีกเป็ นอันขาด ต้องเก็บเป็ น ความลับภายในใจของท่านเท่านั้น”
ทันทีที่สิ้นเสียง หนานหลิงจื่อก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป เผยท่าทาง สับสนออกมา
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยังพยักหน้ารับด้วยความหนักแน่น
วินาทีต่อมา
“ข้าจะบอกท่านตามตรงเลยก็แล้วกัน ! ”
จิ่วอั้นมองไปรอบ ๆ และใช ้กระแสจิตตรวจสอบภายในรัศมีหลาย ลี้ ก่อนจะส่งกระแสจิตเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสท่านนั้นมิเพียงมีความ เกี่ยวข้องกับนิกายกระบี่สวรรค์ เขายังได้เร ้นกายอยู่ที่นิกายกระบี่ สวรรค์อีกด้วย”
ห๊ะ ! ! !
หนานหลิงจื่อดวงตาเบิกโพลงในทันที สีหน้าตกตะลึง ร่างทั้งร่าง แข็งค้างราวกับหินก็มิปาน
‘ยอดฝี มือที่ไร ้เทียมทานที่ยื่นมือเข้ามาช่วยก่อนหน้านี้ อยู่ที่ นิกายกระบี่สวรรค์เยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘เป็ นไปได้เยี่ยงไร ! ’
‘หากเป็ นเช่นนั้นจริง เหตุใดหลายปีมานี้นิกายกระบี่สวรรค์ถึงได้ ตกต่าลง ทั้งยังปล่อยให้แดนบาเพ็ญเพียรโบราณที่เขาหยุนหลานตก ไปอยู่ในมือของผู้อื่นได้เล่า ? ’
‘หรือว่าพวกอู๋ไท่เหอตั้งใจให้เป็ นเช่นนี้ ? ’
‘แปลก ! ’
‘เรื่องนี้ช่างน่าแปลกยิ่งนัก ! ’
“พี่จิ่วอั้น เหตุใดข้ารู ้สึกว่าเรื่องนี้มันดูแปลก ๆ ……”
หนานหลิงจื่อเอ่ยยังมิทันจบประโยค จิ่วอั้นก็รีบโบกมือขึ้นขัด ทันที “ข้ารู ้ว่าท่านกาลังสงสัยสิ่งใด แต่ข้าบอกท่านได้เลยว่า ก่อน หน้านี้ข้าได้เห็นผู้อาวุโสท่านนั้นด้วยตาตนเองมาแล้ว”
“นี่มัน ! ! ! ”
หนานหลิงจื่ออดมิได้ที่จะส่ายหน้าออกมา พลางเอ่ยว่า “เป็ นไป มิได้ ท่านจะเห็นผู้อาวุโสท่านนั้นได้เยี่ยงไรกัน ? ”
เมื่อได้ยินดังนั้นใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของจิ่วอั้นพลันฝืนยิ้ม ออกมา ก่อนจะส่ายหน้าน้อย ๆ “ความจริงแล้วท่านเองก็เคยเห็นเขา เช่นกัน เพียงแต่ท่านและข้า……มีตาหามีแววไม่”
หนานหลิงจื่อกะพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะรีบซักไซ ้ว่า “พี่จิ่วอั้น ท่าน เลิกอมพะน าได้แล้ว จิตใจของข้าใกล้จะเกิดธาตุไฟเข้าแทรกอยู่แล้ว นะ”
จิ่วอั้นจึงอธิบายต่อว่า “ความจริงแล้ว……ผู้อาวุโสท่านนั้น……ก็ คือบุรุษหนุ่มผู้นั้นที่มีรูปลักษณ์โดดเด่น มีท่าทางสุภาพอ่อนโยน ที่ มิได้อยู่ในสายตาของพวกเราแม้แต่น้อย”
“นี่มัน……นี่มันเป็ นไปมิได้ ! ”
“มิมีอันใดที่เป็ นไปมิได้ เพียงแต่ท่านมิได้สังเกตก็เท่านั้น ขณะที่ ผู้อาวุโสท่านนั้นเผชิญหน้ากับพลังอันน่ากลัวของวิญญาณอาวุธนั้น กลับมีท่าทีสบาย ๆ หาได้รับแรงกดดันใด ๆ ไม่ อีกทั้งด้วยตบะบารมี ของข้ายังมิสามารถสัมผัสได้ถึงไอพลังวิถีเซียนบนกายของเขาอีก ด้วย”
“บุรุษผู้นั้นก็คือยอดฝีมือที่ไร ้เทียมทานท่านนั้น ก่อนหน้านี้ข้ายัง คิดว่าเป็ นเพียงศิษย์สายในที่มีพรสวรรค์สูงส่งผู้หนึ่งเท่านั้น”
“ถูกต้อง ตอนแรกข้าเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน”
“พี่จิ่วอั้น เช่นนั้นท่านคิดว่าผู้อาวุโสท่านนี้แท้จริงแล้วเป็ นผู้ใด กันเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“หากข้าเดามิผิดแล้วล่ะก็ เขาคงจะมาจากแดนเทพบรรพกาล อีกทั้งในแดนเทพบรรพกาลเขาจะต้องเป็ นบุคคลที่มีชื่อเสียง มิใช่ เพียงคนธรรมดาอย่างแน่นอน”
“แต่ว่ามิว่าจะเป็ นสวรรค์บูรพา หรือว่าแดนเทพบรรพกาลก็ล้วน แล้วแต่มีกฎที่ขวางกั้นเอาไว้อยู่ เช่นนั้นเขาต้องเก่งกาจเพียงใดกัน จึงสามารถข้ามสระอสนีบาตมาได้ ? ”
“เยี่ยงไรซะ ท่านแค่ต้องจาไว้ว่ากับผู้อาวุโสเช่นนี้ พวกเราทาได้ เพียงเคารพและให้เกียรติเท่านั้น”
“……”
“……”
เวลาผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วยาม โดยมิทันรู ้ตัว
หนานหลิงจื่อและจิ่วอั้นจึงได้กลับมาที่เดิม
เพียงแต่สีหน้างุนงงของหนานหลิงจื่อ ก่อนหน้านี้ได้หายไป หมดแล้ว มิหนาซ้าบัดนี้ยังเต็มไปด้วยรอยยิ้มยินดีอีกด้วย
“พี่จิ่วอั้น น้าใจของท่านในวันนี้ ข้า หนานหลิงจื่อ จะขอจดจา เอาไว้”
“พี่หนานหลิงจื่อ พวกเราสองสานักมิจาเป็ นต้องเกรงใจกันเช่น คนอื่นคนไกลหรอก”
“อืม ถ้าเช่นนั้นพวกเราลากันตรงนี้เลยก็แล้วกัน”
มินาน หลังจากพวกจิ่วอั้นจากไปแล้ว
หนานหลิงจื่อก็หุบยิ้มลงทันที ก่อนจะเอ่ยกับเหล่าผู้อาวุโสและ ศิษย์น้องในส านักด้วยท่าทางเคร่งขรึมว่า “ทุกท่าน ข้าต้องกลับไปที่ นิกายกระบี่สวรรค์อีกครั้ง”
เมื่อสิ้นเสียง ทุกคนต่างก็มีสีหน้าสงสัย และอดมิได้ที่จะสบตากัน
“ท่านบรรพบุรุษ เหตุใดต้องกลับไปที่นิกายกระบี่สวรรค์อีกขอรับ ? ”
ผู้อาวุโสที่มีผมขาวแซมข้างขมับท่านหนึ่ง เอ่ยด้วยใบหน้าสงสัย “ท่านคงมิได้ตัดสินใจจะสร ้างค่ายกลห้วงเวลาที่นิกายกระบี่สวรรค์ ด้วยใช่หรือไม่ขอรับ ? ”
หนานหลิงจื่อพยักหน้ารับ ก่อนจะเอ่ยด้วยท่าทางจริงจังว่า “ถูกต้อง มิว่าจะต้องแลกด้วยสิ่งใดก็จาเป็ นจะต้องสร ้างค่ายกลห้วง เวลาของจวนหนานหลิงที่นิกายกระบี่สวรรค์ให้จงได้”
“เพราะเหตุใดเล่าขอรับ ? ” มีผู้อาวุโสอีกคนเอ่ยถามขึ้น
หนานหลิงจื่อโบกมือไปมา ก่อนจะส่ายหน้า “เรื่องบางเรื่องพวก เจ้ามิจ าเป็ นต้องรู ้ เพียงแค่จ าเอาไว้ว่าการสร ้างค่ายกลห้วงเวลาของ จวนหนานหลิงที่นิกายกระบี่สวรรค์นั้น จะส่งผลต่ออนาคตของจวน หนานหลิงของเรา”
เอ่ยเพียงเท่านั้น หนานหลิงจื่อก็มิได้เอ่ยสิ่งใดอีก เพียงแค่เรียกผู้ อาวุโสอีกสองท่านออกมา จากนั้นก็ได้เหาะไปทางนิกายกระบี่สวรรค์ อีกครั้ง
……
……
อีกด้านหนึ่ง
หลังจากที่เหล่าผู้อาวุโสของวังเสวียนจี รวมถึงผู้แข็งแกร่งของ สองส านักเซียนใหญ่ทยอยกลับไปแล้ว
และขณะที่เย่ฉางชิงกาลังลอบบ่นอยู่ในใจว่า ผู้ฝึกเซียนระดับสูง มีความคิดละเอียดรอบคอบอยู่นั้น
พวกอู๋ไท่เหอก็ได้ส่งสัญญาณให้พวกผู้อาวุโสในส านักกลับไป ทันที ก่อนจะรีบเดินเข้ามาหาเย่ฉางชิง พร ้อมด้วยใบหน้าที่ประดับ รอยยิ้มอ่อนโยน
“น้องเย่ เมื่อครู่โชคดีที่ได้คาชี้แนะจากเจ้า ! ”
อู๋ไท่เหอและขงซิงเจี้ยนคารวะให้แก่เย่ฉางชิงเล็กน้อย พร ้อมกับ เอ่ยด้วยรอยยิ้มกว้าง
“ทั้งสองท่านเกรงใจเกินไปแล้ว ตอนนั้นเป็ นเพราะพวกท่านอยู่ ใกล้เกินไปจึงมองมิเห็น ส่วนข้าเป็ นคนที่มองเข้าไปจากข้างนอกจึง เห็นได้ชัดกว่าก็เท่านั้น และโชคดีที่เป็ นหมาก……วิถีหมาก หากเป็ น เรื่องอื่นข้าคงไร ้ความสามารถที่จะช่วยได้เช่นกัน”
เย่ฉางชิงยิ้มออกมาอย่างมิเห็นว่าจะเป็ นเรื่องสาคัญอันใด ก่อน จะหันไปทางหนานกงเสวียนจีที่ยังสลบมิฟื้นอยู่มิไกลนัก พลางเอ่ย ถามขึ้นว่า “จริงสิ หนานกงเสวียนจี เขาคงมิได้เป็ นอันใดมากใช่ หรือไม่ ? ”
“มิเป็ นไร”
ขงซิงเจี้ยนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เพียงแค่วิญญาณดั้งเดิมของน้อง หนานกงถูกโจมตี หลับสักตื่นก็มิเป็ นอันใดแล้ว”
เอ่ยถึงตรงนี้ ขงซิงเจี้ยนก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะหัน กลับไปมองเหยาห้าวหยานที่อยู่มิไกลนัก พร ้อมกับคารามออกมาว่า “เหยาห้าวหยาน เจ้าคิดจะให้น้องหนานกงตากลมอยู่เยี่ยงนี้หรือไง ? ”
ทันทีที่สิ้นเสียง พวกเหยาห้าวหยานและผู้อาวุโสอีกสองคน ที่ ก าลังยืนพิจารณาเย่ฉางชิงด้วยความสงสัยอยู่นั้นก็ถึงกับสะดุ้ง ก่อน จะรีบเดินเข้าไปหาหนานกงเสวียนจีในทันที
ตอนนั้นเอง อู๋ไท่เหอก็ได้เอ่ยเชื้อเชิญอย่างกระตือรือร ้น “น้องเย่ พวกเราไปคุยกันที่อื่นดีกว่า”