novel-lucky | นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย PDF
  • หน้าหลัก
  • ดูอนิเมะ anime
  • anime
  • โดจิน
ค้นหานิยาย
Sign in Sign up
  • จันทร์
  • อังคาร
  • พุธ
  • พฤหัสบดี
  • ศุกร์
  • เสาร์
  • อาทิตย์
  • ทุกวัน
  • จบแล้ว
  • นิยาย PDF
  • จันทร์
  • อังคาร
  • พุธ
  • พฤหัสบดี
  • ศุกร์
  • เสาร์
  • อาทิตย์
  • ทุกวัน
  • จบแล้ว
  • นิยาย PDF
Sign in Sign up
Prev
Next
hotgraph Hydra888 ดูบอลสด UFAC4 PANAMA888 lotto432 ufabet london168 newyork UFAZEED UFA1919 PG freefire เว็บหวยฮานอย ซื้อหวยฮานอย SSGAME350 เล่นเซ็กซี่บาคาร่า AE SEXY เว็บบาคาร่าดีที่สุด dgthai nowbet หวยออนไลน์

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 173 ท่านยังดีไม่พอ

  1. Home
  2. เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]
  3. บทที่ 173 ท่านยังดีไม่พอ
Prev
Next

บทที่ 173 ท่านยังดีไม่พอ

“ท่านเป็นนักบวชมาจากวิหารหรือ?”

อู๋หงถามออกมาโดยไม่รู้ตัว

เนื่องจากมีแต่นักบวชผู้ศรัทธาในเทพเจ้าอย่างแท้จริงเท่านั้น ถึงจะได้รับพรสวรรค์วิเศษ ให้ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของคนอื่นได้รวดเร็วถึงเพียงนี้

หลินเป่ยเฉินเลิกผ้าคลุมศีรษะออก แล้วถามว่า “บุรุษหน้าตาหล่อเหลาอย่างข้า ไม่ทราบว่าท่านพี่อู๋หงลืมเลือนได้อย่างไร?”

อู๋หงเมื่อเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเด็กหนุ่ม ก็ยืนอึ้งตกตะลึงอยู่ตรงนั้น

แล้วนางก็ตัวสั่นเทา ร้องอุทานด้วยความดีใจสุดขีดว่า “ทะ…ท่านนี่เอง แต่ว่าท่าน…”

หลินเป่ยเฉินไม่ได้พูดเกินจริง อู๋หงไม่คิดเลยว่าผู้ที่มาช่วยเหลือพวกนางจะกลายเป็นเขาไปได้

ในค่ำคืนนั้น นางเห็นกับตาว่าเสี่ยวหลิงใช้มีดสั้นปักเข้าไปที่หน้าอกของเขา เด็กหนุ่มเสียชีวิตไปแล้ว

คนของสำนักล่าอสูรกุหลาบไฟโทษตัวเองเสมอมา

แต่เมื่อเห็นว่าหลินเป่ยเฉินยังสามารถรอดชีวิตมาได้ อู๋หงก็ดีใจจนไม่รู้จะอธิบายอย่างไรอีกแล้ว

เมื่อหลินเป่ยเฉินเห็นสีหน้าของจอมยุทธ์หญิงร่างกายกำยำ เขาก็ยิ่งมั่นใจมากกว่าเดิมว่า การที่มือสังหารปลอมตัวเป็นเสี่ยวหลิง เป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือการรับรู้ของคนในสำนักล่าอสูรกุหลาบไฟ ตามที่โจวเฉิงได้บอกเอาไว้จริงๆ

ไม่มีใครในสำนักล่าอสูรกุหลาบไฟรู้ตัว

ถึงฟังดูไม่น่าเชื่อ แต่เรื่องนี้จะต้องมีเบื้องหลังซ่อนอยู่แน่นอน

“ยมทูตเป็นคนส่งข้ามาที่โลกใบนี้ แล้วข้าจะตายง่ายๆ ได้อย่างไร?”

หลินเป่ยเฉินว่า

เขาไม่ได้คุยโว

ก็คนที่ส่งเขามายังโลกใบนี้พร้อมกับโทรศัพท์มือถือ ก็คือเจ้ายมทูตตัวแสบนั่นจริงๆ นี่นา

เมื่อคิดถึงตรงนี้แล้ว หลินเป่ยเฉินก็ฉุกใจสงสัยขึ้นมาว่า ที่เขารอดตายมาได้ในครั้งนี้ จะเป็นฝีมือของยมทูตผู้นั้นด้วยหรือเปล่านะ?

“ดีจังเลย คุณชายหลินยังมีชีวิตอยู่ หากคุณหนูซือเหนียงรู้ นางจะต้องดีใจมากแน่ๆ…”

อู๋หงพูด น้ำเสียงตื่นเต้น

แต่เมื่อเอ่ยชื่อเฟิงซือเหนียงออกมา หัวใจของจอมยุทธ์หญิงร่างกายกำยำก็สั่นสะท้าน ก่อนที่นางจะร้องครางด้วยความเศร้า

หญิงสาวผู้เป็นสมาชิกของสำนักล่าอสูรกุหลาบไปพบจุดจบที่น่าอนาถเหลือเกิน

หลินเป่ยเฉินกล่าวว่า “ท่านรีบพาเด็กคนนี้ไปหาที่ซ่อนตัวก่อนเถิด รอให้ข้าจัดการหัวหน้าของพวกมันคนอื่นๆ ให้เรียบร้อยก่อน แล้วเราจะหาทางออกไปจากที่นี่กัน”

“ว่าไงนะ?”

อู๋หงนึกว่าตนเองหูฝาด “ท่านคนเดียวเนี่ยนะ คิดจะทำลายล้างสมาคมนักล่าอสูร?”

“ทำไมเล่า?”

หลินเป่ยเฉินยิ้มกริ่ม อวดฟันขาววับ “สมาชิกของพวกมันทุกคน จะต้องลงนรกกันไปให้หมด”

“แต่ว่า…ท่านมีเพียงตัวคนเดียว” อู๋หงพูด “ท่านเอาชนะพวกเขาไม่ได้หรอก”

“มีตัวคนเดียวแล้วมันเสียหายตรงไหน?” หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มแจ่มใส ยกมือขึ้นยิงลูกดอกเหล็กออกจากแขนเสื้อ พุ่งเข้าไปสังหารนักล่าอสูรคนหนึ่งที่แกล้งตายและกำลังแอบคลานหลบหนี

“ถึงตัวคนเดียว” หลินเป่ยเฉินพึมพำ “แต่ข้าเอาชนะพวกมันได้แน่นอน”

หลังจากนั้น อู๋หงก็ได้เห็นสิ่งที่นางไม่อยากเชื่อ

หลินเป่ยเฉินถือกระบี่เดินเข้าไปไล่แทงหัวใจซากศพนักล่าอสูรที่อยู่ประจำสังเวียนต่อสู้ครบหมดทุกคน

เมื่อแทงหัวใจแล้ว

เด็กหนุ่มก็จัดการตัดศีรษะศพออกเป็นลำดับต่อมา

ไม่เหลือร่องรอยที่สามารถบอกได้เลยว่า เขาเพิ่งฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บสาหัสกลับมาแท้ๆ

วิธีการสังหารของเขาช่างโหดเหี้ยมอำมหิต หลินเป่ยเฉินฆ่าคนเหมือนหั่นผักผ่าแตงโม สีหน้าเย็นชาปราศจากความรู้สึก

“แปลกแฮะ…เหมือนตอนที่เราเล่นเกม แล้วล่าพวกมอนสเตอร์ไม่มีผิด”

หลินเป่ยเฉินใช้กระบี่ตัดหัวคนพร้อมรำพึงกับตัวเองไปด้วย

หลังจากนั้นไม่นาน อาคารหินทั้งหลังก็ถูกย้อมไปด้วยเลือดแดงฉาน

บรรยากาศราวกับคุกใต้ดิน

อู๋หงยกมือขึ้นปิดตาเด็กชายตัวน้อย

ต่อให้นางจะเคยผ่านการสู้รบมาหลายครั้งหลายหน แต่อู๋หงก็ยังต้องตกตะลึงกับความอำมหิตของหลินเป่ยเฉินอยู่ดี

หลังจากที่เด็กหนุ่มกระชับกระบี่ในมือ เขาก็เดินตรงเข้าไปหาซากศพของนายท่านห้าอีกครั้ง

“เกือบลืมเก็บของรางวัลแล้วเชียว”

หลินเป่ยเฉินคุกเข่าลงและเริ่มค้นศพบุรุษหนุ่มผมดำ

“คนชั่วแบบนี้น่ะ แค่ตายยังไม่พอหรอก ข้าวของทุกอย่างที่เป็นของมัน ต้องเอามาเป็นของเราให้หมด สิ่งที่เคยอยู่ในมือคนผิด เมื่อเปลี่ยนมือมาอยู่กับฝ่ายธรรมะ ย่อมสามารถสร้างประโยชน์ให้กับสังคมได้แน่นอน นี่แหละคือการล้างบาปที่แท้จริง” หลินเป่ยเฉินพูดงึมงำกับตัวเอง

เมื่อค้นตัวนายท่านห้าเรียบร้อย หลินเป่ยเฉินก็ได้เหรียญทองมาทั้งหมด 89 เหรียญ ส่วนของกระจุกกระจิกอื่นๆ รวมถึงพวกอาวุธและเคล็ดวิชาฝึกวิทยายุทธ์ ไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาเลย

“ใครสั่งใครสอนให้แกเอางูมาเป็นสัตว์เลี้ยงวะเนี่ย” หลินเป่ยเฉินพูดด้วยความไม่พอใจ

ปรากฏว่านายท่านห้าไม่ได้พกอะไรที่น่าสนใจติดตัวไว้เลย

คัมภีร์ฝึกวิทยายุทธ์ ก็มีแต่คัมภีร์ระดับ 1 ดาวทั้งนั้น

ไม่มีคัมภีร์ระดับ 2 ดาวสักเล่ม

ไม่คุ้มค่าเหนื่อยเลยเว้ย

หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็จัดการค้นหาตามส่วนลับของร่างกาย

อู๋หงยืนทำหน้ากระอักกระอ่วนใจอยู่ตรงนั้น

ไม่คิดสงสัยอีกแล้วว่าทำไมผู้คนในเมืองหยุนเมิ่ง ถึงเคยเข้าใจว่าหลินเป่ยเฉินเป็นเศษขยะไร้ค่า

จากสิ่งที่นางเห็นขณะนี้ หลินเป่ยเฉินไม่คิดรักษาภาพลักษณ์ตัวเองเลยสักนิด

คนปกติที่ไหนกันจะทำเรื่องราวแบบนี้ได้ลงคอ?

จะบอกว่านักล่าอสูรกลุ่มนี้ถูกหลินเป่ยเฉินปล้นทรัพย์ก็คงไม่ผิด

อู๋หงอดรู้สึกสงสารนักล่าอสูรกลุ่มนี้ขึ้นมาไม่ได้

การมีเรื่องกับหลินเป่ยเฉิน คือสิ่งที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตของชายฉกรรจ์กลุ่มนี้

แต่พวกมันก็สมควรตายกันทุกคน

นักล่าอสูรกลุ่มนี้ประกอบไปด้วยตัววายร้ายหลากหลายชนิดของเขตชายแดนเหนือ พวกมันก่อกรรมทำเข็ญเอาไว้มากมาย ล้วนแต่เป็นผู้ที่มีเลือดเปื้อนมือทั้งสิ้น ดังนั้นการให้อภัยเดียวที่พวกมันควรได้รับ ก็มีแต่การให้อภัยในรูปแบบความตายเท่านั้น

“เป็นนักล่าอสูรภาษาอะไรวะเนี่ย กระจอกชิบ”

หลินเป่ยเฉินแทบจะยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาด้วยความสงสารนักล่าอสูรกลุ่มนี้

เขาไม่เคยเห็นกองโจรที่ไหนจะยากจนข้นแค้นเท่านี้มาก่อน

เงินที่เขาค้นเจอจากตัวศพลูกสมุนนายท่านห้า รวมกันทุกศพก็พบเพียง 10 เหรียญทองคำเท่านั้น

เมื่อรวมเข้ากับเงินที่ได้จากตัวนายท่านห้า หลินเป่ยเฉินก็ได้เงินติดมือมาทั้งสิ้น 99 เหรียญทอง

ยังไม่ถึง 100 เหรียญด้วยซ้ำ

ส่วนพวกคัมภีร์ฝึกวิทยายุทธ์ ถึงจะเป็นคัมภีร์หายากก็จริง แต่มันเป็นเพียงคัมภีร์ระดับ 1 ดาว เอาไปขายก็ไม่ได้ เอาไว้ฝึกก็ไม่มีประโยชน์

2 เค่อต่อมา การตรวจค้นซากศพก็เสร็จสิ้น

หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจ เมื่อหันมาเห็นว่าอู๋หงกำลังจ้องมองที่ตัวเองเขม็ง เด็กหนุ่มก็รีบเก็บเหรียญทองในมือ พูดออกมาทันที “เหรียญทองพวกนี้เป็นของข้าทั้งหมด…ข้าไม่แบ่งให้ใครหรอกนะ”

ถ้าเป็นเรื่องเงินทองแล้ว ตอนนี้เขาต้องช่วยตัวเองก่อนเท่านั้น

หลังถูกเทพีกระบี่หิมะไร้นามหลอกให้โอนเงินไปถึง 4,000 เหรียญทองคำ ขณะนี้ หลินเป่ยเฉินจึงต้องกลับมามีสถานะเป็นผู้ร้อนเงินอีกครั้ง

อู๋หงหัวเราะออกมาเล็กน้อยและส่ายศีรษะปฏิเสธว่านางไม่ได้ต้องการเงินของเขา

หลินเป่ยเฉินตรวจดูเวลา เมื่อพบว่าถึงกำหนดที่ยาพิษในบ่อน้ำควรออกฤทธิ์แล้ว เขาก็เดินออกไปด้านนอกอาคารหินพร้อมกับกล่าวว่า “ข้าพูดจริงนะ ท่านรีบพาเด็กคนนี้ไปหาที่ซ่อนตัวเถิด ข้าคงไม่มีเวลามาคอยช่วยเหลืออีกแล้ว”

“ให้ข้าไปกับท่านด้วยเถิดนะ” อู๋หงพูดออกมาโดยไม่รู้ตัว “ข้าจะช่วยท่านเอง”

“ท่านอยู่ดูแลเด็กคนนี้ต่อไปดีกว่า เขายังดูแลตัวเองไม่ได้ ส่วนท่านยังดีไม่พอ สติปัญญาโง่เขลามากเกินไป ขืนติดตามข้ามา ก็มีแต่จะเป็นภาระข้าเปล่าๆ เท่านั้น”

หลินเป่ยเฉินเดินออกจากอาคารหินไป โดยไม่เหลียวหน้ามองกลับมาสักนิด

อู๋หงพลันใบหน้าแดงก่ำ

นางยังดีไม่พออย่างนั้นหรือ?

นั่นก็อาจเป็นความจริง นางยอมรับ

แต่อย่างน้อย นางก็เป็นผู้หญิง

หลินเป่ยเฉินกลับพูดออกมาอย่างไม่ถนอมน้ำใจเลยสักนิด…หรือเป็นเพราะเขาเห็นว่านางไม่ได้มีหน้าตางดงามร่างกายอรชนอ้อนแอ้นเหมือนสตรีทั่วไป เขาถึงไม่ได้สนใจนางเลยเช่นนี้

มันต้องเป็นเช่นนั้นแน่ๆ

…

หลินเป่ยเฉินเดินออกมาจากอาคารหิน และได้พบว่ามีนักล่าอสูรกลุ่มหนึ่งกำลังเดินโซเซสวนทางมา ชายฉกรรจ์เหล่านั้นต่างก็มีเลือดไหลทะลักออกปากออกจมูก

“ช่วยด้วย…”

“ในน้ำมียาพิษ”

บรรดานักล่าอสูรร้องเสียงแหบแห้ง

หลินเป่ยเฉินชักกระบี่ออกมา จัดการสังหารนักล่าอสูรเหล่านั้น ล้มลงไปตกตายบนพื้นดิน

เด็กหนุ่มวิ่งทะยานไปตามท้องถนน ไม่ว่าพบเจอผู้ใด เขาก็จะสังหารไม่เหลือสิ้น

ไม่ว่าหลินเป่ยเฉินไปที่ไหน ที่นั่นก็จะต้องมีศพคนตาย

ตามท้องถนนในตัวเมืองบัดนี้ เต็มไปด้วยซากศพของนักล่าอสูรที่ถูกยาพิษเล่นงาน บางคนพิษกำเริบกะทันหัน ถึงกับคลานออกมาตายคาธรณีประตูบ้านตัวเอง

หลินเป่ยเฉินจุดไฟเผาอาคารต่างๆ ในตัวเมือง

แต่ด้วยความที่อาคารส่วนใหญ่ก่อสร้างมาจากก้อนหิน เปลวไฟจึงสร้างความเสียหายได้ไม่มาก แต่มันก็ทำให้เกิดควันไฟหนาแน่น ทำให้เมืองบนยอดเขาแห่งนี้ กลายเป็นเมืองในหมอกไปในพริบตา

“พวกมือปราบบุกเข้ามาแล้ว”

“พวกเรารีบหนี พวกมือปราบบุกเข้ามาแล้ว”

หลินเป่ยเฉินยกมือป้องปากตะโกนพร้อมกับใช้แอปฉายภาพจำลอง 4 มิติ แสดงภาพของกองทัพมือปราบปรากฏขึ้นบนถนนในตัวเมือง

หลังจากนั้น สถานที่ซึ่งจัดได้ว่าเป็นรังใหญ่ของสมาคมนักล่าอสูรประจำชายแดนเหนือ ก็ตกอยู่ภายใต้ความวุ่นวายโกลาหล

“พวกเราไม่ต้องตื่นตกใจ ทุกคนจงอยู่ในความสงบ”

พลัน ใครคนหนึ่งระเบิดเสียงคำรามออกมา

แล้วเงาร่างของผู้มีพลังระดับปรมาจารย์ผู้หนึ่ง ก็กระโดดขึ้นไปยืนอยู่บนหลังคาอาคารหิน เขาออกคำสั่งให้บรรดานักล่าอสูรไม่ต้องตื่นตกใจ เมื่อกวาดสายตามองรอบบริเวณ ดวงตาของเขาก็หยุดจ้องมองหลินเป่ยเฉิน จากนั้นจึงได้ชักกระบี่ออกมา และพลิ้วกายลงมาจากหลังคาตึก…

กระบวนท่าทุกอย่างถูกคำนวณเป็นอย่างดี

คมกระบี่สาดประกายสีรุ้ง

นับว่าชายผู้นี้มีพลังแข็งแกร่งอยู่ไม่น้อย