novel-lucky | นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย PDF
  • หน้าหลัก
  • ดูอนิเมะ anime
  • anime
  • โดจิน
ค้นหานิยาย
Sign in Sign up
  • จันทร์
  • อังคาร
  • พุธ
  • พฤหัสบดี
  • ศุกร์
  • เสาร์
  • อาทิตย์
  • ทุกวัน
  • จบแล้ว
  • นิยาย PDF
  • จันทร์
  • อังคาร
  • พุธ
  • พฤหัสบดี
  • ศุกร์
  • เสาร์
  • อาทิตย์
  • ทุกวัน
  • จบแล้ว
  • นิยาย PDF
Sign in Sign up
Prev
Next
hotgraph Hydra888 ดูบอลสด UFAC4 PANAMA888 lotto432 ufabet london168 newyork UFAZEED UFA1919 PG freefire เว็บหวยฮานอย ซื้อหวยฮานอย SSGAME350 เล่นเซ็กซี่บาคาร่า AE SEXY เว็บบาคาร่าดีที่สุด dgthai nowbet หวยออนไลน์

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 252 ให้ข้าจัดการเขาได้หรือยัง

  1. Home
  2. เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]
  3. บทที่ 252 ให้ข้าจัดการเขาได้หรือยัง
Prev
Next

บทที่ 252 ให้ข้าจัดการเขาได้หรือยัง

สถานศึกษากระบี่หลวงนับเป็นหนึ่งในเวทีประลองยุทธ์ที่ใหญ่โตที่สุดของเมืองหยุนเมิ่ง เป็นรองก็แต่เพียงเวทีประลองของวิหารเทพกระบี่เท่านั้น ที่นี่สามารถบรรจุผู้ชมได้ถึง 6,000 คน เวทีประลองเป็นพื้นหินยกสูงเหนือระดับทางเดิน ด้านบนมีกระจกถ่ายทอดสดติดตั้งเอาไว้เพื่อรับภาพจากมุมสูง สำหรับการตรวจสอบว่าการต่อสู้เป็นไปอย่างยุติธรรม

บนพื้นหินของเวทีมีความราบ แต่ไม่เรียบ นอกจากรอยเท้าที่เกิดขึ้นจากการประลองในอดีต บนพื้นหินก็ไม่มีลวดลายอันใดอีก นอกจากการลงค่ายอาคมสีดำสนิท ที่มีไว้เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับพื้นเวทีประลองมากยิ่งขึ้น

แม้แต่ผู้ที่มีพลังระดับยอดปรมาจารย์ ก็ไม่สามารถทำลายพื้นผิวของเวทีประลองแห่งนี้ได้

รอบข้างเวทีมีการนำแท่งหินมาตั้งเอาไว้ห่างกันเป็นระยะ

บริเวณโดยรอบของเวทีประลองในรัศมี 25 วา จะเป็นพื้นที่สุญญากาศ ไม่สามารถมีใครเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ทั้งสิ้น

บรรดาผู้ชมที่อยู่ในหอประชุมขณะนี้ ล้วนแต่สามารถรับชมการต่อสู้ได้จากทุกมุมมอง

คนดูเข้ามาเต็มความจุของหอประชุมแล้ว

เจ้าหน้าที่จากกระทรวงศึกษาเดินขึ้นมาบนเวทีประลอง เพื่อแจ้งกฎกติกาและสิ่งที่ไม่สมควรทำระหว่างการต่อสู้

การแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมือง นับเป็นกิจกรรมที่มีความสำคัญและมีความศักดิ์สิทธิ์ของจักรวรรดิ

เพราะฉะนั้น จะให้เกิดความผิดพลาดขึ้นมาไม่ได้เด็ดขาด

หน้าจอขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่บนผนังหอประชุม กำลังแสดงรายชื่อของผู้เข้าแข่งขันทั้ง 40 คน และขณะนี้ มันก็กำลังฉายภาพการแข่งขันในหลายๆ บททดสอบที่ผ่านมาประจำปีนี้

สิ่งที่ทุกคนไม่คิดไม่ฝันเลยก็คือ ผู้เข้าแข่งขันที่ได้รับความนิยมสูงสุด กลับเป็นเจ้าแกะดำหลินเป่ยเฉิน

แม้แต่สาวงามอย่างหลิงเฉินหรือเยว่เว่ยหยาง รวมถึงเด็กหนุ่มผู้มีสถานะเป็นลูกศิษย์จากเมืองไป๋หยุนอย่างเฉาพั่วเถียน ก็ยังได้รับความนิยมน้อยกว่าหลินเป่ยเฉิน

“ไม่คิดเลยนะว่าเจ้าแกะดำจะกลายเป็นที่ชื่นชอบของชาวเมืองขนาดนี้”

“ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา เขาไม่ได้มารังแกพวกเราอีกแล้ว…”

“จริงด้วยสิ นับตั้งแต่ที่ข้าอาศัยอยู่ในเมืองนี้มา ข้าไม่เคยเห็นเขาทำตัวดีแบบนี้มาก่อน ที่สำคัญก็คือเขามีฝีมือเก่งกาจกว่าเฉาพั่วเถียนอีก ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นลูกชายของท่านขุนนางนักรบแห่งสวรรค์”

“แต่ข้าว่าเจ้าเด็กคนนี้มันน่าสนใจดีนะ เขาทำให้ข้ามีหวังว่าเจ้าลูกชายที่ไม่ได้เรื่องของข้า สักวันก็จะสามารถเก่งกาจขึ้นมาได้เหมือนกัน ฮ่าฮ่าฮ่า!”

“ตอนที่เห็นเขาปรุงยาปลุกกำหนัดเพื่อทำให้เสือสายฟ้าสลบ ข้าก็สาบานกับตนเองเลยว่า ข้าจะเป็นสาวกของเขาตลอดไป”

กลุ่มคนดูพูดคุยกันสนุกสนาน

และเมื่อภาพของหลินเป่ยเฉินปรากฏขึ้นบนหน้าจอขนาดใหญ่ เสียงโห่ร้องก็ดังกังวานปานคลื่นสึนามิซัดถล่ม หอประชุมใหญ่ของสถานศึกษากระบี่หลวงสั่นสะเทือนด้วยเสียงให้กำลังใจหลินเป่ยเฉิน

นั่นทำให้เจ้าหน้าที่จากกระทรวงศึกษาซึ่งนำโดยหลี่สงฟู่แทบไม่อยากเชื่อสายตา เมื่อการแข่งขันดำเนินมาสู่รอบประลองยุทธ์ ความเข้มข้นก็เพิ่มมากขึ้นทวีคูณกลายเป็นเช่นนี้

และเมื่อแนะนำตัวผู้เข้าแข่งขันทั้ง 40 คนจบเรียบร้อย บนหน้าจอก็แสดงลำดับคะแนน ณ ปัจจุบันของพวกเขา

หลินเป่ยเฉินมีรายชื่ออยู่ในอันดับแรก

เฉาพั่วเถียนตามมาเป็นที่สองโดยมีคะแนนตามหลังอยู่เพียง 5 แต้ม

จากนั้นก็เป็นเยว่เว่ยหยาง

ต่อด้วยหลิงเซวียน หลินอี้ คังซานเสว่ มี่หรู่หยาน หวังซินอวี่ โจวเค่อ โจวฉุยหวูซวง และผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ

ไม่มีใครคิดเลยว่าพวกเขาจะได้เห็นรายชื่อของหลิงเฉิน อยู่ต่ำลงมาจากสิบลำดับแรก

แล้วรายชื่อบนหน้าจอก็เลือนหายไปอีกครั้ง กลายเป็นตัวอักษรกะพริบวิบวับอ่านไม่ได้ใจความขณะที่การจับคู่เกิดขึ้น

และแล้ว บนหน้าจอก็แสดงรายชื่อผู้เข้าแข่งขันที่ต้องออกมาประลองกันเป็นคู่แรก

…

ภายในห้องแต่งตัว

“คิดไม่ถึงเลยแฮะว่าคนแรกก็เป็นเราเลย”

หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า

ประตูห้องแต่งตัวเปิดออก เจ้าหน้าที่จากกระทรวงศึกษารับหน้าที่นำทางเขามุ่งหน้าออกไปจากเฉลียงทางเดิน ก้าวลงบันไดที่ลาดชันลงไปสู่ด้านล่าง

แสงสว่างในอุโมงค์มีเพียงน้อยนิด

นั่นทำให้ปลายอุโมงค์ยิ่งดูสว่างเจิดจ้ามากขึ้น

ด้านบนอุโมงค์ที่เขากำลังเดินอยู่ในขณะนี้ คือที่นั่งของคนดูในหอประชุมใหญ่

หลินเป่ยเฉินรับรู้ได้ถึงเสียงโห่ร้องให้กำลังใจที่ดังอยู่รอบทิศทาง

และเมื่อเขาเดินออกมาจากอุโมงค์นั้นเอง เสียงโห่ร้องก็ดังอื้ออึงมากยิ่งขึ้น

เด็กหนุ่มยกมือขึ้นทักทายกลุ่มคนดูโดยอัตโนมัติ

หลังจากนั้น เสียงโห่ร้องทั้งหมดทั้งมวลก็กลับกลายเป็นเสียงตะโกนสามพยางค์ว่า

“หลินเป่ยเฉิน!”

“หลินเป่ยเฉิน!”

“หลินเป่ยเฉิน!”

“หลินเป่ยเฉิน!”

เสียงตะโกนดังสะท้อนไปทั่วหอประชุม ถึงขนาดทำให้มีฝุ่นร่วงกราวลงมาจากเพดานเล็กน้อย

“นี่เราดังขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะเนี่ย?”

หลินเป่ยเฉินอดถามตัวเองไม่ได้

หรือว่าเพราะเสน่ห์อันมากมายล้นเหลือของเขา ชาวเมืองจึงหลงรักเขาอย่างโงหัวไม่ขึ้นแล้ว?

การที่มีคน 6,000 คนตะโกนเรียกชื่อของเขา มันช่างเป็นความรู้สึกที่ชวนให้หัวใจพองโตเหลือเกิน

พลัน เป็นอีกครั้งหนึ่งที่หลินเป่ยเฉินรู้สึกผูกพันกับเมืองหยุนเมิ่งขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ได้

และเมื่อเขาก้าวเดินขึ้นไปยืนอยู่บนเวทีประลอง หลินเป่ยเฉินถึงได้เห็นว่าคู่ต่อสู้ของเขาคือผู้ใด

ตงฟางจัน!

นับว่าผู้จัดการแข่งขันช่างจับสลากได้ถูกใจหลินเป่ยเฉินเหลือเกิน

ม่านพลังสีฟ้าอ่อนปรากฏขึ้นกางกั้นทั้งสี่ทิศของเวที ก่อนที่มันจะยกตัวขึ้นสูงและทอดตัวเชื่อมต่อกันที่ด้านบน กลายเป็นม่านพลังรูปโดมที่ครอบทับเวทีประลอง

ไม่มีพิธีการหรือขั้นตอนที่ไร้ประโยชน์

พวกเขาสามารถต่อสู้กันได้ทันทีเมื่อม่านพลังปรากฏขึ้นมา

หลินเป่ยเฉินไม่รีบร้อนลงมือ

ตงฟางจันกำลังแสยะยิ้มด้วยความมั่นใจ

“เรามาตัดสินผลแพ้ชนะต่อจากคืนประลองกระบี่กันดีกว่า หลินเป่ยเฉิน จากนี้ไป เจ้าจะได้รู้ว่าความแข็งแกร่งของมือกระบี่ที่แท้จริงมันเป็นเช่นไร!”

ตงฟางจันย่างสามขุมเดินมายืนอยู่กลางเวที

ตลอดการแข่งขันหลายบททดสอบที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าหลินเป่ยเฉินจะทำผลงานได้ดีมากกว่าเขา แต่ตงฟางจันก็ยังมั่นใจเป็นนักหนาว่าตนเองจะสามารถเอาชนะเจ้าแกะดำได้แน่นอน

ความมั่นใจนี้เด็กหนุ่มได้มาจากตอนต่อสู้กันในคืนประลองกระบี่ที่จวนผู้ว่า ซึ่งครั้งนั้นหลี่รั่วหลันต้องเข้ามาเป็นกรรมการห้ามศึกชั่วคราว มิฉะนั้นแล้ว ตงฟางจันมั่นใจว่าหลินเป่ยเฉินไม่มีทางรอดพ้นเงื้อมมือของเขาได้เด็ดขาด

ยิ่งนึกถึงเหตุการณ์ในคืนวันนั้น ตงฟางจันก็ยิ่งมั่นใจว่าตนเองต้องได้รับชัยชนะในวันนี้แน่นอน

สำหรับการแข่งขันครั้งนี้ ตงฟางจันตั้งเป้าไว้สูง เขาใช้เวลาหลายเดือนที่ผ่านมาฝึกวิชาเพิ่มความแข็งแกร่ง เพราะฉะนั้น ระดับพลังของเขาจึงคืบหน้ามากกว่าเดิมหลายเท่า

หลินเป่ยเฉินเหลียวหน้าไปมองกรรมการ ซึ่งก็คือหลี่ชิงสวนที่ยืนอยู่นอกเวที และถามว่า “ให้ข้าจัดการเขาได้หรือยังขอรับ?”

ประโยคนี้ถูกเผยแพร่ออกไปให้คนดูในหอประชุมได้ยินอย่างทั่วถึง ผ่านทางลำโพงขยายเสียงที่ขับเคลื่อนด้วยค่ายอาคม

หลังจากเกิดความเงียบขึ้นเล็กน้อย เสียงหัวเราะครื้นเครงก็ดังตามมา

นี่คือประโยคที่ไม่มีใครเขาถามกัน

แต่แน่นอนว่าหลินเป่ยเฉินอยู่บนเวทีประลอง จึงไม่ได้ยินเสียงจากด้านนอกม่านพลัง

นอกจากเสียงของกรรมการแล้ว ผู้เข้าแข่งขันทั้งสองคนจะไม่ได้ยินเสียงอื่นใดอีกทั้งสิ้น

หลี่ชิงสวนปากกระตุกเล็กน้อย

“การประลองเริ่มขึ้นตั้งแต่ที่ม่านพลังครอบลงมาแล้ว” เขาอธิบายด้วยความเหนื่อยใจ

“อ๋อ…”

หลินเป่ยเฉินหันกลับไปมองหน้าตงฟางจันที่ยืนอยู่ห่างออกไปประมาณสิบวา แล้วเด็กหนุ่มก็รวบรวมพลังลมปราณ กระแทกฝามือออกไปข้างหน้า

ลำแสงสีฟ้าพุ่งวาบออกจากฝ่ามือของหลินเป่ยเฉิน

ลำแสงนั้นหมุนตัวเป็นเกลียวคลื่นสวยงามราวกับพญามังกร

ตงฟางจันสีหน้าแปรเปลี่ยนไปทันที รีบโคจรพลังลมปราณในร่างกาย แต่ยังไม่ทันได้ตั้งกระบวนท่าตั้งรับ ลำแสงสีฟ้านั้นก็กระแทกเข้าใส่ตัวเขาแล้ว

“ฟู่!”

ตงฟางจันเลือดพุ่งกระฉูดออกปาก รู้สึกไม่ต่างจากโดนสัตว์อสูรขนาดมหึมาวิ่งเข้ามากระแทกเต็มแรง ร่างของเขาปลิวกระเด็นไปเหมือนกระสอบป่านเก่าขาด ก่อนที่จะตกลงกระแทกพื้นและกลิ้งไปอีกหลายตลบ สุดท้ายก็นอนแน่นิ่ง มีสภาพเหมือนสุนัขที่ตายแล้วตัวหนึ่ง!