ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 17 บทที่ 506 ปวดลึกถึงกระดูก
“โอ๊ย….”
หลินเมิ้งหยาหลุดเสียงร้องออกมาอย่างไม่อาจอดกลั้น กัดฟันแน่น ร่างกายแข็งเกร็ง
“ให้ข้าหยุดหรือไม่?”
จั่วชิวอวี้รู้สึกกังวลใจอยู่หลายส่วน แม้คนปกติธรรมดาได้รับยานี้จะรู้สึกอุ่นมือ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อใช้เหล้าเข้าช่วยกระตุ้น หลินเมิ้งหยาจะร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดถึงเพียงนี้
สายตาจับจ้องใบหน้าขาวซีดของนางที่เริ่มมีเหงื่อซึม จั่วชิวอวี้มิกล้าใช้ยาต่อไปอีก
“ไม่…ไม่เป็นไร….เจ้าทำต่อเถิด”
หลินเมิ้งหยาเปล่งเสียงลอดไรฟัน แม้ยาตัวนี้จะน่าพิศวง แต่นอกจากความเจ็บปวดแล้ว นางก็ไม่มีความรู้สึกอื่นใด
ไม่ได้ นางจะต้องอดทนพยายามต่อไป หลงเทียนอวี้ยังรอนางอยู่
“ก็ได้ แต่ถ้าเจ้าทนไม่ไหว ข้าจะหยุดทันที”
เมื่อเห็นความมุ่งมั่นของหลินเมิ้งหยา จั่วชิวอวี้จึงเดินหน้าต่อ เขาใช้ฝ่ามือนวดไหล่ของนาง
ความร้อนดั่งไฟเผากลายเป็นตัวทดสอบความอดทนของหลินเมิ้งหยา
เสียงร้องด้วยความทรมานของหลงเทียนอวี้กลายเป็นความกล้าให้นางสู้ต่อ
ร่างบางอ่อนยวบลงกับตั่ง หลินเมิ้งหยาหอบหายใจถี่ๆ เหมือนคนเพิ่งถูกช่วยขึ้นมาจากน้ำ ร่างกายชุ่มไปด้วยเหงื่อ
“เอาล่ะ ใกล้จะเสร็จแล้ว”
ผู้อาวุโสฉางเคยบอกว่าเมื่อใดที่ยาซึมเข้าไปในร่างทั้งหมด เมื่อนั้นการรักษาก็จะเสร็จสิ้น
เนื้อยาสีแดงดั่งโลหิตค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีชมพู สุดท้ายสีของมันเริ่มจางลงแล้วซึมเข้าไปในผิวของหลินเมิ้งหยาจากการนวดคลึงของเขา
ทว่าความเจ็บปวดที่แท้จริงของหลินเมิ้งหยาเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น
“โอ๊ย…”
เมื่อเทียบกับเมื่อครู่แล้ว ความเจ็บปวดยิ่งทวีความรุนแรง
หากมิใช่เพราะนางได้เห็นกับตาตัวเองว่าแขนขวาใกล้จะกลับมามีอาการดีขึ้นเหมือนก่อนแล้ว บางทีนางอาจคิดว่าแขนขวาของตนเองกำลังถูกไฟเผาจนเหลือเพียงกระดูก
“เมิ้งหยา อดทนไว้! เจ้าต้องอดทน!”
มองหลินเมิ้งหยาที่ส่งเสียงหวีดร้องด้วยความทรมาน หัวใจของจั่วชิวอวี้หนักอึ้ง
ผู้อาวุโสฉางบอกว่าเมื่ออาการบาดเจ็บดีขึ้น อาการเจ็บปวดก็จะทุเลาลงตาม
ทว่าอาการบาดเจ็บของหลินเมิ้งหยาค่อนข้างสาหัส ฉะนั้นอาจต้องใช้เวลาอย่างน้อยกว่าครึ่งเดือนจึงจะหายดี
“ข้าทนได้! ข้าจะต้องทนให้ได้! โอ๊ย! เปี่ยวเกอ หาของมาอุดปากข้าเร็ว! ข้าขอร้อง!”
ความเจ็บปวดทำให้เรี่ยวแรงของหลินเมิ้งหยาใกล้จะหมดเต็มที
ขณะเดียวกันนางสูดลมหายใจเข้าถี่ ทว่าถอนหายใจออกมาไม่บ่อยนัก
ผมสีดำขลับเปียกชื้นติดหน้าผากขาวนวล สีหน้าของนางในเวลานี้น่าตื่นตระหนกกว่าหลงเทียนอวี้หลายเท่า
“เปี่ยวเม่ย เจ้าอดทนอีกนิด”
แม้จะไม่อาจทำใจ แต่จั่วชิวอวี้ก็หาผ้าสะอาดผืนหนึ่งใส่เข้าปากหลินเมิ้งหยา
เสียงภายในห้องค่อยๆ สงบลงแล้ว
หลินเมิ้งหยาไม่อยากให้หลงเทียนอวี้ได้ยินเสียงร้องด้วยความทรมานของนาง
จั่วชิวอวี้ขบกรามแน่น เขามองน้องสาวที่สลบไปด้วยสายตาเจ็บปวด
หลงเทียนอวี้เอ๋ย หากภายภาคหน้าเขาบังอาจรังแกหลินเมิ้งหยาแล้วล่ะก็ เขา…ไม่สิ คนทั้งเมืองหลินเทียนจะไม่มีวันปล่อยเขาไปแน่!
นางสะลึมสะลือตื่นขึ้นมา สิ่งเดียวที่รู้สึกได้คือความเจ็บปวดบริเวณไหล่ขวา
แต่เพราะระบบเซินหนงยังคงทำงานอยู่ ดังนั้นนางจึงยังคงมีสติอยู่บ้าง
เพียงแต่นางไม่อาจขยับได้แม้กระทั่งปลายนิ้ว
“จวิ้นจู่…จวิ้นจู่เป็นอะไรไปพ่ะย่ะค่ะ?”
อวี้อันที่เพิ่งหายใจหายคอคล่องแล้วเดินออกจากห้องเหลือบเห็นจวิ้นจู่ที่มีท่าทีสะลึมสะลือบนตั่ง
“ชู่ว อย่าเอ็ดไป พวกเจ้าจงทำเรื่องที่พวกเจ้าต้องทำไปเถิด สิ่งที่ได้เห็นวันนี้ห้ามแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด”
จั่วชิวอวี้คอยดูแลอยู่ข้างกายหลินเมิ้งหยา แววตาสับสนกระวนกระวาย
เขาคิดมาตลอดว่านางฉลาดเฉลียวเหมือนกันกับฮวงซง แต่ใครจะคิดเล่าว่าเพียงเพราะคำว่ารัก พวกเขาจึงกลายเป็นคนโง่เขลาเช่นนี้
เพียงได้เห็นท่าทางของหลินเมิ้งหยา เขารู้สึกราวกับได้เห็นภาพทับซ้อนของฮวงซงเมื่อห้าปีก่อน
ทว่า……
ก้มหน้าลง ค่อยๆ ปัดเส้นผมที่ร่วงลงปรกหน้าผากของนาง
หวังว่า…นางจะมีจุดจบที่งดงาม
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด หลินเมิ้งหยาค่อยๆ ฟื้นขึ้น
ตอนนี้เสื้อผ้าถูกเปลี่ยนเรียบร้อยแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นนางยังนอนอยู่บนเตียงของคนแปลกหน้า
ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง จั่วชิวอวี้น่าจะอุ้มนางมาที่นี่
ขมวดคิ้ว ความเจ็บปวดในคราวนี้สาหัสยิ่งนัก
“จวิ้นจู่ฟื้นแล้ว หนู่ปี้จะประคองพระองค์ล้างหน้านะเพคะ”
เสียงอ่อนโยนพลันดังขึ้น หลินเมิ้งหยาเงยหน้ามองก่อนจะได้เห็นใบหน้าของคนแปลกหน้า
แต่เมื่อลองไตร่ตรองดูให้ดี นางจึงจำได้ว่าอีกฝ่ายเป็นสาวใช้ของจวนไท่จื่อ
บางทีนางอาจเป็นคนเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ตนเองอีกด้วย
ไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะยิ้ม ดูท่านางคงทำให้ทุกคนต้องลำบากแล้ว
“ขอบใจเจ้ามาก”
สาวใช้นำผ้าสะอาดมาเช็ดหน้าให้หลินเมิ้งหยา ก่อนจะแย้มยิ้มน้อยๆราวกับคิดไม่ถึงเลยว่าจวิ้นจู่จะเกรงใจตนเองเช่นนี้
“การได้รับใช้จวิ้นจู่เป็นวาสนาของหนู่ปี้แล้ว จริงสิเพคะ เซิ่นจวิ้นอ๋องรับสั่งว่าหากท่านฟื้นแล้วให้ท่านไปหาที่ห้องอ่านหนังสือเพคะ”
สาวใช้ถ่ายทอดคำพูดอย่างมิขาดตกบกพร่อง บางทีนางอาจจะไม่เคยเจอเจ้านายที่เกรงใจตัวเองมาก่อน
“อืม ลำบากเจ้าแล้ว”
หลินเมิ้งหยารับผ้าจากมือของนางขึ้นเช็ดหน้าอีกหน
เมื่อครู่นางลองขยับแขนขวา แม้จะยังไม่อาจขยับเขยื้อนได้ แต่ก็มีความรู้สึกแตกต่างออกไป ส่วนความแตกต่างคืออะไรนั้น นางเองก็ไม่แน่ใจนัก
แต่มีความต่างอย่างแน่นอน
ดูท่าความทรมานของนางจะไม่สูญเปล่า
ตอนนี้เป็นเวลาเย็นย่ำแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าเวลาจะล่วงเลยไปอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้
ภายในห้องอ่านหนังสือ จั่วชิวอวี้กำลังเอ่ยกำชับอวี้อัน
หลิงเย่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตูราวรูปปั้น
ไม่แปลกใจที่พวกเขาทั้งสองจะเมินเฉยเขา ด้วยอุปนิสัยของหลิงเย่ นอกจากนางและหลงเทียนอวี้แล้ว เกรงว่าคงไม่มีใครได้ยินสิ่งใดจากปากของเขา
แน่นอนว่ายกเว้นเจ้าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ชิงหูด้วยอีกคน
“พระชายา”
เมื่อเห็นหลินเมิ้งหยา หลิงเย่รีบโค้งคำนับพลางเอ่ยทักทายด้วยความเคารพ
คนอื่นๆ อีกสองคนแสดงท่าทางตกตะลึง พวกเขาหันไปมองหลินเมิ้งหยาที่กำลังก้าวเข้ามา
“ที่แท้เขาก็มิได้เป็นใบ ข้าคิดว่าเขาพูดไม่ได้เสียอีก”
จั่วชิวอวี้เอ่ยเหน็บ เมื่อครู่บุรุษผู้นั้นยืนนิ่งไม่ต่างอันใดจากท่อนไม้
ไม่ว่าตนเองจะพูดด้วยอย่างมีมารยาทมากขนาดไหน แต่อีกฝ่ายกลับแสดงท่าทีเหมือนมองไม่เห็นเขา
“เจ้าอย่าใส่ใจไปเลย หลิงเย่เป็นคนแบบนี้นี่แหละ จริงสิ พวกเจ้ากำลังคุยอะไรกันหรือ?”
เมื่อเดินผ่านเข้าประตูไป หลินเมิ้งหยาหาเก้าอี้นั่ง
ขณะเดียวกันหลิงเย่ที่ยืนนิ่งอยู่ตลอดเวลาพลันเข้ามายืนด้านหลังของนาง แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจยิ่งกว่าเดิมคือใบหน้าที่เหมือนกันกับหลงเทียนอวี้อย่างกับแกะ
หรือองครักษ์ผู้ซื่อสัตย์คนนี้เองก็เป็นองค์ชายแห่งต้าจิ้น แต่เพราะทำผิดในวัยเยาว์จึงถูกลงโทษ?
“พวกเขาเพียงหน้าตาเหมือนกันเท่านั้น อีกอย่างพวกเจ้าจงกลืนเรื่องนี้ลงท้องไปเสีย ห้ามมิให้พูดออกไปเด็ดขาด”
หลินเมิ้งหยากวาดสายตามองพวกเขาทั้งสองที่กำลังจ้องใบหน้าของหลิงเย่ตาไม่กระพริบ
“จริงสิ เจ้ารู้เรื่องที่จวนสกุลจูถูกฆ่าแล้วหรือไม่?”
ในที่สุดหัวข้อสนทนาก็เปลี่ยนไป จั่วชิวอวี้เอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หลินเมิ้งหยาผงกศีรษะลง อันที่จริงต้องบอกว่านางคาดการณ์เอาไว้แล้ว
หากคิดจะถลกหนังพยัคฆ์ เช่นนั้นก็ต้องเตรียมใจรับความเสี่ยงที่จะโดนพยัคฆ์ขย้ำ คาดว่าสกุลจูคงคาดไม่ถึง
“หลิงเย่ เจ้าช่วยพวกจูฉีหยุนเอาไว้ได้หรือไม่?”
หลิงเย่ที่ปิดปากสนิทตลอดเวลาจึงรีบตอบ
“ช่วยออกมาได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ จูฉีหยุน จูเจียจิงและลูกสาวคนเล็กของจูฉีหยุนนามว่าจูเซียงเอ๋อร์ ทั้งสามถูกข้าสะกดจุดแล้วขังไว้ในตู้เก็บเสื้อผ้าเพื่อทำให้พวกเขาเห็นว่าคนในครอบครัวถูกฆ่าตายเช่นไร”
คำพูดเหล่านี้ทำให้จั่วชิวอวี้และอวี้อันตกตะลึง
อำมหิตยิ่งนัก! ทำได้เพียงมองดูคนที่รักถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตา นี่…นี่มันโหดเหี้ยมจริงๆ
“ตอนนี้คนเหล่านั้นอยู่ที่ไหน? เป็นอย่างไร?”
หลินเมิ้งหยากลับเอ่ยถามเรียบๆ ราวกับไม่ใส่ใจ
“ตอนนี้ถูกขังอยู่ในโรงเก็บฟืนพ่ะย่ะค่ะ ข้ากำลังรอคำสั่งจากพระองค์”
หลิงเย่เองก็ไร้ซึ่งความเมตตาเฉกเช่นเดียวกับหลินเมิ้งหยา
จั่วชิวอวี้และอวี้อันที่กำลังมองพวกเขาทั้งสองอดที่จะยิ้มขมขื่นไม่ได้
แม้ทุกคนจะมากับสายลมแล้วจากไปพร้อมกับสายฝน แต่ดูเหมือนจิตใจของพวกเขาทั้งสองจะโหดเหี้ยมกว่าที่เขาคิด
“ไม่ต้องรีบ จงขังพวกเขาเอาไว้สักสองวัน แต่อย่าปล่อยให้พวกเขาตายไปเสียก่อน”
หลินเมิ้งหยากำชับ หลิงเย่จึงเดินออกไปทำตามคำสั่งทันที
จั่วชิวอวี้เห็นว่าหลิงเย่จากไปแล้ว เขาจึงกระซิบกับหลินเมิ้งหยา
“เหตุใดเจ้าจึงพาตัวจูฉีหยุนกลับมาเล่า? แม้เจ้าจะช่วยพวกเขา แต่พวกเขาก็ไม่มีทางกลับตัวกลับใจหรอก เจ้าจะต้องตรองดูให้ดี หรือเจ้าจะให้พวกเขามีโอกาสกลับมาแว้งกัดเจ้าอีก?”
หลินเมิ้งหยาหันไปมองจั่วชิวอวี้ ก่อนจะหัวเราะออกมา
“ข้ามิได้คิดจะร่วมมือกับพวกเขาเสียหน่อย ข้ามีวิธีทำให้พวกเขาคายความลับทั้งหมดออกมา จากนั้นก็ค่อยส่งพวกเขาลงนรก”
ตั้งแต่ต้นจนจบ หลินเมิ้งหยาไม่คิดหลอกใช้จูฉีหยุนเลยแม้แต่น้อย
เหตุเพราะในสายตาของนาง พวกเขาเป็นเพียงคนตายเท่านั้น
หากพวกเขาก้าวเท้าออกไปจากจวนไท่จื่อแล้ว ชีวิตของพวกเขาจะเป็นเช่นไรก็มิเกี่ยวข้องกับนาง
แต่อย่างน้อยนางก็ดีกว่าคนเหล่านั้น เหตุเพราะนางไว้ชีวิตพวกจูฉีหยุนชั่วคราว
“เท่าที่ข้าดู เจ้าหลอกใช้พวกเขาเพื่อแว้งกัดคนที่อยู่เบื้องหลังจะไม่ดีกว่าหรือ? เจ้าทำเช่นนี้จะมิเป็นการเสียแรงเปล่าหรือ?”
จั่วชิวอวี้คาดเดาความคิดของหลินเมิ้งหยาไม่ออก ยิ่งไปกว่านั้นเขารู้สึกว่าหลินเมิ้งหยาเปลี่ยนไปไม่เหมือนก่อน
“สุนัขที่กัดมักไม่เห่า แต่พวกเขาร้องเสียงดังยิ่งกว่าใคร คนพวกนี้ไม่มีค่าแม้แต่จะเป็นดาบของข้า พวกเขาเป็นเพียงจุดด่างพร้อยเท่านั้น อวี้เปี่ยวเกอ คาดว่าอีกสองสามวันต่อจากนี้สถานการณ์ในเมืองหลวงเก่าอาจเปลี่ยนไป เจ้าต้องระมัดระวังตัวเองให้ดี”