ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - เล่มที่ 13 บทที่ 361 ปลอดโปร่งโล่งสบายไปทั้งตัว
เมื่อเซียวจิ่นหันกลับมาอีกครั้งจึงพบว่าเซียวเยี่ยนออกไปอย่างเงียบเชียบนานแล้ว ด้วยไม่เห็นเงาร่างของเขาในตำหนักบรรทม
ความเปลี่ยนแปลงของหลินชิงเวยมีสาเหตุมาจากเซียวเยี่ยนอย่างแท้จริง ยามนี้เซียวเยี่ยนมาพูดเรื่องเหล่านี้จะมีประโยชน์อันใดเล่า?
สีหน้าของเซียวจิ่นค่อยๆ ปรากฏให้เห็นความขมฝาด เขาพึมพำเบาๆ “ชิงเวย ขอเพียงเจ้ามีใจชมชอบเจิ้นแม้เพียงเล็กน้อย เจิ้นล้วนทำเพื่อเจ้าได้ทุกอย่าง เพื่อไม่ให้เจ้าต้องเจ็บช้ำน้ำใจแม้สักกระผีก”
น่าเสียดาย เจ้าไม่ชมชอบเจิ้น
หลังจากเซียวเยี่ยนไปเข้าประชุมเช้า ท้องฟ้าสว่างไสว สุ่ยฉ่ายชิงตื่นนอนแล้ว ทว่านางกลับรู้ว่าเซียวเยี่ยนไม่ได้กลับมาทั้งคืน
บัดนี้ใบหน้าของนางหายช้ายิ่งยวด ผนวกกับนางจมอยู่ในความเศร้าสลดตลอดทั้งวัน ดูเหมือนไม่ว่าผู้ใดล้วนติดค้างนางทั้งสิ้น ส่งผลให้แม้นางอยู่ในตำหนักอวี้หลิงก็ยังต้องใส่ผ้าโปร่งเพื่อปิดบังใบหน้า ด้วยไม่ปรารถนาให้ผู้อื่นเห็นสภาพเยี่ยงนี้ของตน
เพียงแต่เรื่องราวของนางได้ถูกโจษจันไปทั่ววังหลวงเนิ่นนานแล้ว ไม่ว่าผู้ใดต่างเห็นเรื่องของนางเป็นที่น่าตลกขบขัน คิดว่าตนเองนั้นเป็นคนฉลาดเฉลียว หากจะเสแสร้งแกล้งทำก็มิใช่ทำกันเช่นนี้ ถึงที่สุดแล้วยังคงเป็นการทำร้ายตัวเอง
สุ่ยฉ่ายชิงอารมณ์ไม่ดีอย่างยิ่ง เมื่อคืนนางรอเซียวเยี่ยนจนถึงกลางดึก เขาก็ยังไม่กลับมา ตัวนางรอกระทั่งค่อนดึกจึงหลับไปด้วยรอไม่ไหว เมื่อเช้าตื่นขึ้น ประโยคแรกที่นางถามก็คือ “เซ่อเจิ้งอ๋องกลับมาแล้วหรือยัง?”
นางกำนัลข้างกายตอบว่า “กลับมาแล้วเจ้าค่ะ แม่นางไม่ต้องเป็นห่วง เซ่อเจิ้งอ๋องไปประชุมเช้าตั้งแต่เช้าตรู่แล้วเจ้าค่ะ”
“มีใครบอกหรือไม่ว่าเมื่อคืนเขาไปที่ใด?”
นางกำนัลผู้ทำหน้าที่สางผมให้นางตอบ “เรื่องนี้บ่าวไม่ทราบเช่นกันเจ้าค่ะ หากถามเซียวฉีผู้รับใช้ข้างกายท่านอ๋องอาจจะรู้ เขาเป็นองครักษ์ของท่านอ๋องย่อมรู้มากว่าผู้อื่นอยู่บ้างเจ้าค่ะ”
หลังจากล้างหน้าล้างตาสางผมเรียบร้อย สุ่ยฉ่ายชิงกินอาหารเช้าและดื่มยาแล้วจึงออกไปเดินเล่นในลานเรือนด้านนอก เพียงแต่ในยามปกติเซียวเยี่ยนไม่อนุญาตให้สุ่ยฉ่ายชิงออกมาที่นี่ นางจึงไม่ค่อยได้พบหน้าเสี่ยวฉี บัดนี้สุ่ยฉ่ายชิงแสร้งออกมาเดินเล่นเพื่อตามหาเสี่ยวฉี ถือว่านางมีโชคไม่เลว ด้วยเห็นเสี่ยวฉีกำลังจะออกจากตำหนักอวี้หลิง
เสี่ยวฉีเห็นนางจึงสาวเท้าก้าวใหญ่เพื่อจะออกไปจากที่นี่ เขาเร่งฝีเท้าราวกับไม่อยากรั้งอยู่ที่นี่นานเท่าใดนัก
ทว่าสุ่ยฉ่ายชิงยังคงส่งเสียงรั้งเขาไว้ “องครักษ์ฉีโปรดหยุดก่อน”
เสี่ยวฉีหยุดชะงัก หันหน้ากลับไป “แม่นางสุ่ยมีอะไรจะสั่งขอรับ?”
นางกำนัลประคองสุ่ยฉ่ายชิงค่อยๆ ก้าวเข้ามาใกล้ กลิ่นหอมชนิดหนึ่งลอยมาตามลม นางยอบกายลงเล็กน้อยถามเสียงอ่อน “ที่จริงไม่ควรรบกวนองครักษ์เซียว แต่จนใจที่ฉ่ายชิงมีเรื่องจะถาม”
“แม่นางสุ่ยมีเรื่องอันใดจะถาม เชิญถามได้”
สุ่ยฉ่ายชิง “เมื่อคืนท่านอ๋องไม่ได้กลับมาทั้งคืน องครักษ์เซียวเป็นองครักษ์ผู้ติดตามข้างกายท่านอ๋อง รู้หรือไม่ว่าเขาไปที่ใด?”
เสี่ยวฉีอึ้งไปครู่หนึ่ง ทว่ายังคงตอบตรงๆ ไม่คิดปิดบัง “ท่านอ๋องไปหาแม่นางหลินข้างนอกวัง” ในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชา เขาควรพูดตามความจริงกระมัง สุ่ยฉ่ายชิงผู้นี้เป็นฝ่ายถามขึ้นมาเอง มิใช่เขาต้องการพูดให้นางฟังนี่นา
ไม่รู้ด้วยเหตุใด หลังจากเสี่ยวฉีพูดออกไปแล้ว เขากลับรู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายไปทั้งเนื้อทั้งตัว
สุ่ยฉ่ายชิงได้ยินเช่นนั้นกลับตะลึงงัน เปลือกตาของนางกะพริบถี่ๆ ฝืนยิ้มและพูดออกมาว่า “เยี่ยนช่างมีน้ำใจนัก แม่นางหลินไม่ยินยอมรักษาโรคของข้า เยี่ยนกลับไม่ยอมถอดใจ ทำให้ข้ารู้สึกละอายแก่ใจเหลือเกินที่ทำให้เยี่ยนต้องเหน็ดเหนื่อยเช่นนี้”
เสี่ยวฉี “แม่นางคงเข้าใจผิดแล้ว ท่านอ๋องมิได้ไปตามแม่นางหลินมารักษาโรคให้แม่นาง ด้วยอุปนิสัยของแม่นางหลิน หากนางตัดสินใจแล้วต่อให้สิบท่านอ๋องไปกราบกรานขอร้อง นางก็ไม่หวั่นไหวแม้เพียงครึ่งส่วน”
“เช่นนั้น…เยี่ยนไปหานางทำอันใด?” สุ่ยฉ่ายชิงถาม
เสี่ยวฉี “ระหว่างทางที่ข้าน้อยกลับวัง เห็นแม่นางหลินดื่มสุราอยู่ในร้านสุรา หลังจากนำเรื่องนี้รายงานท่านอ๋อง ท่านอ๋องเป็นห่วงแม่นางหลินดื่มสุราเมามายจนเสียสุขภาพ จึงออกจากวังไปตามหานางทั้งคืน”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้” สีหน้าสุ่ยฉ่ายชิงซีดขาว แต่ยังคงประคองรอยยิ้มบนใบหน้าเอาไว้ “เยี่ยนและแม่นางหลินมีไมตรีต่อกันในอดีต บัดนี้เขาทำเช่นนี้ก็เป็นเรื่องสมควร”
“แม่นางสุ่ยยังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่ หากไม่มีแล้วข้าน้อยขอตัวก่อน”
“เจ้าไปทำงานของเจ้าเถิด”
หลังจากเสี่ยวฉีหมุนกายออกไป สุ่ยฉ่ายชิงยืนนิ่งอยู่ในลานเรือนเป็นเวลานาน กระทั่งดวงอาทิตย์ขึ้นมาส่องแสงเจิดจ้า นางกำนัลเกลี้ยกล่อมหลายครั้ง นางจึงยอมหมุนกายกลับเข้าไปพักผ่อนในเรือน
หลินชิงเวยพักอาศัยอยู่ในจวนของหลีเช่อเป็นเวลาหลายวันจึงกลับไป ขณะที่นางกำลังเดินอยู่ลำพังบนถนน เมื่อนางเดินผ่านถนนและหอน้ำชาที่คุ้นตา ทำให้นางย้อนคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา
เปลือกถั่วลิสงถูกโยนลงมาจากชั้นสอง ตกลงมาใส่ศีรษะของหลินชิงเวยจังๆ เพียงแต่ครั้งนี้หลินชิงเวยว่องไวยิ่งนัก เปลือกถั่วลิสงนั้นยังไม่ทันได้ตกลงมาใส่นาง นางเบี่ยงกายหลบไปด้านข้างสองก้าว ส่งผลให้เปลือกถั่วลิสงตกใส่ร่างของสตรีอีกนางหนึ่งที่เดินผ่านมา
สตรีนางนั้นลูบศีรษะของตนเองแล้วมองถั่วลิสงบนพื้นด้วยความงุนงง
หลินชิงเวยเงยหน้าขึ้นจึงเห็นใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มอันคุ้นเคย นางจึงตบไหล่ของสตรีนางนั้นและชี้ไปที่ชั้นสอง “เขาเป็นคนทำ”
สตรีนางนั้นเงยหน้ามองขึ้นไปด้วยความโมโหเล็กน้อย
ไหนเลยจะคิดว่านางจะได้เห็นคุณชายรูปงามยิ้มตาหยีอยู่ข้างกรอบหน้าต่าง ในมือโบกพัด ให้ความรู้สึกงดงามประดุจภาพวาด
เซียวอี้ยิ้มให้สตรีนางนั้น “ขออภัยแม่นางท่านนี้ ข้ามิได้มีเจตนา”
แม่นางท่านนั้นเห็นบุรุษรูปงามแสนสุภาพเช่นนี้ ไหนเลยจะมีแก่ใจโมโหอยู่อีก แก้มทั้งสองข้างกลายเป็นสีแดงเรื่อด้วยขัดเขิน ร่างอรชรอ้อนแอ้นหมุนกายเดินจากไป ในใจคิดว่าหากคุณชายท่านนี้มีใจ คิดจะทำให้นางสนใจเช่นนั้น เขาย่อมต้องตามนางมาแน่นอน
เพียงแม่นางท่านนั้นเดินไปจนสุดถนนสายหนึ่งก็ไม่เห็นคุณชายตามมา
ยามนี้หลินชิงเวยหรี่ตาลงจับจ้องมองเซียวอี้ที่อยู่บนชั้นสองชั่วอึดใจหนึ่ง แสงตะวันที่สาดส่องลงกระทบดวงตาทั้งคู่ของนาง ส่งให้ดวงตาของนางระยิบระยับงดงามราวกับอัญมณี
เซียวอี้หยอกเย้า “เวยเวย ชวนมองหรือไม่? ไม่สู้ขึ้นมาข้างบน ข้าให้เจ้ามองให้พอ”
บนถนนมีคนเดินไปมา เสียงสนทนาจ้อกแจ้กจอแจ หลินชิงเวยชะงักไปอึดใจหนึ่งสุดท้ายยังคงเดินขึ้นไปชั้นสอง นางเดินขึ้นไปชั้นสองอย่างคุ้นทางโดยไม่จำเป็นต้องให้เสี่ยวเอ้อร์นำทาง ตรงไปยังโต๊ะของเซียวอี้
เซียวอี้นั่งสะบัดแขนเสื้ออยู่ข้างโต๊ะ เขาหยิบถ้วยน้ำชาสีเขียวใบหนึ่งขึ้นมารินน้ำชาให้หลินชิงเวย เมื่อหลินชิงเวยก้าวเข้ามานั่งลงฝั่งตรงข้าม เขาได้วางน้ำชาถ้วยนั้นไว้ข้างมือของหลินชิงเวย
คนทั้งสองไม่พูดไม่จา
หลินชิงเวยยกกาน้ำชาขึ้นมาดื่มลงไปสองอึก
เซียวอี้ “นักดนตรีชายมาใหม่ วันนี้เขาบรรเลงเพลงไม่เลวทีเดียว ลองฟังดู”
หลินชิงเวยสงบจิตใจลง ฟังท่วงทำนองอันไพเราะเสนาะหูจากเสียงพิณ ราวกับสายน้ำของน้ำตกก็ไม่ปาน ทั้งๆ ที่ข้างนอกเต็มไปด้วยเสียงอึกทึกโวยวาย แต่ข้างในนี้กลับสงบเงียบ
เซียวอี้ดูเหมือนฟังทำนองนั้นอย่างคลั่งไคล้ เขาเอนกายพิงเก้าอี้ด้วยท่าทางเกียจคร้าน นิ้วมือของเขาเคาะลงบนโต๊ะเป็นจังหวะเดียวกับเสียงพิณ
เมื่อดนตรีบรรเลงจบ เด็กหนุ่มในชุดสีขาวท่าทางสุภาพคนหนึ่งเดินถือถาดเข้ามาใบหนึ่ง เดินผ่านทางเดินเมื่อมาถึงโต๊ะของเซียวอี้และหลินชิงเวย เซียวอี้ยกมือขึ้นโยนเงินก้อนหนึ่งให้เขา หลินชิงเวยเห็นในถาดนั้นยังมีเงินรางวัลจากลูกค้าคนอื่นอีกไม่น้อยทีเดียว
เด็กหนุ่มยอมกายลงคารวะอย่างอ่อนน้อม “ขอบคุณคุณชาย”
เซียวอี้จึงละเลื่อนสายตากลับที่ร่างของหลินชิงเวย เขาขมวดคิ้ว “เพิ่งจะไม่ได้พบกันเพียงไม่กี่วัน เจ้าดูอิดโรยลงมาก”