ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 437 ดูแลตัวเองให้ดี
ลู่จือหว่านรู้สาเหตุที่แม่สามีมีสีหน้าตกใจ
เป็นเพราะนึกไม่ถึงว่า น้องชายของนางจะไม่ไว้หน้าตระกูลฉีต่อหน้าเหล่าสตรีครอบครัวขุนนางแบบนี้
ข้ามหน้าข้ามตาตระกูลฉีมาพานางออกไปทันที
ในใจของแม่สามีอาจคิดว่า หากท่านย่าออกหน้าให้นางไปจากตรงนี้ หรือได้ข่าวเรื่องของนาง แม่สามีจะไม่รู้สึกว่าไม่เหมาะสม
เพราะถ้าตัดเรื่องความแตกต่างทางสถานะ ท่านย่าก็ยังอาวุโสกว่าอยู่ดี
แต่เวลานี้ลู่จือหว่านไม่กลัวแม่สามีจะโกรธเลยสักนิด อยากคิดอย่างไรก็คิดไป เรื่องที่นางเป็นห่วงคือเรื่องอื่น
ลู่จือหว่านมองแผ่นหลังของลู่พั่นที่อยู่ข้างหน้า รูปร่างนั้นสูงใหญ่ น่าพึ่งพา ผึ่งผาย
ไม่ทันได้รู้สึกตัว น้องชายของนางก็เติบโตกลายเป็นบุรุษที่กล้าเผชิญหน้ากับทุกสิ่งแล้ว
ทั้งยังเอาใจใส่
ดูภายนอกเหมือนเย็นชา แต่กลับมีหัวใจที่อ่อนโยน
น้องชายของนางสังเกตเห็นว่า สาวใช้ประคองนางเดินไปอย่างช้าๆ จึงจงใจผ่อนความเร็วฝีเท้า รอนางเดินตามไป
ไม่ใช่น้องชายที่เคยขี้เกียจพูดคุยกับนางอีกต่อไป ไม่ใช่น้องชายที่พอพูดว่าพวกพี่ๆ จะไปเล่นที่เรือนของเขาก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
“ข้าเป็นผู้ชาย จะเล่นกับพวกพี่สาวได้อย่างไร” นางยังจำน้ำเสียงกระฟัดกระเฟียดแบบเด็กๆ ยามที่หมินหรุ่ยพูดประโยคนี้ได้
พอนึกถึงตรงนี้ ดวงตาของลู่จือหว่านก็เริ่มแดง ทันใดนั้นน้ำตาอุ่นๆ ก็ร่วงเผาะ
ท่านพ่อไปอยู่ที่แนวหน้าแล้ว ครั้งนี้คงเอาจริงแล้ว
แม้จะมีคำพูดที่ว่า ‘ไม่ทำสงครามในหน้าหนาว’ อ๋องพวกนั้นไม่คุ้นเคยกับสภาพอากาศทางเหนือ ก็ไม่กล้าผลีผลามลงมือเช่นกัน
แต่แม่ทัพก็ยังคงต้องทนต่อความหนาวที่แม้แต่จะง้างคันธนูก็ยังยากลำบาก ชุดเกราะหนาวเย็นเกินกว่าจะปล่อยให้แนบเนื้อ
นางเป็นสตรี ไม่รู้เรื่องการทำสงคราม แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจหลักการนี้
สงครามจะสู้รบกันที่ไหน สู้เมื่อใด ไม่ใช่เรื่องที่คนที่นี่หรือพวกเราจะคาดเดากันเอาเองได้
แต่ตัดสินใจร่วมกันโดยศัตรูกับสวรรค์
จะประมาทไม่ได้แม้แต่น้อย
ลู่จือหว่านกังวลเหลือเกินว่าอีกไม่นานน้องชายจะต้องพาทหารไปออกศึก
ตระกูลลู่ของพวกนางมีทายาทสืบสกุลเพียงคนเดียว ไม่ไปได้หรือเปล่า
ก็ไม่รู้ว่าฮ่องเต้องค์ใหม่จะเหมือนเมื่อก่อนหรือไม่ ตั้งใจไม่ส่งหมินหรุ่ยไปทัพหน้า
สามีของนางช่วงนี้วุ่นอยู่กับการช่วยขนส่งอาวุธไปสนับสนุนตั้งแต่วันที่หนึ่ง
เรียกได้ว่าตอนนี้ขุนนางทุกคนวุ่นอยู่เรื่องเดียว นั่นก็คือเตรียมพร้อมการทำสงครามให้ทัพหน้า
ก่อนสามีของนางออกไป ได้อธิบายเพื่อให้นางสบายใจว่า
ได้ยินมาจากกงกงที่จัดการเรื่องสุสานราชวงศ์ อีกสักพักจะมีการเกณฑ์ทหารขนานใหญ่
สามีของนางเคยวิเคราะห์ไว้ว่า หมินหรุ่ยฝึกทหารมีระเบียบแบบแผน ฮ่องเต้อาจเก็บไปพิจารณา หลายปีมานี้ตระกูลลู่ก็ถือว่าจงรักภักดีอย่างสุดความสามารถแล้ว ตระกูลลู่มีทายาทสืบสกุลเพียงคนเดียว ส่งหมินหรุ่ยไปฝึกทหาร ไม่ใช่ให้เขาพาทหารไปออกศึก
แต่สามีของนางพูดถูก ตรงนี้มีข้อสำคัญอยู่อย่าง กลัวว่าหมินหรุ่ยจะไม่ตอบตกลง
คนที่มีภาวะเป็นผู้นำมาแต่กำเนิด มีหรือจะยอมอยู่แนวหลังได้
ลู่จือหว่านนึกถึงคำพูดที่สามีของนางวิเคราะห์ให้ฟังก็รู้สึกปวดใจ
“น้องพี่” นางอึกอักอยากพูดว่า เจ้าไปฝึกทหารเถอะ
ลู่พั่นกลับไม่เปิดโอกาสให้ลู่จือหว่านพูดไร้สาระ แหวกม่านออก “ขึ้นรถ ดูแลตัวเองให้ดี วันหลังหากไม่สะดวกก็แค่บอก ไม่จำเป็นต้องสนใจคนอื่น”
เล่นเอาลู่จือหว่านพูดไม่ออก
สาวใช้จวนฉีที่อยู่ข้างๆ ก็รีบทำตัวให้ลีบเล็กที่สุด
คุณชายสกุลลู่พูดจาเถรตรง
ขาดก็แค่พูดว่า จะสนใจทำไมว่าแม่สามีจะอนุญาตหรือไม่ เกียรติของแม่สามีมีหรือจะสำคัญเท่าร่างกายของตัวท่านเอง วันหลังไม่ต้องไปฟังนาง
ลู่จือหว่านก่อนขึ้นรถม้าพูดทันแค่ว่า “เจ้าหาเวลาว่างกลับไปพักผ่อนที่จวนบ้าง”
น้องชายของนางอยู่เวรมาตลอดจนถึงตอนนี้ตั้งแต่พ้นคืนวันสิ้นปีเป็นต้นมา ไม่ได้กลับจวนเลยสักครั้ง
แต่ละวันคงนอนไม่ถึงสองชั่วยาม
…
ณ ร้านขนมเค้กแห่งความสุขของย่าหม่าสาขาเมืองเฟิ่งเทียน
ท่านย่าหม่าเพิ่งจัดแจงให้ลูกชายคนที่สามของนางกับคนอื่นๆ ตามต้าเต๋อจื่อออกไป
ราวกับปลอบใจราษฎร
วันนี้ร้านขายอาหารแห้งในเมืองเปิดขายเสบียง มีการต่อแถวอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย มีเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนคอยเฝ้าดู
อีกทั้งจากที่เป่าจูเล่า อันที่จริงเมื่อวานซืนกับเมื่อวาน ภายในเมืองมีการปล่อยเสบียงออกมาไม่น้อย บางคนไม่ยอมหลับยอมนอนเพื่อที่จะไปต่อแถวข้างหน้า เพียงแต่นางกับพี่ชายไม่ได้ไปต่อแถว
เพราะอะไร
ไม่มีเงิน
ท่านย่าหม่าร้อนใจ เด็กสองคนนี้ซื่อบื้อเหลือเกิน นางร้อนใจทนไม่ไหว
เอาเงินไปสำรองจ่ายให้ร้านขนมหมด ตอนนี้ไม่ซื้อเสบียงแล้ว อีกหน่อยจะเอาอะไรกิน
อายุยังน้อย ไม่รู้จักความโหดร้ายของโลกใบนี้เสียแล้ว ไม่เคยได้ลิ้มรสความขมขื่นที่วันหน้าต่อให้มีเงินก็หาซื้อเสบียงไม่ได้
ท่านย่าหม่าจึงรีบปลดถุงที่เอวแล้วยัดเงินให้ต้าเต๋อจื่อไปซื้อเสบียง
ท่านย่าหม่าให้พวกซ่งฝูเซิงตามไปต่อแถวด้วย ลองดูว่าจะอาศัยความที่ต้าเต๋อจื่อมีภูมิลำเนาเป็นคนในเมืองขอซื้อมาได้บ้างไหม
เพราะทางนั้นมีเงื่อนไขว่า ขายให้เฉพาะคนในเมืองเท่านั้น
จากนั้นท่านย่าหม่าก็ไปขอบคุณร้านหนังสือข้างๆ และคืนเงินให้
เถ้าแก่ฉีปิดปากสนิทมาก ยังคงไม่บอกว่าเจ้านายของตัวเองเป็นใคร บอกเพียงว่าเด็กโตทั้งสองคนต้องดูแลร้านกันเองไม่ใช่เรื่องง่าย เขาจึงช่วยออกหน้าให้
ท่านย่าหม่าพนมมือ ขอบคุณมาก ขอบคุณมาก เพื่อนบ้านที่ดีอันดับหนึ่ง
ท่านย่าหม่านั่งอยู่ในร้าน ทำบัญชี ทั้งยังคุยกับเป่าจูและภรรยาฝูกุ้ย “ทำไมยังมีลูกค้ารายใหญ่ตั้งหลายคนไม่มาเอาเงินคืนล่ะ” พวกซ่งฝูเซิงกลับมากันแล้ว
“ทำไมไวขนาดนี้”
“ไปช้า ต่อแถวยังไม่ทันถึงข้างหน้า จำกัดจำนวนตามครัวเรือนก็ยังซื้อไม่ได้ ปล่อยเสบียงออกมาไม่ถึงสองหมื่นกว่าจินจะไปพออะไร ต่อแถวยังไม่ถึงตรงกลางก็ขายหมดแล้ว”
เมื่อครู่ ท่านย่าหม่ายังแอบดีใจว่าพวกลูกค้ารายใหญ่ไม่มาเอาเงินค่าขนมคืนแล้วได้หรือเปล่า แอบดีใจอยู่เงียบๆ แต่พอได้ฟังแบบนี้ก็ใจหายวาบ
“ทำไงดีล่ะ” โดยเฉพาะพวกเป่าจู เด็กสองคนนี้ดูแลร้านได้ดีทุกด้าน นางต้องปกป้อง
ซื้ออาหารไม่ได้แล้วเด็กสองคนนี้จะกินอะไร ตอนนี้เพิ่งจะวันที่เท่าไร หนทางยังอีกยาวไกล
ขณะที่ซ่งฝูเซิงกำลังจะพูดว่า ‘ข้าจะไปดูที่โรงเตี๊ยม’ ทันใดนั้นเสียงระฆังไว้ทุกข์ตอนกลางวันก็ดังมาจากด้านนอก
โว้ย แต่ละวัน
ตอนเช้าหนาวเกือบตาย ตอนนี้หูยังร้อนอยู่เลย พออากาศเย็น หูเดี๋ยวหนาวเดี๋ยวร้อนก็จะแดง อีกทั้งดูเหมือนจะหนาวเกินไปมากด้วย
ทุกคนพากันรีบร้อนคุกเข่าลง
แอบดีใจ โชคดีที่เข้าร้านมาแล้ว ถ้ากำลังเดินอยู่ อากาศหนาวพื้นเย็นก็ยังต้องคุกเข่าอยู่ข้างนอก
ภายในร้านมีแต่คนกันเอง
คุกเข่าตามสบายได้
เถียนสี่ฟากระซิบถามซ่งฝูเซิง “น้องสาม นี่มันกี่ชั่วยามแล้ว ดูเหมือนจะยังไม่ติดประกาศพระราชพินัยกรรมเลยหรือเปล่า”
ซ่งฝูเซิงถึงนึกได้ นั่นสิ บ้านเมืองไม่อาจขาดผู้ปกครองแม้เพียงวันเดียว ฮ่องเต้องค์ใหม่มัวทำอะไรอยู่ ยังไม่รีบประกาศอีก
ฮ่องเต้องค์ใหม่กำลังวุ่นอยู่กับการที่ มีพระราชพินัยกรรมตัวจริงอยู่ทนโท่ แต่กลับไม่เอา อยากจะแก้ไขให้ได้ พระราชทานยศให้พระชายาองค์แรกที่ตายไปนานแล้วของฮ่องเต้องค์ก่อขึ้นนเป็นพระมารดาฮองไทเฮา พระราชทานยศให้พระมารดาตัวเองเป็นเซิ่งหมู่ฮองไทเฮา
กัวซื่อน่ะเหรอ
ไม่ได้อยู่ในสายตา หึ
ลำบากเหล่าขุนนางใหญ่แล้ว
เป่าจูคุกเข่าอยู่ข้างท่านย่าหม่า นางก็กระซิบถาม “ฮ่องเต้องค์ก่อนสวรรคต เมื่อก่อนก็เป็นแบบนี้เหรอ ต้องเคาะระฆังตามเวลาอาหารแบบนี้หรือเจ้าคะ”
นางอายุน้อย ไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ เป็นครั้งแรกที่เจอสถานการณ์ฮ่องเต้สวรรคต
ท่านย่าหม่าตอบ “ลืมไปนานแล้ว จำไม่ได้ ตอนนั้นข้าเองก็ยังเด็กมาก” ตอนนั้นนางก็เป็นเด็กน้อยเหมือนกัน อีกอย่างฮ่องเต้แต่ละองค์เรื่องเยอะอย่าบอกใครเชียว
คุกเข่ากันอย่างทุลักทุเลอยู่สักพัก พอเสียงระฆังหยุดลงทุกคนถึงลุกขึ้น
เรียกได้ว่า มีแค่ซ่งฝูหลิงที่อยู่ทางบ้านรู้ว่าทุกครั้งที่คุกเข่า นางจะคำนวณเวลาเสร็จได้อย่างแม่นยำ รู้ดียิ่งกว่าลู่พั่นเสียอีก
ทุกครั้งจะคุกเข่าไปสิบหกจุดหกหกหกหกนาที
รู้ได้อย่างไรน่ะเหรอ
ก็นับเอาไง ก็คนมันว่าง