ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 438 ปิดร้านเหรอ
ภายในห้องส่วนตัวที่ชั้นสามของโรงเตี๊ยมอีผิ่นเซวียน
อย่างไรเสียก็ไม่มีแขก
เจ้านายเฉินจึงถือโอกาสพาซ่งฝูเซิงมาดื่มด่ำสักครั้ง นั่งมองข้างล่างจากชั้นสามมุมดีเหลือเกิน
เจ้านายเฉินหมุนถ้วยชาในมือพลางพูด
“ข้าเองก็เพิ่งกลับมา พอกลับมาก็ไล่เสี่ยวเอ้อร์กลับไปเยอะพอสมควร อยู่ในความคาดหมาย วันหน้าไม่มีงานให้ทำแล้ว”
พูดเสริมต่อ “ให้พวกเขาไปเยอะพอตัว ไม่ได้ให้เงิน แต่ให้เป็นอาหาร”
ซ่งฝูเซิงพยักหน้า “จากสถานการณ์ในตอนนี้ ท่านก็ให้พวกเขาไม่น้อยแล้ว ไม่ต้องหงุดหงิดไป อย่างน้อยที่สุดก็ยังดีกว่าร้านขนมของข้า พวกร้านของข้าถูกรื้อป้ายร้านออก ของท่านแค่ห้ามขายสุรา แต่ไม่ได้ห้ามหยุดกิจการไม่ใช่รึ”
เจ้านายเฉินกลับส่ายหน้า
“วันหน้าก็ไม่ต่างจากหยุดกิจการแล้ว…
…แต่ไหนแต่ไรมาร้านของข้าไม่ใช่ร้านที่คนจะมานั่งกินบะหมี่…
…คนกินเกี๊ยวน้ำก็ไม่ถ่อมาร้านข้า ใช่ไหมล่ะ หากินตามข้างทางก็อร่อยเหมือนกัน อิสระดีด้วย…
…ข้าเจอแต่ลูกค้ามีเงิน แล้วนี่ยังจะห้ามขายสุราอีก…
…ข้าจะบอกให้นะน้องชาย ตอนนี้พวกตระกูลคนรวยน่ะ ทำตัวสงบเสงี่ยมยิ่งกว่าชาวบ้านอย่างพวกเราอีก…
…พวกคนที่ทำตัวเกเรของแต่ละจวน วันหน้าคงถูกคนในบ้านคุมเข้มงวด กลัวว่าขุนนางฝ่ายบุ๋นน้ำดีพวกนั้นจะถูกตัวล้างผลาญในบ้านทำเสียอนาคตหมด”
ซ่งฝูเซิงเห็นด้วยกับคำพูดนี้
นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว
สังคมศักดินา พอฮ่องเต้ตายก็เหมือนพ่อในบ้านตายไปด้วย ยังจะกล้าออกมากินเที่ยวเล่นอีกเหรอ
ขนาดฮ่องเต้องค์ใหม่ยังกอดเมียไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่ได้ ร้อนใจอยากแก้รัชศกก็ต้องรอปีหน้า แล้วนับประสาอะไรกับครอบครัวขุนนาง เวลานี้ถ้าใครกล้าทำตัวอวดดี วันหน้าก็เตรียมโดนหมายหัวได้เลย
ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเกิดทำสงครามกันขึ้นมา ทัพหน้าลำบากกันขนาดนั้น ราษฎรก็ลำบากจนไม่กล้าปริปาก ไม่มีจะกินกันอยู่แล้ว ใครจะออกมาสั่งอาหารกินอย่างอิ่มหนำสำราญได้
ต่อให้เขาเป็นฮ่องเต้องค์ใหม่ก็รู้สึกขวางหูขวางตาแน่นอน ที่บ้านมีเงินมีเสบียงขนาดนั้นเชียวรึ ได้ เช่นนั้นค้นบ้าน บ้านเมืองทุกข์ยากขนาดไหน งั้นบ้านเจ้าก็มาสร้างคุณูปการขนาดนั้นแล้วกัน
สรุปว่าต่อไป พวกตระกูลใหญ่เวลาอยู่ข้างนอกจะต้องสงบเสงี่ยมกันยิ่งกว่าชาวบ้านแน่นอน
แน่นอนว่าถ้าปิดประตูแล้ว จะกินอะไรดื่มอะไรพวกเราก็ไม่อาจรู้ได้
ตระกูลสูงศักดิ์ที่แท้จริงล้วนมีเรือกสวนไร่นา ของในคลังก็มีทุกอย่าง ไม่ออกมาจับจ่ายสักปีสองปีก็ยังอยู่ได้ เลี้ยงตัวเองได้สบายๆ
เฮ้อ โลกนี้
ซ่งฝูเซิงยกถ้วยชาขึ้นดื่ม
“ร้านขนมของเจ้า ต่อไปจะหยุดกิจการไปเลยเหรอ”
“แค่กๆ” ซ่งฝูเซิงอามือปิดปากไอ “แค่ก ร้านข้าก็แค่ถูกปลดป้ายร้าน ทำป้ายใหม่แขวนขึ้นไปก็ได้แล้วหรือเปล่า”
เจ้านายเฉินรู้สึกอาย เราไม่ได้แช่ง ก็แค่รู้สึกว่า “ข้าคิดว่าคุณนายใหญ่จวนฉีจะส่งคนมาบอกว่าไม่ให้พวกเจ้าทำแล้วเสียอีก”
“ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ”
“คุณนายใหญ่จวนฉีเป็นคุณหนูสามของตระกูลลู่ เจ้าน่าจะเข้าใจการประพฤติตัวของตระกูลลู่ดีกว่าข้านะ พวกเราพี่น้องคุยกันส่วนตัว คนตระกูลลู่ทำอะไรเป็นแบบนี้ตลอด”
เจ้านายเฉินยกนิ้วโป้งให้
พูดต่อ
“นี่ถ้าเปลี่ยนแซ่อื่นมาเป็นจวนผู้สำเร็จราชการนะ ไอ๊หยา ไม่รู้ว่าทำตัวอวดดีไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ออกจากบ้านก็วางอำนวจอวดเบ่ง คนแบบนั้นข้าเจอมาเยอะ…
…แต่เจ้าดูจวนผู้สำเร็จราชการสิ ปกติยังไม่วางมาดเป็นตระกูลขุนนางใหญ่ขั้นสามสี่เลยด้วยซ้ำ…
…ดังนั้นข้าถึงคิดว่า ด้วยนิสัยของตระกูลลู่ วันหน้าถ้าชาวบ้านขาดแคลนเสบียงอาหาร ดีไม่ดีปีนี้จะมีการเรียกเก็บเสบียงเสียด้วยซ้ำ แล้วเขาจะยอมให้บ้านเจ้าเอาแป้งละเอียดมาทำขนมราคาแพงขายเหรอ…
…ครอบครัวแบบนั้นไม่ร้อนเงิน ที่ทำมาค้าขายก็แค่อยากเอาสนุกเสียด้วยซ้ำ…
…ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงมาก เกียรติสำคัญกว่าอะไรทั้งนั้น…
…ถ้าวันหน้าชาวบ้านไม่มีอาหารกิน น้องชาย บ้านเจ้ายังจะขายขนมราคาแพงอีกเหรอ ยังไม่ต้องพูดเรื่องจะขายออกหรือเปล่า แต่มันก็ดูไม่ดีใช่ไหมล่ะ…
…อันที่จริงพวกเราก็อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน ค้ากำไรจากพวกคนรวย เจ้าว่าข้าพูดมีเหตุผลไหมล่ะ”
ทันใดนั้น ซ่งฝูเซิงก็รู้สึกว่าเจ้านายเฉินวิเคราะห์ได้มีเหตุผล
เขาหน้านิ่ว ถ้าเป็นแบบนั้นจริง พวกยายๆ จะรับไหวเหรอ
“เอาล่ะ ข้าอาจคิดมากไปเองก็ได้ เลิกคิดเถอะ คุณนายใหญ่จวนฉียังไม่ได้ส่งคนมาบอกอะไรใช่ไหมล่ะ ไปๆๆ ข้าจะพาเจ้าไปด้านหลังก่อน”
เจ้านายเฉินพาซ่งฝูเซิงไปด้านหลังโรงเตี๊ยม ควักกุญแจออกมาเปิดไขห้องคลังเก็บของ ข้างในมืดมาก ทั้งสองคนหรี่ตามองเพื่อทำความคุ้นเคยอยู่สักพัก
เจ้านายเฉินชี้ไปที่แป้งยี่สิบกระสอบ ข้าวสารสามสิบกระสอบ ดูก็รู้ว่าวางกองเตรียมไว้ก่อนแล้ว เขาพูด “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าคนเยอะ แต่ว่านะน้องชาย กำลังของพี่ชายคนนี้มีจำกัด ที่ช่วยได้ก็มีเท่านี้แหละ”
ซึ้งใจไหม
ซึ้งใจสิ
ซึ้งใจที่สุดตรงที่ยังไม่ทันเอ่ยปากถาม ไม่ต้องทำให้ลำบากใจ อีกฝ่ายก็เตรียมไว้ให้ก่อนแล้ว
สหายคนนี้เริ่มมาจากการมีผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน
แต่ตอนนี้ไม่ได้มีความสัมพันธ์กันแบบให้ผลประโยชน์ซึ่งกันและกันแล้ว
รวมถึงเถ้าแก่สุย ท่านปู่หยวน เจ้านายเฉินตรงหน้านี้ ต้าเต๋อจื่อกับเป่าจูที่อยู่ในร้าน สูงกว่านั้นยังมีมือปราบฉีหมิง ซุ่นจื่อ ลู่พั่น เป็นต้น
ไม่อย่างนั้นจะพูดเหรอว่า นี่แหละมนุษย์
มนุษย์พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือได้
บางครั้ง เดิมทีมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่ไปๆ มาๆ กลับไม่ดีเสียแล้ว กลายเป็นคนแปลกหน้า
บางครั้งพบเจอกันโดยบังเอิญ ก็แค่คนที่รู้จักกันผิวเผิน แต่อยู่ไปอยู่มากลับใกล้ชิดกันขึ้นเรื่อยๆ ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
ซ่งฝูเซิงรีบกำมือคารวะ ยังได้บอกเจ้านายเฉินอีกว่า “ท่านควรคิดเงินเท่าไหร่ก็คิดไป ไม่ต้องลดให้ข้าเป็นพิเศษ ท่านเอาแค่นี้มันเป็นไปได้เหรอ”
เจ้านายเฉินตอบ “เป็นไปได้สิ ตอนนั้นข้ารับซื้อไว้ก็ราคานี้แหละ จึ๊ ข้ายังจะคิดค้ากำไรกับเจ้าได้อีกเหรอ”
ข้าวสารอย่างดี ราคาถูกกว่าในร้านขายข้าวสารที่เขาพาลูกสาวไปซื้อตอนที่เพิ่งมาถึงที่นี่อีก ราคาจินละเจ็ดเหวิน
แป้งละเอียดยิ่งแล้วใหญ่ เป็นแป้งละเอียดแบบเดียวกับที่ท่านย่าหม่าซื้อไปทำขนม ราคาจินละห้าเหวิน
ไอ๊หยา คุณพระคุณเจ้า ช่วงนี้ซ่งฝูเซิงเจอแต่ของราคาแพง รู้สึกว่าราคานี้เหมือนเก็บได้มาฟรีเลยทีเดียว
ดังนั้นเมื่อรวมกับเสบียงอาหารอย่างหยาบที่พวกซ่งฝูเซิงซื้อมาในราคาแพงช่วงไม่กี่วันนี้ นับรวมแค่อาหารแห้ง ก็จะกินไปได้ถึงกลางเดือนเก้า ไม่นับรวมเต้าหู้นมที่ลูกสาวของเขาทำในบ้านอีก
รู้สึกเบาใจขึ้นมาทันที
อดทนไปถึงเดือนสิบก็จะเก็บเกี่ยวผลผลิตฤดูใบไม้ร่วงได้แล้ว อีกอย่างยังไม่ได้นับที่ยังจะสามารถหาซื้อได้อีก
ร้านขายอาหารแห้งยังจะมีปล่อยออกมาขายอีก ดูจากสถานการณ์เมืองเฟิ่งเทียนก็พอเดาได้
ฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ เมตตาคนทำผิดเพื่อเสริมสร้างบารมีไม่ได้ แต่ในด้านขาดแคลนเสบียงอาหารก็ต้องทำให้เป็นกิจจะลักษณะ เยียวยาจิตใจราษฎร สร้างความสุขให้แก่ราษฎร สะสมจากเล็กน้อยก็กลายเป็นมากได้
ซ่งฝูเซิงกับเจ้านายเฉินถึงได้กลับไปที่ด้านหน้า จากนั้นก็ได้ยินเสียงประกาศจากด้านนอก
เถ้าแก่ร้านมาบอกทั้งสองคน “มีประกาศออกมาแล้ว”
ทั้งสองคนมองหน้ากันแล้วเดินเคียงคู่กันออกไปดู
หนังสือที่ฮ่องเต้ลงนามประทับตราด้วยตัวเอง ใช่ของที่ใครจะดูก็ได้อย่างนั้นเหรอ
อีกทั้งหนังสือนั้นจะเอาออกมาได้ยังไง
หนังสือประกาศที่แจกจ่ายไปตามที่ต่างๆ ล้วนเป็นฉบับคัดลอกที่เหล่าขุนนางใหญ่เป็นคนเขียน เรียกว่า ‘เถิงหวง’ โดยมีพวกมือปราบของแต่ละเมืองเอาไปติดให้ชาวบ้านดูตามประตูเมือง ตลาด ถนนสัญจรเส้นสำคัญ
ส่วนในหมู่บ้านก็ใช้วิธีกระจายข่าวโดยการเล่าปากต่อปาก
เวลานี้ที่ตลาดในเมืองเฟิ่งเทียน หลายคนได้เข้าไปรุมดู
ติดรวดเดียวหลายใบ
ซ่งฝูเซิงกับเจ้านายเฉินเอาสองมือซุกไว้ในแขนเสื้อ เลือกอ่านใบที่สำคัญ
“ด้วยโองการแห่งสวรรค์ ฮ่องเต้ทรงมีพระบัญชา ฮ่องเต้องค์ก่อนสวรรคตอย่างกะทันหัน กลับสู่ธาตุทั้งห้า ข้ารับโองการจากสวรรค์ ทำตามคำสั่งเสียของอดีตฮ่องเต้ เหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นและบู๊ ทั้งนอกและใน ต่างพากันเกลี้ยกล่อม มิอาจปฏิเสธได้ บัดนี้ขอประกาศต่อฟ้าดิน ขึ้นครองราชย์อย่างเป็นทางการ…”
ซ่งฝูเซิงแอบบ่นในใจ อยากขึ้นครองราชย์จนตัวสั่นยังจะบอกว่าเพราะมีคนเกลี้ยกล่อม ทำเป็นมีมารยาทอ่อนน้อมถ่อมตน ถ้าใช้คำพูดของคนยุคปัจจุบัน แบบนี้ไม่เรียกดัดจริตหรอกเหรอ
คนยุคปัจจุบันอย่างพวกเขาตรงไปตรงมายิ่งกว่า จัดประกวด แข่งแสดง แข่งสมัครงาน เก่งอันไหนก็ไปอันนั้น สบโอกาสอันไหนก็เต็มที่ไปเลย