ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 448 ยอมตัดใจ / ตอนที่ 449 เรื่องกินเรื่องใหญ่
ตอนที่ 448 ยอมตัดใจ
ตอนที่เถ้าแก่ฉีออกไปได้ จงใจมองไปที่ป้ายร้าน
พูดตามตรง อักษรที่เจ้านายเขียนบนป้ายไม่เหมือนกับที่เขียนบนกระดาษ มีการเปลี่ยนรูปแบบอักษร
เขาจัดเป็นคนประเภทที่มองอะไรไม่ค่อยออก
หันไปมองซ่งฝูเซิงที่มาส่งเขาออกข้างนอก เถ้าแก่ฉีพูดจากใจจริง “ท่านมากความสามารถ มิน่าถึงเขียนหนังสือสวย ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ ท่านอดทนรออยู่ที่นี่ก่อน ดื่มชาร้อนๆ สักถ้วย”
ซ่งฝูเซิงเข้าใจ
ดูท่าคนที่ไว้ใช้ติดต่อเป็นพิเศษข้างนอกของลู่พั่นก็คือเถ้าแก่ฉีคนนี้
พวกเขามีช่องทางลับที่ใช้ติดต่อกัน
ในช่วงเวลาที่หน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ ถ้าเถ้าแก่ฉีไม่ออกหน้า ต่อให้เขาตระเวนหาคนช่วยไปทั่ว แอบมุดแอบสอดส่องก็ไม่มีทางได้เจอ
เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป เถ้าแก่ฉีก็กลับมา
ซ่งฝูเซิงไม่คาดคิดว่าจะเร็วขนาดนี้ จึงรีบยืนขึ้นแล้วเดินออกไปรับ
พวกเถียนสี่ฟาก็รีบตามไป
คนที่มาด้วยไม่ใช่ลู่พั่น
แต่ก็เป็นคนคุ้นเคย นั่นก็คือซุ่นจื่อที่พอเห็นหน้าก็รู้สึกโล่งอก
ซุ่นจื่อยังคงทำตัวเป็นกันเอง
ใบหน้าเล็กๆ กลมๆ นั้น ในสายตาของซ่งฝูเซิงกับพวกเถียนสี่ฟาในเวลานี้ ทำไมถึงให้ความรู้สึกที่อยากทะนุถนอมได้ขนาดนี้
“ผู้เฒ่าฝูเซิง ไม่เจอกันนาน ช่วงนี้สบายดีหรือไม่ ทุกคนก็สบายดีใช่หรือไม่”
ผู้เฒ่าเหรอ
ทำไมแค่ข้ามปีเขาก็กลายเป็นผู้เฒ่าไปแล้วล่ะ
ซ่งฝูเซิงไม่ได้แก้คำเรียก เขารีบยกมือคารวะ “ข้ามีเรื่องต้องรบกวนท่านอีกแล้ว”
“พูดอะไรห่างเหินแบบนั้น ข้าพอเดาได้ว่าท่านน่าจะมาหาข้า พวกเราเกือบคลาดกันแล้ว หากมาช้ากว่านี้อีกสองชั่วยาม ข้าก็จะไปแล้ว”
“เช่นนั้นไม่ทำท่านเสียเวลาใช่ไหม”
“ไม่ๆๆ แต่ท่านก็ต้องเข้าใจด้วยว่าต้องพูดให้กระชับ ไปๆๆ ขึ้นไปข้างบนก่อน ไปตรงที่ที่คุยได้”
พวกเขาไปยังห้องที่ลู่พั่นใช้อ่านหนังสือบ่อยๆ
พอเถ้าแก่ฉีปิดประตูสนิท ซ่งฝูเซิงก็พูดขึ้น “ไม่ทราบว่าท่านได้ยินเรื่องเกณฑ์คนไปเป็นทหารหรือไม่”
“ทราบก่อนแล้ว แต่ฟังข้าพูดก่อนนะ…
…เรื่องนี้พูดตามตรง คุณชายของพวกเราก็นึกถึงพวกท่านและคิดหาทางอยู่นาน…
…แต่ว่าผู้เฒ่าฝูเซิง โปรดอย่าตำหนิกันนะ”
พวกซ่งฝูเซิงใจคอไม่ดี จบแล้ว
ซุ่นจื่อกวาดตามองสีหน้าของทุกคน พูดด้วยความลำบากใจต่อ
“จะพูดอย่างไรดีล่ะ คุณชายของพวกเราก็รู้สึกเสียดาย เขาเคยบอกว่าพวกท่านมีคนที่หน่วยก้านดีอยู่หลายคน ถ้าออกไปสนามรบ อนาคตที่รุ่งโรจน์ขึ้นอยู่กับคนพร้อม สภาพแวดล้อมพร้อม ในเวลาที่เหมาะสม โอกาสก้าวหน้าเล็กๆ ย่อมไม่มีปัญหา”
ซ่งฝูเซิง เอ่อ?
“แต่ว่า คุณชายก็คำนึงถึงว่า มีแค่พวกท่านที่มีเมล็ดพันธุ์พริกอยู่ มีแค่พวกท่านที่ปลูกเป็น…
…งานแนวหลังสำคัญมาก ต้องการพวกท่านเหมือนกัน ทำได้เพียงตัดใจด้วยความเสียดาย จึงไม่ให้พวกท่านไปแล้ว…
…ผู้เฒ่าฝูเซิง ท่านอาจไม่รู้ว่าพริกของพวกท่านสำคัญขนาดไหน…
…ทหารแนวหน้าลำบากมาก…
…เมื่อถึงฤดูหนาว เหล่านักรบเร่งเดินทางทั้งวันทั้งคืน การทำสงครามในหน้าหนาวจะแข็งจนไม่เหลือสภาพ…
…หากถึงหน้าหนาวปีนี้ ต่อให้พวกท่านให้ได้แค่บะหมี่เผ็ด ให้ทหารแนวหน้าได้ซดน้ำแกงเผ็ดร้อนๆ ข้าไม่เข้าใจเรื่องอื่น แต่ข้ารู้สึกว่านี่ก็ถือเป็นการให้พวกท่านลงสนามรบแล้วมิใช่หรือ…
…ผู้เฒ่าฝูเซิง ข้าขอพูดกับท่านตามตรงเลยนะ อันที่จริงตกลงกันไว้ตั้งแต่ก่อนขึ้นปีใหม่แล้วว่าจะให้พวกท่านช่วยงาน…
…พลาธิการเคยไปคุยกับพวกท่านแล้วใช่ไหม…
…คือ ไม่ได้การ ข้าตัดสินใจไม่ได้ ตกลงกันไปเรียบร้อยแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้คุณชายของพวกเราก็ไม่อยู่เมืองเฟิ่งเทียน อยากให้เขาเปลี่ยนใจคงไม่ได้แล้ว”
ผู้เฒ่าซ่งฝูเซิง “…”
ซ่งฝูกุ้ย “…เออะ!” รีบเอามือปิดปาก
พวกเถียนสี่ฟาที่เหลือยิ่งฟังก็ยิ่งงง พากันเตือนตัวเองอยู่ในใจ “ไม่เข้าใจก็อย่าเพิ่งถาม จะได้ไม่พูดผิดไป”
สีหน้าของซ่งฝูเซิงไม่เปลี่ยน เขาเองก็อึ้งอยู่ในใจสิบกว่าวินาทีถึงได้สติกลับมา
อย่าบอกนะว่า ซุ่นจื่อคิดว่าพลาธิการมาหาพวกเขาไปแล้ว แต่พวกเขาไม่ยินดีปลูกพริกอยู่ที่บ้าน อยากร่วมเกณฑ์ทหารเพื่อไปแสวงหาอนาคตที่แนวหน้า คิดว่าการปลูกพริกอยู่ที่บ้านเป็นการบั่นทอนอนาคตของพวกหนุ่มๆ เลยอยากหาเส้นสายให้ช่วยส่งไปแนวหน้างั้นเหรอ
ไอ๊หยาแม่จ๋า ลูกสาวพูดถูก สมองเต็มไปด้วยความคิดที่เป็นระบบระเบียบ คุณชายลู่ไม่เหมือนใครเลยจริงๆ
ซุ่นจื่อรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย เป็นครั้งแรกที่มาขอให้เขาช่วยแต่เขากลับช่วยไม่ได้
ซ่งฝูเซิงยกมือคารวะ พูดกับซุ่นจื่อก่อนว่า “เข้าใจความหมายของคุณชายลู่แล้ว พวกเราจะทำตามนั้น”
จากนั้นราวกับต้องการคำยืนยันอีกครั้ง ประเด็นคือไม่กล้าเชื่อ ซ่งฝูเซิงยังคงทำสีหน้าจริงจัง พูดด้วยความแน่วแน่
“ไม่อาจเดินตามรอยเท้าของทหารแนวหน้าไปร่วมเรียงเคียงบ่าสู้ในสนามรบ ข้าเองก็เสียดายยิ่งนัก…
…แต่ทุกสิ่งที่เป็นการสร้างคุณูปการเพื่อชัยชนะก็ถือเป็นเกียรติอย่างหนึ่ง…
…คุณชายลู่ตรึกตรองได้ถูก ข้าซ่งฝูเซิงยินดีเป็นแนวหลังในการจัดหาพริกที่จำเป็นต่อทหารเพื่อเหล่าทหารแนวหน้า…
…ไม่ขอใดอื่น ขอเพียงท่ามกลางความลำบากเหล่านั้นที่เมื่อครู่ท่านซุ่นจื่อได้ยกตัวอย่าง เพราะมีพริกถึงทำให้เหล่าทหารแนวหน้าเดินทัพได้เร็วขึ้น เพื่อกองกำลังที่ยิ่งใหญ่จะได้ไปสู้เพื่อบ้านเมือง…
…หากแนวหลังมีกำลังแน่วแน่ถึงจะชนะได้ ข้าซ่งฝูเซิงเข้าใจ…
…อย่างพวกเราที่เป็นแนวหลัง สองบ่าแบกไว้ซึ่งความรับผิดชอบในด้านการคลายหนาวให้เหล่าทหาร…
…นี่ก็ถือเป็นการเข้าร่วมรบกับทหารแนวหน้าทางอ้อม…
…พวกเราที่อยู่แนวหลังจะร่วมสู้ไปพร้อมกับเหล่าทหารแนวหน้าเช่นเดียวกัน”
ดวงตาของซุ่นจื่อเริ่มแดง ทันใดนั้นเขาได้คุกเข่าลงข้างหนึ่ง “ผู้เฒ่าฝูเซิง โปรดรับการคารวะจากข้า”
“เอ่อ รีบลุกขึ้นเร็วเข้า”
“ไม่ ท่านต้องรับการคารวะจากข้า”
ตอนที่ 449 เรื่องกินเรื่องใหญ่
ก่อนซุ่นจื่อจะขึ้นม้าได้อยู่ในอารมณ์ตื่นเต้นตลอด
คุณชายพูดถูก บ้านเมืองวุ่นวายมานานเหลือเกิน อย่าเอาแต่มองว่าราษฎรที่อยู่ภายใต้การปกครองของอ๋องเยี่ยนพอมีพอกินก็คิดว่าราษฎรที่อยู่ข้างนอกก็มีชีวิตที่คล้ายกัน
ชาวบ้านพวกนั้นชะตากรรมไม่แน่นอน ชีวิตระหกระเหิน พวกเขาอาจอยู่ในระหว่างลี้ภัย หรืออาจมีหลายคนที่อดตายอยู่ข้างถนน
ต้องรีบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งโดยเร็ว
หลังจากผ่านพ้นความวุ่นวายต้องมีการจัดระบบระเบียบครั้งใหญ่เพื่อให้ราษฎรที่มีจำนวนมากกว่าเดิมได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในเร็ววัน
คุณชายบอกว่า
ย่อมต้องมีคนก้าวออกมา
และก็เชื่อว่าจะต้องมีคนที่เข้าใจก้าวออกมายิ่งกว่า
พวกซ่งฝูเซิงได้ก้าวออกมาแล้ว คุณชาย ท่านไม่ได้มองคนผิด
ชีวิตของพวกเขายังไม่ทันจะตั้งตัวได้ อาศัยอยู่ในบ้านที่ใกล้ถล่มเต็มที
ก่อนหน้านี้ขายพริกราคาแพงขนาดนั้น พริกที่เป็นความหวังว่าจะได้เอากำไรมาสร้างบ้านมากินข้าว แต่พอได้ยินว่าพริกเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทหาร ก็จะเพาะปลูกแล้วส่งไปให้แนวหน้าอย่างไม่ขาดสายโดยไม่ถามเรื่องเงินแม้แต่น้อย
คุณชาย คนอย่างพวกซ่งฝูเซิงยังมีอีกเยอะหรือไม่ ควรค่าให้พวกเราสู้ปกป้องด้วยชีวิตใช่หรือไม่
คุณชาย ข้าเชื่อว่า อีกหน่อยจะมีอีกเยอะ
“ไป!”
ซุ่นจื่อขี่ม้าไปบนถนน
เขาคิดไว้ว่าพอเจอลู่พั่น สิ่งแรกที่จะทำคือถ่ายทอดคำพูดเหล่านั้นของพวกซ่งฝูเซิงให้คุณชายได้ฟัง ต่อไปถึงแม้จะมีคนจำนวนมากไม่ได้ลงสนามรบ แต่พวกเขาก็จะร่วมสู้ไปกับพวกเรา ประหยัดกินประหยัดใช้เพื่อพวกเรา
ณ ฐานปฏิบัติการหน่วยลับ
เวลานี้คนกลุ่มหนึ่งกำลังกระโจนลงสระขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นในร่ม
สระใหญ่มาก ลึกมาก พายเรือได้ มีทหารเก่ากำลังใช้ไม้พายตีน้ำเป็นคลื่นขนาดใหญ่ไม่หยุด
อย่าดูถูกว่าสระนี้สร้างในที่ร่ม แต่น้ำกลับเย็นมาก
พูดกันว่าคนทางเหนือส่วนใหญ่ว่ายน้ำไม่เป็น สาเหตุเป็นเพราะภูมิศาสตร์และสภาพภูมิอากาศ จุดที่ลงแม่น้ำได้ล้วนจับตัวเป็นน้ำแข็งอย่างแน่นหนา
ถ้าคนทางเหนืออยากเอาชนะก็ห้ามงมงาย
ไม่มีทะเลหรือแม่น้ำก็สร้างขึ้นเอง
ว่ายน้ำไม่เป็นก็เรียนรู้ที่จะจมก่อน
ลู่พั่นยืนอยู่ริมสระ มองเหล่าทหารใหม่ที่ตะเกียกตะกายอยู่ในสระด้วยสีหน้าเรียบเฉย
มีเพียงคนที่จมลงก้นสระ เห็นว่าอาจไม่รอดแน่แล้ว เขาถึงจะพยักหน้าเล็กน้อยเพื่อบอกให้คนเอาไม้ยาวเขี่ยช่วยขึ้นมา
เมื่อถูกช่วยขึ้นมาแล้วก็จะถูกคัดออก
ถูกส่งออกไป
ไปเป็นทหารทั่วไปของหน่วยที่มีแม่ทัพคนอื่นเป็นหัวหน้า
ดูอยู่สักพักลู่พั่น ถึงเดินออกไปที่สนามฝึก
เวลานี้ในสนามฝึก อาชาศึกหลายร้อยตัวกำลังยืนอยู่บนพื้นที่หนึ่ง
เหล่าทหารที่อยู่บนหลังม้ากำลังใช้หอกยาวที่มีการคุมเรื่องความปลอดภัยไว้แล้วต่อสู้กับอีกฝ่าย เมื่อใดที่ถูกแทงเข้าจุดสำคัญก็จะถูกคัดออก ลงจากหลังม้า คนต่อไปก็ขึ้นแทน
รองผู้บัญชาการเกิ่งเหลียงสวมผ้าปิดปากที่ป้องกันความหนาว สู้กับศัตรูสิบคน
เพียงเวลาไม่นาน ใครเจอเขาก็ถูกคัดออกหมด โจมตีจนเหล่าทหารที่อยู่บนม้าต่างหมดความฮึกเหิม ถึงขนาดที่อยากควบม้าหลบเกิ่งเหลียง
ลู่พั่นหรี่ตามองทหารเก่าสี่กลุ่มที่ถูกคัดออก เขายื่นมือออกไป
บ่าวรับใช้สองนาย คนหนึ่งยื่นหอกยาวให้ ส่วนอีกคนจูงอาชาศึกเข้ามาแล้วเอาเชือกบังเหียนวางใส่มือลู่พั่น
หัวหน้าทหารที่ดูแลกลุ่มต่างๆ ตะโกนขึ้น “ดูท่านแม่ทัพสาธิต!”
ลู่พั่นกระโดดขึ้นหลังม้าแล้วขี่มุ่งตรงไปหาเกิ่งเหลียง
เกิ่งเหลียงเข้ามาโจมตีก่อน หอกยาวพุ่งเข้าไปในท่วงท่าที่ไม่อาจป้องกันได้ ลู่พั่นเบี่ยงตัวหลบในชั่วพริบตา สองขากระทุ้งท้องม้า หงายหลังเป็นระนาบเดียวกับหลังม้า
เมื่อเขาลุกขึ้นมาอีกครั้ง หอกยาวในมือก็พุ่งไปอย่างรวดเร็วประหนึ่งฟ้าแลบ ปลายหอกเขี่ยผ้าปิดปากที่มีอักษร ‘เกิ่ง’ บนใบหน้าของเกิ่งเหลียงจนหลุดออก
“เยี่ยม เยี่ยม!” ท่าเดียวสยบข้าศึก สมกับเป็นแม่ทัพลู่
เลือดในกายของเหล่านักรบในสนามรบพลุ่งพล่านขึ้นมาทันที
ลูกผู้ชายที่แท้จริงใครบ้างไม่มีความฝันอยากเป็นผู้กล้า
เล่นเอาเกิ่งเหลียงโมโหมาก
ท่านแม่ทัพจงใจใช่หรือไม่ ท่านสาธิตแบบนี้ ต่อไปถ้าพวกเขาเอาผ้าปิดปากของข้าเป็นเป้าหมาย แบบนั้นจะทำอย่างไร ข้าคงต้องพกมาหลายอัน
หลังจากที่ลู่พั่นสาธิตการต่อสู้กับศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าเสร็จ เขาก็ออกไปจากสนามฝึกที่เต็มไปด้วยเสียงต่อสู้
ไปยังริมเขาที่ถูกปิดล้อมไว้หมด
ที่นี่มีทหารกลุ่มหนึ่งกำลังฝึกยิงปืนใหญ่ ใส่กระสุนยิง ใส่กระสุนยิง
ทหารปืนใหญ่กำลังระเบิดพื้นที่เป้าหมายที่อยู่ไกลๆ บนเขา
ต้องรู้จักเสียดายกระสุนปืน แบบนี้อีกหน่อยเมื่อไปอยู่แนวหน้า จัดสรรเหล่าทหารปืนใหญ่ให้แยกย้ายไปอยู่กับหัวหน้าทหารหน่วยต่างๆ ถึงจะยิงได้แม่นยำ เกิดประโยชน์อย่างมาก ระเบิดศัตรูให้กระจายไปคนละทิศละทาง
นอกจากนี้ยังมีพลธนู ยิงธนูบนหลังม้า การยิงขณะเคลื่อนที่
ยังมีกลุ่มทหารที่ฝึกพละกำลัง กำลังใช้เหล็กขนาดใหญ่ฝึกกำลังแขน ทุกครั้งที่สองมือยกขึ้นพวกเขาจะร้อง “อ๊าก!”
คนเหล่านี้จำเป็นต้องมั่นใจว่า รถออกศึกต้องวิ่งได้เร็วเพื่อความปลอดภัยของทหารแนวหลัง
“ท่านแม่ทัพ ทหารเดินเท้ายังวิ่งอยู่ที่ด้านนอก จะให้กินข้าวหรือไม่”
ทหารเดินเท้าจำนวนมากกำลังวิ่งอยู่ห่างออกไปหลายสิบลี้ ฝึกกองกำลังติดอาวุธ
ลู่พั่นได้ฟังก็เข้าใจ ดูท่าวันนี้ทหารเดินเท้าพวกนั้นกลับมาไม่ทันในเวลาที่กำหนดอีกแล้ว จบเห่
“วันนี้ประหยัดข้าวของพวกเขา พรุ่งนี้ถ้ายังทำไม่ได้อีกก็อดต่อไป”
“รับทราบ ท่านแม่ทัพ”
ในขณะที่เหล่าทหารของที่นี่กำลังเดินเข้าโรงอาหารส่วนรวมกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า หยิบถาดอาหารที่แบ่งเป็นช่องไปรับข้าว ลู่พั่นกลับกลับไปยังที่พักของตัวเองตามลำพัง
ช่วงหลายวันมานี้ มีเพียงเวลานี้ที่เขาจะได้พักผ่อนอย่างสบายใจขึ้นมาบ้าง
ลู่พั่นไม่สบาย
ปวดหัว แน่นหน้าอก ไอไม่หยุด คันคอ ปวดเนื้อปวดตัว
หมอทหารของค่ายบอกเขาว่า สาเหตุเป็นเพราะคิดมากเกินไป ไม่ได้พักผ่อนให้ดีมาเป็นเวลานาน อีกทั้งยังเจออากาศที่หนาวเย็น
แต่ลู่พั่นกลับรู้สึกว่าเป็นเพราะร้อนใจ
เมื่อไรถึงจะสร้าง ‘กองกำลังพิเศษ’ แบบที่พั่งยาเขียนไว้ในเรื่องเล่าได้
ปฏิบัติการภารกิจพิเศษ รวดเร็ว ได้ผล
เขาจะต้องพาคนพวกนี้ไปรบ ขับไล่ศัตรู
ลู่พั่นนอนบนเตียง ก่อนจะงีบพักผ่อน เขาสะลึมสะลือคิดในใจ
ยังเคยบอกว่าเจอกันวันที่ห้า แต่กลับไม่ได้เจอ
ก็ไม่รู้ว่าพั่งยาที่ในใจเต็มไปด้วยเรื่องมหัศจรรย์ เรื่องที่แต่งต่อจะมีแต่น้ำหรือเปล่า
นางจะช่วยจินตนาการเกี่ยวกับการฝึกทหารที่มีประโยชน์อีกสักหน่อยได้หรือเปล่า อย่าเขียนแต่เครื่องบินกับโดดร่มที่เขาทำไม่ได้ พูดถึงครั้งแล้วครั้งเล่ามันก็เท่ากับมีแต่น้ำ
แต่อันที่จริงเขาลองทำร่มสำหรับโดดแล้ว
แต่พอเอาไปทดลองจริงกลับเกิดปัญหา
แต่ละคนกลัวจนปัสสาวะราด ไม่กล้าโดดลงจากหน้าผา
พูดตามตรง เขาเองก็ไม่กล้า จึงไม่ได้บังคับให้ใครโดดลงไป
เฮ้อ พั่งยา
ทำไมสมองของเจ้าถึงได้จินตนาการบรรเจิด โลดแล่นไม่สิ้นสุด แม้แต่ความคิดยังมีสีสันยิ่งกว่าข้า
บางอย่างข้ายังไม่กล้าแม้แต่จะคิด
อาจเพราะก่อนหลับไป คิดถึงซ่งฝูหลิงอย่างสะลึมสะลือ เล่นเอาลู่พั่นที่นอนงีบสักพักยังฝันเห็น
เขาฝันเห็นตัวเองรบชนะ ในวันที่อากาศแจ่มใส เขากลับมาแล้ว
กำลังนั่งรับแดดอยู่ที่ริมแม่น้ำใต้สะพานในเมืองเฟิ่งเทียน
พอเงยหน้าก็เห็นสตรีนางหนึ่งปรากฏตัวอยู่บนสะพาน
นางสวมชุดสีเหลืองอร่าม กระโปรงสีเขียวต้นหอม แสงแดดสาดส่องลงไปที่ตัวของนาง เปล่งประกายไปทั้งตัว
พอนางเห็นเขาก็ดีใจมากเช่นกัน ดวงตาเบิกเพลิงในทันที เท้าราวสะพานเอียงศีรษะเล็กน้อย ผ้าเช็ดหน้าสีขาวงาช้างที่อยู่ในมือโบกสะบัด “เฮ้ คุณชายลู่”
เขาพึมพำ “พั่งยา บอกไว้ว่าจะเจอกันวันที่ห้า วันนี้ถึงเพิ่งได้เจอกัน”
ลู่พั่นที่กำลังอยู่ในห้วงความฝันขยับตัวบนเตียงอย่างไม่เป็นสุข
ไม่ได้
เวลาอยู่กันส่วนตัวเจ้าจะเรียกข้าว่าอะไรก็ได้ แต่นี่อยู่ข้างนอก เจ้าเรียกบุรุษที่ยังไม่ได้แต่งงานเช่นนี้จะไม่ดีต่อชื่อเสียงของเจ้า
ลู่พั่นคนที่อยู่ในฝันรู้สึกเป็นห่วงซ่งฝูหลิงเหลือเกิน
อีกอย่าง ทำไมเจ้าถึงได้ผอมเช่นนี้ เป็นเพราะการขอเสบียงไปให้แนวหน้า พ่อเจ้าเลยไม่ให้เจ้ากินอิ่มรึ
ซ่งฝูเซิงคนผู้นี้ ไม่ให้ครอบครัวได้อยู่ดีกินดีก็แย่พอแล้ว นี่ยังจะไม่ให้เจ้ากินอิ่มอีก
พั่งยาในฝันยิ้มร่าเริง “ท่านดูชุดผ้าต่วนบนตัวข้าสิ”
ลู่พั่นในฝัน “มีประโยชน์อะไร ไม่สู้ได้กินอิ่ม”
ต่อมา อาจเพราะลู่พั่นยังติดใจเรื่องกินข้าว ภาพจึงตัดไปที่บรรยากาศอันหนาวเหน็บในช่วงฝนของฤดูใบไม้ร่วง อากาศหนาวเย็นมาก
คนที่อดตายไม่ใช่ซ่งฝูหลิง แต่เป็นเขา หิว ทำไมถึงหิวแบบนี้
ก่อนนอนไม่ได้กินข้าวสินะ