ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 450 ถูกยกระดับอย่างไม่รู้ตัว
ราบรื่นเหลือเกิน เดิมทีควรออกจากเมืองด้วยความดีใจ
ไม่ต้องเอาชีวิตไปทิ้ง อยู่บ้านปลอดภัยขนาดไหน อย่างน้อยก็ยังมีชีวิตอยู่ได้อีกยี่สิบปี
แต่พวกซ่งฝูเซิงที่ใกล้กลับถึงบ้านไม่ได้มีท่าทางดีใจแบบที่คิด ต่างมีเรื่องหนักใจ
โดยเฉพาะซ่งฝูเซิงที่เงียบตลอดทาง
หนุ่มๆ แสนซื่อหลายคนเห็นเขาเป็นแบบนี้ก็ยิ่งไม่กล้าส่งเสียง
พูดตามตรง ตอนอยู่ร้านหนังสือที่พวกเขาได้ยินซ่งฝูเซิงพูดอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ พวกเขาก็ยังแอบงง
ระหว่างทางพวกเขาคิดในใจว่า คำพูดที่ฝูเซิงพูดกับซุ่นจื่อน่าจะเป็นความในใจ คิดแบบนั้นจริงๆ
ต้องทราบก่อนว่าฝูเซิงเป็นคนที่ตรงไปตรงมา
พอนึกถึงตรงนี้พวกเขาก็ยิ่งไม่กล้าส่งเสียง
ดูเอานะ พวกเขาเทียบกับฝูเซิงยังห่างชั้นกันเยอะ เทียบไม่ได้
ก่อนพวกเขามา ยังไม่เคยคิดเรื่องพวกนี้
คิดเพียงว่าทำไม่ต้องปลูกพริกให้คนอื่นเปล่าๆ ทำไมต้องประหยัดกินประหยัดใช้ เอาอาหารไปให้ทหารกินตอนสู้รบด้วย
แนวหลังจะปลอดภัยหรือไม่ เกี่ยวอะไรกับพวกเขา
ทหารแนวหน้ามีฮ่องเต้ไม่ใช่เหรอ ขนาดคนในครอบครัวของพวกเขายังไม่พอกินเลยนะ
แต่หลังจากที่มาครั้งนี้ นึกถึงแม่ทัพเล็กที่คาดหวังผิด เชื่อว่าพวกเขาจะจงรักภักดีตอบแทนบ้านเมือง เข้าใจผิดว่าพวกเขาจะใช้เส้นอยากให้พาไปแนวหน้า ประเมินพวกเขาสูงมาก จึงรู้สึกไม่ดี
พวกเขามันคนหลอกลวง หลอกลวงทั้งนั้น
ไม่เพียงแต่จะไม่เคยคิดไปลงสนามรบ ยังคิดอีกว่าใครอยากไปก็ไป เป็นตายพวกข้าก็ไม่ไป ยอมลี้ภัยต่อดีกว่า
ทำไมถึงรู้สึกแย่แบบนี้
อันที่จริงสิ่งที่ซ่งฝูเซิงคิดมาตลอดทางก็ไม่ได้ต่างจากที่พวกเถียนสี่ฟาคิด
ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้ผิดอะไร แต่หลังจากที่ฟังซุ่นจื่อพูดจบก็รู้สึกเหมือนใจมันโหวงๆ มันแปลกๆ แบบที่บอกไม่ถูก
เขากล่อมตัวเอง
ไม่ๆๆ
เขาไม่ใช่คนที่เกิดและโตในดินแดนเฮงซวยแบบนี้
เขากับครอบครัวก็แค่จับพลัดจับผลูได้มาใช้ชีวิตที่นี่
พวกเขาอาจอยู่ที่นี่ไม่กี่ปีก็ไปแล้ว ข้ามอุโมงค์กาลเวลาในพื้นที่พิเศษกลับไปอยู่ใต้ธงแดงห้าดาว
ถ้าอย่างนั้น การที่คนที่นี่จะเป็นจะตาย จะระหกระเหินไปไหนก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขา
เขาซ่งฝูเซิงหวังเพียงว่า หยุดกันเสียที อยู่กันอย่างสงบสุข ให้ครอบครัวเล็กๆ ของพวกเขามีชีวิตอยู่อย่างราบรื่น มีกินมีใช้อย่างสุขสบายในยุคโบราณ แค่นี้ก็พอแล้ว ใช่ไหมล่ะ
แต่ถ้าเกิดว่าต้องอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิตล่ะ…
ภายใต้สถานการณ์วุ่นวายแบบนี้ สามารถปิดประตูอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ สามารถใช้ชีวิตเศรษฐีที่อยากกินอะไรก็ได้กินจริงๆ เหรอ
ไม่ต้องสนว่าข้างนอกจะวุ่นวายขนาดไหน แต่มันจะไม่ส่งผลกระทบมาถึงพวกเขาจริงๆ เหรอ
ไหนจะฝูหลิงอีก
ลูกสาวย่อมต้องเติบโต
ไม่ว่าจะอยากหรือไม่อยาก ถ้าต้องอยู่ที่นี่ไปทั้งชีวิตยังไงก็ต้องแต่งงานมีครอบครัว
ไม่ว่าในอนาคตจะแต่งกับคนแบบไหน ลูกสาวของเขาก็ต้องมีลูก
หลานชายหลานสาวมีเลือดเนื้อของคนยุคโบราณ ไม่เหมือนพวกเขาสามคน แต่ก็เป็นหลานชายหลานสาวแท้ๆ ของเขาซ่งฝูเซิงเหมือนกัน
คิดในอีกแง่มุม ต่อให้คนรุ่นพวกเขาโชคดี ไม่ต้องถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร ไม่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน แต่สภาพบ้านเมืองที่เละเป็นโจ๊กอะไรก็ไม่รู้แบบนี้ เขายังจะหลับตาลงได้อีกเหรอ
ต่อให้ลูกสาวของเขาสุขสบายดี แต่หลานๆ ของเขาในอนาคตล่ะ ต่อให้ทิ้งมรดกไว้มากแค่ไหนก็ยังต้องลำบากในสภาพบ้านเมืองระส่ำระสายอยู่ดี
ไม่ว่าจะคนแบบไหนก็เล็กเหมือนผงธุลีต่อหน้าสงคราม
ยังมีหมี่โซ่ว
ลูกหลานของหมี่โซ่ว
นั่นสินะ ยังไงก็ต้องมีคนก้าวออกมายุติความวุ่นวายนี้ และยังจะต้องทำให้บ้านเมืองสงบสุข มิฉะนั้นต่อให้ตัวเองไม่ซวย ลูกหลานก็ต้องแบกรับภาระอยู่ดี
ซ่งฝูเซิงเอาแต่คิดเรื่องนี้มาตลอดทาง
เขาคิดไปคิดมาจนถึงขั้นที่โกรธลู่พั่น
สงสัยเหลือเกินว่า ลู่พั่นจงใจหรือเปล่า หา?
ต้องทราบก่อนว่าเขาซ่งฝูเซิงเป็นคนที่เจ้าเล่ห์เห็นแก่ตัว แต่กลับถูกลู่พั่นทำให้เชื่อว่าเป็นคนดีเสียเต็มประดา
ถึงกับทำให้เขาพูดแบบนั้นกับซุ่นจื่อไปได้ ว่าจะเป็นแนวหลังที่พยายามหาของกินไปสนับสนุนอย่างเต็มที่ แม้ความสามารถของเขาจะมีอยู่อย่างจำกัดก็ตาม คงช่วยได้แค่ทำให้ทหารส่วนน้อยมีชีวิตรอดต่อไป ได้เท่าไรก็เท่านั้น เขาจะพยายามจนถึงที่สุด
“ท่านแม่ ทำไมมารวมกันอยู่ที่นี่ล่ะ”
ที่ด้านนอกทางเข้าหมู่บ้าน อยู่ไกลๆ ยังเห็นพวกท่านย่าหม่ากำลังทำลับๆ ล่อๆ
ถือคบเพลิงเข้าไปใกล้ “ทำไมหน้าแดงแบบนั้น”
ท่านย่าหม่ารีบโบกมือ จากนั้นก็ถอดถุงมือเอามือเช็ดหน้า น่าจะเช็ดไม่สะอาดหลังจากที่ร่ายรำเทพเจ้าเสร็จ “อย่าหนวกหู ข้าทาหน้าแดง ช่วงไว้ทุกข์ให้อดีตฮ่องเต้ห้ามผัดหน้า ถ้าไม่ใช่เพราะหมี่โซ่วที่เกือบถูกเอาวิญญาณไปแล้ว พูดจาเพ้อเจ้อ พวกข้าเลยแอบเผาคนกระดาษไปให้ทางนั้นเพื่อแลกกับหมี่โซ่ว”
ซ่งฝูเซิงพูดไม่ออก หญิงชราพวกนี้งมงายเป็นตุเป็นตะอีกแล้ว
“หมี่โซ่วไม่สบายหรืออะไร”
“ไว้ก่อน พวกข้าร่ายรำเสร็จแล้ว เจ้าอย่าเพิ่งพูดไร้สาระ เป็นไงบ้าง เจอไหม ถ้าไม่สำเร็จพรุ่งนี้ข้าจะเข้าเมืองไปกับเจ้า”
ส่วนทางด้านหวังจงอวี้ก็ถูกยายหวังลากไป เขาชิงตอบขึ้นมาก่อน “เจอซุ่นจื่อ พวกเราไม่ต้องไปแล้ว อืม ให้พวกเราปลูกพริกส่งไปให้ทหารแทน พอถึงเวลาก็ปลูกเยอะหน่อย”
ยายๆ ทั้งแปดตบต้นขากระโดดโลดเต้นขึ้นมาทันที ตื่นเต้นกันยกใหญ่ รีบเร่งให้เล่า “รีบเล่าให้ละเอียดสิ”
ซ่งฝูกุ้ยถูกพวกยายกัวล้อมไว้ “เล่าละเอียดอะไรล่ะ ก็ ก็ นี่ก็เล่าจบแล้วไม่ใช่เหรอ”
ซ่งฝูกุ้ยที่เป็นคนพูดเก่งมาตลอด แต่ท่าทางแบบนี้ทำไมดูพิกล
ความโกรธภายในใจของท่านย่าหม่าลดลงฮวบฮาบ ดึงแขนซ่งฝูเซิง “เจ้าสาม มีเรื่องปิดบังข้าใช่ไหม”
ทันใดนั้นซ่งฝูเซิงได้ฉีกยิ้มให้ท่านย่าหม่า “ท่านแม่ ถ้าเกิดข้าบอกว่า พวกเราปลูกพริก วันหน้าต้องทำให้คนอื่นเปล่าๆ ไม่ได้เงินแล้ว ท่านแม่จะว่าไง”
“หืม” ท่านย่าหม่าอึ้ง มองยายคนอื่นด้วยความสงสัย “แต่ถ้าพวกเจ้าไม่ต้องไป ก็ได้นี่ พริก ขนม อะไรก็ได้ อยากได้อะไรพวกเราก็จะทำให้ อย่าว่าแต่พริกเลย ต่อให้ตอนนี้มีคนบอกว่าอยากได้หัวใจข้าเพื่อแลกกับพวกเจ้าสามคนพี่น้อง ข้าก็จะทำ”
บนสะพาน ท่านย่าหม่าแน่ใจและมั่นใจแล้วว่าลูกชายคนที่สามไม่ต้องถูกเกณฑ์ไปแล้ว
นางทั้งดีใจทั้งโกรธ
หลายปีแล้วที่ไม่ได้ตีลูก นางร้องไห้พลางทุบแขนทุบหลังซ่งฝูเซิง
ไอ้ลูกตัวแสบ อยากโดนทุบใช่ไหม เวลาแบบนี้ยังจะมาพูดเรื่องเงิน มันต้องมีชีวิตอยู่หาเงินใช้เงินให้ได้ก่อนไหม นางยังพอเข้าใจเหตุผลนี้ เล่นเอานางตกใจจนคิดว่าเกิดความผิดพลาด
ท่านยายคนอื่นๆ ก็มีปฏิกิริยาตอบสนองเช่นเดียวกับท่านย่าหม่า แม้แต่ท่านยายเถียนยังปาดน้ำตาพลางทุบเถียนสี่ฟา
แต่ละคนถูกทุบกันหมด
ไม่ได้ถูกเกณฑ์ไปสักหน่อย เช่นนั้นจะทำหน้าเศร้ากันทำไมนักหนา เล่นเอาพวกนางใจคอไม่ดี อกสั่นขวัญแขวน