ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 428 ก้นขาวๆ
ที่หน้าร้าน
เจ้าขาวเดินมาช้าๆ พร้อมดวงตาสีม่วงที่ส่องแสงวูบวาบดูน่าขนลุก ชุดเกราะบนร่างมีน้ำหนักมากและดูเก่าคร่ำคร่า ลายเส้นลึกลับจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏอยู่ด้านบน
คุณชายตระกูลจางคำรามด้วยความตื่นตระหนกก่อนจะถอยร่นอย่างรวดเร็ว เขาไปหลบอยู่หลังกลุ่มยอดฝีมือขั้นเซียนเทพ
กลุ่มยอดฝีมือขั้นเซียนเทพมองหน้ากันแล้วตัดสินใจปกป้องคุณชายตระกูลจาง หากช่วยเหลือคุณชายตระกูลจางตอนมีภยันตรายได้ ตระกูลจางย่อมติดหนี้บุญคุณพวกเขา การตอบแทนจากตระกูลจางแห่งเม มืองหมอกนภานับได้ว่าคุ้มค่ายิ่ง
ยอดฝีมือขั้นเซียนเทพที่เหลือเลือกพุ่งชนและเผชิญหน้ากับเจ้าขาว
ทั้งที่สัมผัสได้ถึงรัศมีน่าเกรงขามที่เจ้าขาวแผ่ออกมา แต่พวกเขาก็ไม่คิดใส่ใจ อย่างไรเสียมันก็ไม่ใช่พลังกดดันแห่งจักรวาล นั่นแปลว่าหุ่นเชิดตรงหน้าไม่ได้มีพลังปราณถึงชั้นกายา าศักดิ์สิทธิ์
ยอดฝีมือชั้นกายาศักดิ์สิทธิ์คือผู้ที่ทำลายโซ่ตรวนขั้นเซียนเทพสำเร็จหนึ่งชิ้น พวกเขาสามารถเชื่อมต่อกับจักรวาล เพื่อปลดปล่อยพลังกดดันแห่งจักรวาลออกมาได้ และใช้มันบดขยี้ยอด ดฝีมือขั้นเซียนเทพได้ทุกราย
หุ่นเชิดตรงหน้าพวกเขาไม่มีพลังกดดันแห่งจักรวาล เช่นนั้นก็แปลว่ามันมีปราณขั้นเซียนเทพ เมื่อต่างก็เป็นขั้นเซียนเทพเหมือนกัน เหตุใดพวกเขาจึงต้องหวาดกลัวเจ้าหุ่นเชิดนี่ด้วย
จำนวนยอดฝีมือขั้นเซียนเทพของตระกูลจางมีมากพอจะคว่ำเจ้าหุ่นเชิด หรือทรมานมันก่อนแล้วค่อยฆ่าทิ้งก็ยังได้
“ทำลายมันเสียให้สิ้นซาก! ไอ้ของเล่นเส็งเคร็งนั่นกล้าลองดีกับข้า! ส่วนพ่อครัวนั่น จับตัวมันไว้! ข้าจะทรมานให้มันตายอย่างช้าๆ” คุณชายตระกูลจางรู้สึกปลอดภัยขึ้นหลังหลบอยู่ข ข้างหลังยอดฝีมือขั้นเซียนเทพทั้งหลาย
หลังถอยฉากมาหลบหลังกลุ่มยอดฝีมือขั้นเซียนเทพ คุณชายตระกูลจางก็ได้ความกล้าคืนมา เขากระทืบเท้าพลางเอ็ดตะโรเสียงดังสุดแรงปอด
คุณชายสามตระกูลหลินมองคุณชายตระกูลจางด้วยสายตานิ่งเรียบ
“เจ้าไม่ถากถางข้าแล้วรึ ไม่หัวเราะเยาะต่อเล่า” คุณชายสามตระกูลหลินเหน็บเสียงเย็นชาพลางปรายตามองอีกฝ่าย
สีหน้าของคุณชายตระกูลจางหมองคล้ำ เขาเพิ่งถูกคู่แข่งความรักล้อเลียน เช่นนี้แล้วควรจะตอบสนองอย่างไร เขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟกับคำพูดของคุณชายสามตระกูลหลิน จึงชี้นิ้วไปที่ปู้ฟางก่อน นแผดเสียงสุดกำลัง
“ทุกคน จัดการมัน!”
เหล่ายอดฝีมือขั้นเซียนเทพพุ่งทะยานด้วยพลังปราณเที่ยงแท้ ความน่าเกรงขามของขั้นเซียนเทพที่ปล่อยออกมาพร้อมกันช่างน่าอัศจรรย์ใจนัก
หนานกงหวั่นยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามของถนน นางยกมือลูบคางพลางมองไปยังร้านของปู้ฟาง ดวงตาคู่งามซึ่งแฝงไปด้วยแววความอยากรู้อยากเห็นกะพริบปริบ
เมื่อยอดฝีมือขั้นเซียนเทพจำนวนไม่น้อยลงมือพร้อมกัน ดูซิว่าเถ้าแก่คนนั้นจะรับมืออย่างไร
หนานกงหวั่นหรี่ตาลงเล็กน้อย นางเหม่อลอยขณะมองปู้ฟางที่อยู่อีกฟากของถนน ปู้ฟางหยิบกระทะอย่างใจเย็นแล้วคว้าถังเดินกลับเข้าร้านไป
โครม!
เสียงดังกึกก้องดึงความสนใจของหนานกงหวั่น นางจ้องกลุ่มยอดฝีมือขั้นเซียนเทพที่กำลังรุมสกรัมเจ้าขาวอยู่
ในสายตาของนาง แม้ว่าเจ้าหุ่นเชิดนั่นจะทรงพลัง แต่ไม่น่าต้านทานการโจมตีของยอดฝีมือขั้นเซียนเทพจำนวนมากได้ นอกเสียจากว่ามันจะมีปราณชั้นกายาศักดิ์สิทธิ์
กระนั้นหุ่นเชิดปราณชั้นกายาศักดิ์สิทธิ์ก็หาได้ยากยิ่ง แม้แต่ในทวีปมังกรซ่อนเร้น ไม่มีสำนักใดจะผลิตหุ่นเชิดชั้นกายาศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้นอกจากสำนักหุ่นเชิด
ทว่าฉากที่ปรากฏตรงหน้ากลับทำให้ดวงตาคู่งามของหนานกงหวั่นเบิกกว้าง ความประหลาดใจปรากฏให้เห็น
ยอดฝีมือขั้นเซียนเทพคนหนึ่งที่ทั้งร่างท่วมท้นไปด้วยพลังปราณเที่ยงแท้ทะยานเข้าหาเจ้าขาวราวกับเป็นม้าศึก พลังปราณของเขาหนาแน่นมากจนเหมือนจะหลอมรวมกันเป็นรูปร่าง เขาพุ่งตร รงไปหมายมั่นจะบดขยี้เจ้าขาว
ในเวลาเดียวกัน ยอดฝีมือขั้นเซียนเทพที่เหลือก็เปิดฉากบุก พลังปราณเที่ยงแท้ของพวกเขาทรงพลังจนเหมือนจะถล่มร้านให้พินาศได้
ดวงตาของเจ้าขาววูบวาบสว่างจ้า ลำแสงสีม่วงปรากฏอยู่ภายใน อึดใจต่อมาเจ้าขาวก็สยายปีก
เสียงกรุ๋งกริ๋งดังก้องอย่างต่อเนื่อง ประหนึ่งอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีสิ่งใดเทียบเทียมเพิ่งถูกดึงออกจากฝัก สายลมเอื่อยรอบตัวเจ้าขาวเปลี่ยนไปในบัดดล รัศมีรอบตัวของมันพลันรุน นแรงขึ้นจนน่าขนลุก
ปัง!
มือใหญ่เหมือนพัดพุ่งคว้าศีรษะของยอดฝีมือขั้นเซียนรายหนึ่งไว้ เจ้าขาวจับศีรษะของคนผู้นั้นฟาดพื้นจนเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
ชั่วขณะที่ศีรษะของยอดฝีมือขั้นเซียนเทพผู้นั้นฟาดพื้น เลือดสีแดงก็กระเซ็นไปทั่ว
ถนนของเมืองหมอกนภาทั้งแข็งแกร่งและทนทาน การฟาดของเจ้าขาวไม่อาจทำให้พื้นสะเทือนได้
หากเป็นนครหลวงของจักรวรรดิวายุแผ่ว คงเกิดหลุมลึกบนพื้นถนนอย่างแน่นอน หลุมคงลึกลงไปหลายจั้งเพราะพลังของเจ้าขาว
อย่างไรก็ตาม ที่นี่คือเมืองหมอกนภา เป็นเมืองโอสถที่มีหอโอสถตั้งอยู่ ทั้งยังมีวงแหวนปราณปกป้องจำนวนนับไม่ถ้วน
พอเจ้าขาวจัดการหนึ่งในยอดฝีมือขึ้นเซียนเทพได้ภายในครั้งเดียว มันก็ยืนขึ้นแล้วฉีกทึ้งเสื้อผ้าของคนผู้นั้น
แม้ว่าเสื้อผ้าจะถูกฉีกทึ้งจนขาด แต่ยอดฝีมือขั้นเซียนเทพก็ได้แต่นอนร่อแร่อยู่บนพื้น
เจ้าหุ่นนี่สามารถเล่นงานยอดฝีมือขั้นเซียนเทพได้ด้วยกระบวนท่าเดียว
ยอดฝีมือขั้นเซียนเทพที่เหลือตาเหลือกตาพอง จ้องมองปู้ฟางด้วยสีหน้าหวาดกลัว
เจ้าขาวเอียงคอก่อนพูดด้วยเสียงจักรกล “ไม่มีใครหนีพ้นทั้งสิ้น…”
โครม!
เสียงกึกก้องดังขึ้นไม่ขาดสายขณะที่เจ้าขาวออกไล่ล่าทุกคน ประหนึ่งว่าเป็นสุนัขป่าวายร้ายท่ามกลางฝูงแกะ ร่างโลหะของมันแข็งแกร่งไร้ขีดจำกัด ทุกกระบวนท่าจัดการยอดฝีมือขั้นเซียนเทพ พได้อยู่หมัด ทั้งยังฉีกทึ้งเสื้อผ้าของคนเหล่านั้นจนล่อนจ้อน จากนั้นก็ทิ้งให้โป๊เปลือยอวดสายตาชาวบ้านอยู่บนพื้น
ยอดฝีมือขั้นเซียนเทพที่เหลือถูกเจ้าขาวเล่นงานไม่ต่างกันและแทบจะเอาชีวิตไม่รอด พวกเขาถูกฉีกกระชากเสื้อผ้าแล้วโยนลงมากลางถนน
เจ้าขาวชูศีรษะของยอดฝีมือขั้นเซียนเทพคนสุดท้ายที่สีหน้าบ่งบอกถึงความเจ็บปวด ยกตัวอีกฝ่ายขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะดึงทึ้งเสื้อผ้าออกด้วยมือที่เหมือนพัด
หลังจากกระชากชุดของยอดฝีมือขั้นเซียนเทพรายสุดท้ายเรียบร้อย เจ้าขาวก็โยนคนผู้นั้นทิ้งสบายๆ ยอดฝีมือขั้นเซียนเทพทุกคนถูกกำจัดง่ายดายยิ่งนัก
ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ต่างตกใจสุดขีด
นี่มันหุ่นบ้าหุ่นบออะไร เหตุใดเจ้าหุ่นเชิดนี่จึงอัศจรรย์เพียงนี้
เมื่อทุกคนที่อยู่แถวนั้นเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับบรรดายอดฝีมือขั้นเซียนเทพ พวกเขาก็รู้สึกเหมือนมีลมเย็นพัดผ่านตัว มันเหมือนทุกคนถูกกระชากเสื้อผ้าออกแล้วโดนโยนทิ้งข้างถนนไม ม่ต่างกัน
ทั้งหมดกระเดือกน้ำลายลงคอ เมื่อเห็นยอดฝีมือขั้นเซียนเทพทั้งหลายนอนล่อนจ้อนอยู่กับพื้น
การเอาชนะยอดฝีมือขั้นเซียนเทพได้สิบสองคนถือว่าไม่เท่าไหร่ สิ่งที่น่ากลัวกว่าคือเจ้าขาวเปลื้องผ้าเหล่าขั้นเซียนเทพทั้งหลายด้วย หมอนี่มันวิปริตผิดเพี้ยนไม่ต่างจากเจ้าของเลย ยจริงๆ
ปู้ฟางปรุงของเสียต่อหน้าสาธารณชน ส่วนเจ้าหุ่นเชิดก็ฉีกกระชากเสื้อผ้าของใครหลายคนกลางชุมชน
สองตัวประหลาดมาโผล่ในเมืองหมอกนภาตั้งแต่เมื่อไรกัน
คุณชายตระกูลจางจ้องสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าพลางอ้าปากค้าง เขาประหลาดใจยิ่งยวด คิดอะไรไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง
ตอนนั้นเองรูม่านตาของเขาก็หดเกร็งเมื่อความกลัวอันไร้ขอบเขตเข้าเกาะกุมจิตใจ เขาเพิ่งรู้ตัวว่าเจ้าขาวยืนอยู่ห่างแค่คืบ ในสายตาของเขา ดวงตาสีม่วงของมันช่างน่าสยดสยองยิ่งน นัก
“ข้าคือคุณชายตระกูล... อ๊าก! วางข้าลงเดี๋ยวนี้!
“อย่านะ! หยุด!”
คุณชายตระกูลจางแทบระเบิดร้องไห้ออกมา เจ้านี่คือหุ่นเชิดชั้นกายาศักดิ์สิทธิ์จริงๆ เสียด้วย
เหตุใดหุ่นเชิดชั้นกายาศักดิ์สิทธิ์จึงมาโผล่ในเมืองหมอกนภาได้ แม้ว่าเขาจะเป็นหนุ่มเจ้าสำราญแต่ก็ไม่ได้เบาปัญญา เขาเป็นถึงทายาทของตระกูลจาง ย่อมมีความรู้ว่าโลกใบนี้เป็นเช่ นไร
หุ่นเชิดชั้นกายาศักดิ์สิทธิ์ย่อมเป็นของคนจากสำนักหุ่นเชิดมิใช่หรือ
แควก!
เจ้าขาวไม่แยแสเสียงคร่ำครวญของคุณชายตระกูลจางสักนิด มันฉีกชุดไหมทองของชายหนุ่มแล้วโยนเขาตัวลอยไปแสนไกล
หลายคนเริ่มส่งเสียงดังเซ็งแซ่ เมื่อเห็นว่าสิ่งที่ลอยข้ามขอบฟ้าไปคือก้นขาวผ่อง
“ช่างขาวเจิดจ้าเสียเหลือเกิน”
คุณชายสามตระกูลหลินมองคู่แข่งความรักถูกฉีกกระชากเสื้อผ้าแล้วโยนลงถนนอย่างตื่นเต้น
ตอนนั้นเองคุณชายสามตระกูลหลินก็รู้สึกหนาวไปถึงกระดูก สีหน้าของเขาเยียบเย็นเป็นน้ำแข็งขณะมองคุณชายตระกูลจางกับก้นขาวผ่องของอีกฝ่าย แล้วละสายตามาเห็นดวงตาสีม่วงของเจ้าขาว
“มองข้าทำไม… ข้าไม่ได้.. อ๊าก! อย่านะ!”
เสียงโอดครวญน่าสังเวชดังขึ้นอีกรอบ ก้นขาวผ่องอีกก้นลอยมาตกอยู่ข้างๆ คุณชายตระกูลจาง
หลังจัดการหมดทุกคนแล้ว เจ้าขาวก็พับเก็บปีกโลหะ ดวงตาสีม่วงส่องแสงวูบวาบ มันหันหลังช้าๆ แล้วค่อยๆ เดินกลับเข้าร้าน ร่างอันใหญ่โตของมันหายเข้าไปในร้านต่อหน้าต่อตาทุกคน
ปู้ฟางตีพุงเจ้าขาวเบาๆ แล้วพยักหน้าให้ เขารู้สึกสาแก่ใจกับความสามารถของเจ้าขาวยิ่งนัก มันช่วยแก้ปัญหาได้มากมายอย่างที่คิดไว้จริงๆ การจับผู้ก่อความไม่สงบแก้ผ้าก่อนโยนออกไป ปนอกร้านเป็นวิธีที่ง่ายดาย ดีกว่าให้เขาใช้กระทะฟาดอยู่หลายขุม
ปู้ฟางเดินไปที่ร้านอย่างสงบนิ่ง เขาหันมองคุณชายสามตระกูลหลินที่มีสีหน้าโศกสลดและคนอื่นๆ ที่กำลังคลานขึ้นจากพื้น เมื่อเห็นคนพวกนั้นเอามือปิดของสงวนของตัวเองก่อนหายลับไ ไปท่ามกลางฝูงชน เขาก็อดยกยิ้มมุมปากไม่ได้
“ร้านยังเปิดทำการอยู่”
หลังพูดเสร็จ ปู้ฟางก็หันหลังแล้วเดินกลับเข้าร้านไป
หนานกงหวั่นหรี่ตาลงจนกลายเป็นจันทร์เสี้ยวสองดวง หลังหายจากอาการตกใจ นางก็ปิดร้านอย่างเริงร่าแล้วพุ่งไปที่ร้านอาหารหมอกเมฆาทันที
หนานกงหวั่นรับรู้แล้วว่าร้านแห่งนี้น่าสนใจจริงๆ
หากคุณชายสามตระกูลหลินและคุณชายตระกูลจางเห็นหนานกงหวั่นวิ่งไปที่ร้านของปู้ฟางด้วยอาการรื่นเริงเช่นนี้ พวกเขาอาจกระอักเลือดออกมาด้วยความขุ่นเคือง ทั้งสองต่อสู้เพื่อแย่งชิงคว วามรักจากเทพธิดา แต่เทพธิดากลับวิ่งรี่ไปยังร้านที่เจ้าของเพิ่งจับพวกเขาแก้ผ้าแล้วโยนทิ้งบนถนน
เหตุใดความเป็นจริงจริงจึงโหดร้ายนัก
หลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหน้าร้านอาหารหมอกเมฆาแพร่สะพัดไปทั่วเมืองหมอกนภาอย่างรวดเร็ว
“คุณชายสามตระกูลหลินถูกจับแก้ผ้า! เขาวิ่งล่อนจ้อนกลางถนน!”
“คุณชายตระกูลจางสู้เพื่อเทพธิดาของเขาแล้วลงเอยด้วยชุดไหมทองที่ใส่ฉีกขาด แถมยังถูกบังคับให้เดินเปลือยกายกลางถนน”
คุณชายสามตระกูลหลินและคุณชายตระกูลจางเดินเปลือยเปล่าไปทั่วเมืองหมอกนภา พวกเขาแข่งกันว่าก้นของใครขาวผ่องกว่ากัน”
….
ดั่งคำกล่าวที่ว่า ข่าวดีไม่หลุดออกจากบ้าน ข่าวร้ายกระจายไปหลายสิบลี้
ไม่นานข่าวคุณชายสามตระกูลหลินและคุณชายตระกูลจางล่อนจ้อนอวดก้นขาวกลางถนนก็แพร่สะพัดไปทั้งเมืองหมอกนภา ทั้งยังเล่าแตกต่างกันไปหลายร้อยแบบ
…..
หนานกงหวั่นเดินเข้าร้านอย่างอยากรู้อยากเห็นก่อนนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิม
หญิงสาวเลิกคิ้วพลางถอดผ้าคลุมหน้า ดวงหน้างดงามไม่มีใครเสมอเหมือนเผยสู่สายตาของชาวโลก นางยิ้มให้ปู้ฟางก่อนเอ่ยถาม “เถ้าแก่ปู้ เจ้ามาจากสำนักหุ่นเชิดใช่หรือไม่ หุ่นเชิดตัวนั้น. … ยอดเยี่ยมเป็นที่สุด!”
“สำนักหุ่นเชิดรึ ข้าไม่เคยได้ยินชื่อสำนักนั้น” ปู้ฟางอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบคำถามอีกฝ่าย สีหน้าของเขาราบเรียบไร้อารมณ์เหมือนเคย
หนานกงหวั่นยิ้มหวานก่อนเอ่ยต่อ “มีเพียงสำนักหุ่นเชิดเท่านั้นที่สร้างหุ่นเชิดชั้นกายาศักดิ์สิทธิ์ได้…”
“ข้าบอกแล้วว่าไม่ได้มาจากสำนักหุ่นเชิด เจ้าอยากกินอะไร ถ้าไม่ได้มากินอาหารก็ออกไป” ปู้ฟางขมวดคิ้ว รู้สึกอึ้งไม่น้อยเมื่อได้ยินคำพูดของหนานกงหวั่น
เขาไม่รู้จักสำนักหุ่นเชิดอะไรนั่นจริงๆ
“ช่างเถอะๆ ไม่อยากยอมรับก็ไม่เป็นไร ข้าจะเตือนด้วยความหวังดีว่าอีกครึ่งเดือน เมืองหมอกนภาจะมีการประลองเพื่อชิงสัดส่วนผู้ที่จะได้เข้าไปในดินแดนเร้นลับ การประลองนี้มีขึ้นทุก กสามปี ถึงตอนนั้นทุกสำนักในทวีปมังกรซ่อนเร้นจะส่งยอดฝีมือของพวกเขามาที่นี่ ยอดฝีมือจากสำนักหุ่นเชิดก็จะมาด้วย เจ้าควรทำตัวดีๆ เข้าไว้ล่ะ” หนานกงหวั่นกล่าว
“ตกลงว่า… เจ้าอยากกินอะไรไม่ทราบ” ปู้ฟางถามย้ำอีกครั้ง
หนานกงหวั่นเบ้ริมฝีปากสีแดงก่ำ นางอุตส่าห์เตือนด้วยความปรารถนาดีแต่คนผู้นี้กลับไม่ขอบคุณสักคำ หรือว่าเขาจะไม่ใช่คนจากสำนักหุ่นเชิดจริงๆ
เช่นนั้นแล้วหุ่นเชิดชั้นกายาศักดิ์สิทธิ์ตัวนั้นมาจากไหน
ช่างเถอะ… นางส่งป้ามู่ออกไปสืบข่าวของคนผู้นี้ก็ได้
“เต้าหู้เหม็นหนึ่ง… ไม่สิ เดี๋ยวก่อน เอาข้าวผัดไข่หนึ่งชาม ในเมื่อที่นี่เป็นร้านอาหาร อาหารรายการอื่นก็น่าจะรสชาติดีไม่ต่างกัน จริงไหมล่ะ” หนานกงหวั่นคิดครู่หนึ่งก่อนสั่ง งอาหาร นางยกมือขึ้นเท้าคางพลางจับจ้องไปที่ปู้ฟาง
“อีกเดี๋ยวเจ้าจะได้รู้รสชาติอาหารจานอื่นของข้า” ปู้ฟางยืนขึ้น ก่อนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์