ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 165 แข่งกันอย่างหนักจนแทบบ้า
ตอนที่ 165 แข่งกันอย่างหนักจนแทบบ้า
………………..
สองคนกลับมาช้ากว่ากองทัพใหญ่ถึงหนึ่งเดือนเต็ม
ตอนนี้เป็นวันที่สิบสองในเดือนสุดท้ายของปี
ทั้งด้านในและด้านนอกเมืองเต็มไปด้วยพ่อค้าแม่ค้า บรรยากาศคึกคักเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อได้ยินสำเนียงบ้านเกิดที่คุ้นเคย เคล้ากับกลิ่นอายของวิถีชีวิตที่อบอุ่น หลิวฉีก็เช็ดน้ำตาแห่งความตื่นเต้นที่ไหลออกมา หัวใจที่ลอยเคว้งคว้างมาตลอดทางในที่สุดก็สงบลง
เขาคิดว่าอาสามของเขาก็คงรู้สึกเช่นเดียวกัน แต่เมื่อหันไปมอง กลับเห็นสายตาของอาสามฉายแววสับสนยุ่งเหยิงที่เขาอ่านไม่ออก
“เจ้ากลับไปก่อนเถอะ” หลิวจี้ผลักหลิวฉีไปด้านข้าง ก่อนจะเดินเข้าเมืองเพียงลำพัง
หลิวฉีรีบร้องเรียกตามหลัง “อาสาม ท่านไม่กลับบ้านหรือ”
หลิวจี้ไม่หยุดเดิน แต่หันกลับมาตอบด้วยสีหน้ารันทด “ข้ายังมีเรื่องที่ต้องสะสาง เจ้าไปก่อนเถอะ”
“งั้น…งั้นข้านำข่าวไปบอกอาสะใภ้สามให้นะ บอกนางว่าท่านกลับมาแล้ว นางต้องดีใจแน่ๆ” หลิวฉีอยากจะช่วยทำอะไรสักอย่างเพื่อแสดงความขอบคุณ
หากไม่มีอาสามนำทางมาตลอดทาง เกรงว่าเขาคงไม่มีโอกาสได้กลับมาแล้ว
มุมปากของหลิวจี้กระตุกเล็กน้อย ในใจคิดว่า หากหญิงผู้นั้นรู้ว่าเขากลับมา มีหวังแบกดาบใหญ่ตามมาเชือดเขาทันทีแน่!
พอคิดถึงตรงนี้ หัวใจของหลิวจี้ก็เย็นเยือกลงราวกับน้ำในคูเมืองช่วงสิ้นปี
ไม่ได้ เขาต้องทำอะไรสักอย่าง ทั้งที่รอดตายกลับมาได้อย่างยากลำบาก จะยอมแพ้ต่อโชคชะตาได้อย่างไร
ก็แค่ให้เขาท่องตำราไม่ใช่หรือ เช่นนั้นเขาจะท่องมันให้สุดชีวิตไปเลย!
เมื่อคิดถึงเรื่องการท่องตำรา หลิวจี้คิดว่าตัวเองน่าจะรู้สึกต่อต้านเหมือนก่อนหน้านี้ แต่ที่แปลกก็คือ คราวนี้เขากลับรู้สึกกระตือรือร้นและแทบอดใจรอไม่ไหวที่จะหยิบตำราขึ้นมาอ่านแล้ว
การท่องตำราเป็นสิ่งที่ดี หากท่องจนสอบได้ตำแหน่งก็ไม่ต้องถูกเกณฑ์แรงงานอีกต่อไป
ใครอยากไปชายแดนก็เชิญเถอะ! ต่อให้ต้องตายเขาก็ไม่มีทางกลับไปอีก!
หลิวจี้ยื่นเหรียญให้ทหารเฝ้าประตูสองเหวิน ก่อนก้าวเดินอย่างมั่นคงมุ่งหน้าไปยังสำนักศึกษาในเมือง
ตอนนั้นจากไปอย่างเร่งรีบ ข้าวของหลายอย่างยังคงถูกทิ้งไว้ในหอพักของสำนักศึกษา ทั้งผ้าห่ม เตาอุ่น รวมถึงพู่กัน หมึก กระดาษ และแท่นฝนหมึก แม้ว่าจะเทียบกับของที่บ้านไม่ได้ แต่เมื่อนึกถึงว่าตัวเองเคยต้องนอนกลางทุ่งหญ้าที่ชายแดนมาก่อน ตอนนี้แค่มีเสื่อเก่า ๆ สักผืนก็นับว่าดีมากแล้ว
หลิวจี้รู้สึกว่าตัวเองเหมือนบรรลุสัจธรรม ราวกับมีพลังบริสุทธิ์ไหลเวียนจากฝ่าเท้าขึ้นไปถึงกระหม่อม เขาต้องการใช้ชีวิตอย่างจริงจังเสียที!
“พี่หลิว?”
จู่ๆ ก็มีเสียงเรียกอย่างลังเลดังขึ้นจากด้านหลัง
หลิวจี้หลุดออกจากห้วงความคิดอันแจ่มชัดนั้น ร่างกายสั่นสะท้านเพราะความหนาว
เมื่อก้มลงมองรองเท้าของตัวเองก็พบว่ามันมีรูโหว่ขนาดใหญ่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ความหนาวเย็นพุ่งเข้าสู่ร่างอย่างไร้ปรานี เสียดแทงจนถึงกระหม่อม
“เป็นเจ้าจริงๆ หรือหลิวจี้! เจ้ากลับมาได้จริงๆ !”
บัณฑิตหลายคนที่แต่งกายด้วยเครื่องแบบของสถานศึกษาต่างพากันห้อมล้อมเข้ามาด้วยความประหลาดใจ มองหลิวจี้ราวกับไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
“ข้านักพรต…ไม่สิ ใช่แล้ว เป็นข้าน้อยเอง” ตอนนี้ไม่ต้องแสร้งทำเป็นนักพรตอีกต่อไป หลิวจี้จึงรีบปรับตัว ยิ้มจางๆ และพยักหน้าให้เหล่าสหายร่วมสำนัก
กลุ่มบัณฑิตหลายคนมองเขาด้วยความสนใจ รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างในตัวเขาที่เปลี่ยนไป แต่ก็ไม่อาจบอกได้ว่าคืออะไร
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร การกลับมาของเขาย่อมเป็นเรื่องที่น่ายินดี ทุกคนกล่าวแสดงความยินดีเป็นเสียงเดียวกัน “ยินดีด้วย! กลับมาได้ก็ดีแล้ว! พวกเรานึกว่าเจ้าตายไปแล้วเสียอีก…”
พอรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไป เสียงก็ค่อยๆ เบาลงพร้อมกับรอยยิ้มเจื่อนๆ ที่ส่งให้หลิวจี้
หลิวจี้โบกมือ “ไม่เป็นไร พวกเจ้ากำลังจะกลับไปที่สำนักศึกษาหรือ”
ทุกคนพยักหน้า หลิวจี้จึงเชื้อเชิญให้เดินไปด้วยกัน
มีคนถามเขาว่าระหว่างทางเกิดอะไรขึ้นบ้าง หลิวจี้ตอบเพียงสั้นๆ ว่า “นี่คือวาสนา ยากจะอธิบายได้”
พอพูดจบก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตนเองเผลอใช้สำนวนของนักพรตไปอีกแล้วจึงรีบกระแอมไอสองครั้ง ก่อนแก้ไขคำพูดใหม่ “แค่มีเรื่องไม่คาดคิด แต่โชคดีที่สวรรค์เมตตา ทำให้รอดมาได้”
“พี่หลิว ไยท่านจึงไม่กลับบ้านก่อนเล่า” ทุกคนมองเขาอย่างสงสัย
หลิวจี้ตอบว่า “การเดินทางครั้งนี้ทำให้ข้าพลาดการเรียนไปไม่น้อยจึงอยากรีบกลับไปท่องตำราให้ทัน ถึงวันหยุดค่อยกลับบ้านก็ยังไม่สาย เรื่องการเรียนสำคัญกว่า”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นบรรดาสหายร่วมชั้นเรียนต่างก็รู้สึกขนลุกจนศีรษะชา พากันถอยกรูดไปสองก้าว มองสำรวจหลิวจี้ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
ตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่าอะไรคือสิ่งที่เปลี่ยนไป ต่อให้ยังสวมเสื้อผ้าขาดวิ่น รองเท้าโหว่ แต่ก็ไม่อาจปิดบังความมุ่งมั่นอันยิ่งใหญ่ในใจเขาได้
การมุ่งมั่นเรียนหนังสือถึงเพียงนี้ หลังจากเสร็จสิ้นการเกณฑ์แรงงาน สิ่งแรกที่เขาทำไม่ใช่กลับบ้านแต่เป็นการตรงดิ่งมายังสำนักศึกษาเพื่อเข้าชั้นเรียน นี่ใช่หลิวจี้คนเดียวกับที่เคยเที่ยวเตร่ใช้ชีวิตฟุ้งเฟ้อไปกับฝานซิ่วไฉและพวกพ้องเมื่อก่อนจริงน่ะหรือ
มีคนขยี้ตาตัวเอง คิดว่าต้องตาฝาดไปแน่ๆ เพราะวันนี้หลิวจี้ดูสง่างามและหล่อเหลากว่าที่เคยเป็นเสียอีก
แต่เมื่อมองอีกครั้ง ชายหนุ่มตรงหน้ายังคงเปล่งประกายเจิดจ้า จนแทบมิอาจจ้องมองตรงๆ ได้
เมื่อถึงสถานศึกษา หลิวจี้ประสานมือคารวะสหายร่วมชั้นเล็กน้อยก่อนจะขอตัวไปก่อน
พอถึงหอพัก ต้องผ่านการทักทายและอธิบายเรื่องราวให้สหายร่วมห้องพักฟังอีกรอบ พอจัดการเรื่องทั้งหมดเสร็จ ท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้ว
หลิวจี้ต้มน้ำร้อน เช็ดตัวให้สะอาด สระผมแล้วเปลี่ยนมาสวมชุดที่สะอาดเรียบร้อยและบางเบา หลังจากซักเสื้อผ้าที่สกปรกจนสะอาดแล้ว เขาปล่อยผมให้สยาย นั่งลงข้างเตาผิงพลางอังไฟให้เสื้อผ้าและผมแห้ง ขณะเดียวกันก็หยิบ ‘หลุนอวี่’ ขึ้นมาอ่าน แม้แสงไฟจะไม่สว่างมากนัก แต่เขาก็บังคับตัวเองให้ตั้งใจอ่านจนถึงที่สุด
เป้าหมายคือก่อนถึงปีใหม่ เขาต้องท่องตำราหลุนอวี่ให้ขึ้นใจทั้งหมด
เช่นนี้เมื่อสตรีอำมหิตบุกมาถึงหน้าประตู อย่างน้อยก็ยังพอมีโอกาสรอดชีวิตอยู่บ้าง
หลิวจี้รู้สึกว่าสมองของตนเองไม่เคยแจ่มชัดเช่นนี้มาก่อน การที่เขาเคยแสร้งเป็นนักพรต ดูเหมือนจะทำให้เขาเข้าถึงบทบาทของนักพยากรณ์ผู้เชี่ยวชาญในการวางกลยุทธ์ สามารถมองทะลุจิตใจของผู้คนได้จริง ๆ
ฉินเหยาผู้นี้ เป็นคนประเภทที่เห็นแก่ผลประโยชน์เป็นหลัก ทุกสิ่งที่เอื้อประโยชน์แก่นาง นางย่อมให้การสนับสนุน
แต่สิ่งใดที่ไม่เกิดประโยชน์ นางก็เพียงเพิกเฉย
ทว่าหากเป็นสิ่งที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อนาง นางจะกำจัดสิ่งนั้นตั้งแต่ต้น ก่อนที่มันจะมีโอกาสได้เติบโต
หลังจากที่ได้ลิ้มรสความยากลำบากที่ชายแดน หลิวจี้ย่อมรู้ดีว่าฉินเหยาเริ่มมีใจคิดสังหารตนแล้ว
เดาว่า นางคงคาดการณ์ได้ล่วงหน้านานแล้ว มองทะลุถึงความทุกข์ยากของแต่ละชนชั้น ไม่ว่าจะเป็นนักปราชญ์ ชาวนา ช่างฝีมือ หรือพ่อค้า นั่นจึงเป็นเหตุผลที่นางต้องการก้าวขึ้นไปอีกขั้น
และสิ่งนี้ ไม่ใช่สิ่งที่เขาเองก็พยายามไขว่คว้ามาตลอดชีวิตหรอกหรือ
เพียงแต่ว่า ในอดีตเขาเคยหลงผิดคิดจะใช้เส้นทางลัด ทว่ากลับลืมปัญหาสำคัญประการหนึ่งไป…ตัวเขาเป็นเพียงชาวนา ไร้คุณค่าใดๆ ในสายตาของผู้มีอำนาจ
คำประจบสอพลอของเขา ใครๆ ก็สามารถกล่าวแทนได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า
ทว่าหากเป็นคนที่ทั้งสามารถเขียน วาดภาพ เปี่ยมสติปัญญาและรูปโฉมหล่อเหลา อีกทั้งยังรู้จักประจบประแจง เช่นนี้จักหาผู้ทดแทนมิได้!
เมื่อชุดผ้าฝ้ายแห้งสนิท หลิวจี้ก็จับตำราไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างสวมเสื้อ ทว่าสายตายังไม่ละไปจากหน้าตำรา
หลังจากอ่านบท ‘ศึกษาเรียนรู้’ และ ‘ว่าด้วยการปกครองจบ’ สองบทนี้จบแล้ว เขาจึงวางตำราลงชั่วครู่ แกะสายรัดผมวางลงบนตัก แล้วจุ่มพู่กันลงในหมึก ค่อยๆ บรรจงเขียนตัวอักษรห้าตัวลงไปว่า ‘ดาวเหวินฉวี่คุ้มครองข้า’ จากนั้นก็มัดสายรัดนั้นไว้บนศีรษะตามเดิม
ประหนึ่งว่าทำเช่นนี้แล้ว เขาจะได้รับการคุ้มครองจากดาวเหวินฉวี่และสามารถจดจำทุกสิ่งได้ในพริบตา
นับตั้งแต่วันที่กลับมา หลิวจี้ท่องตำราตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ไม่หยุดพักทั้งกลางวันและกลางคืน ประหนึ่งว่าเขามิจำเป็นต้องหลับนอน
สหายร่วมห้องพักของเขาพากันตื่นตระหนก รีบนำตำราออกมาอ่านด้วยความหวาดกลัว เกรงว่าตนจะถูกทิ้งห่าง
ไม่ทันถึงสามวันนับจากที่หลิวจี้กลับมา เหล่าบัณฑิตทั้งหลายในสำนักศึกษาอำเภอไคหยางต่างก็ถูกบีบบังคับให้หยิบตำราขึ้นมาอ่าน แล้วเข้าร่วมขบวนการศึกษาอย่างขยันขันแข็ง
แต่มิใช่ว่าทุกคนเต็มใจทำเช่นนี้ เป็นเพราะหลิวจี้เจ้าคนแปลกประหลาดนี่แหละ อาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาสั่งให้เหล่าบัณฑิตเรียนรู้จากเขา ถึงกับเลื่อนการสอบปลายปีให้เร็วขึ้น
เหล่าบัณฑิตจึงจำต้องเข้าร่วมเพื่อให้สามารถผ่านการทดสอบได้
ฝานซิ่วไฉถูกดึงเข้าไปในกระแสนี้จนแทบจะเป็นบ้า เขาพุ่งเข้าไปหาหลิวจี้แล้วตวาดด่าด้วยความโกรธว่า “เจ้าต้องดิ้นรนเล่าเรียนถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
หลิวจี้มิได้เงยหน้าขึ้นเลย เอ่ยเสียงเรียบว่า “หากมีดาบเล่มหนึ่งแขวนอยู่เหนือศีรษะ เพียงแค่หยุด มันก็จะฟันลงมาแล้วสหายฝานคิดว่าจะเรียนหรือไม่เรียนเล่า”
ฝานซิ่วไฉรีบถูแขนตัวเองแรง ๆ รู้สึกขนลุกซู่ น่ากลัวชะมัด!