ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 166 หาความอัปยศใส่ตัว
ตอนที่ 166 หาความอัปยศใส่ตัว
………………..
วันที่ยี่สิบห้าเดือนสิบสอง การสอบย่อยของสำนักศึกษาก็สิ้นสุดลง หลิวจี้ถือกระดาษคำตอบที่อาจารย์ให้คะแนนยอดเยี่ยมไว้ในมือ สูดลมหายใจเข้าลึก เตรียมใจเผชิญหน้ากับทุกสิ่ง จากนั้นจัดเก็บสัมภาระให้เรียบร้อยแล้วออกเดินทางกลับบ้าน
ในช่วงเวลานี้ หลิวไป่เคยมาพบเขาที่อำเภอครั้งหนึ่ง จุดประสงค์หลักก็เพื่อยืนยันว่าเขากลับมาอย่างมีชีวิตจริงๆ
เมื่อแน่ใจว่าเขายังมีชีวิตอยู่และมุ่งมั่นทุ่มเทท่องตำรา หลิวไป่ก็รู้สึกโล่งใจยิ่งนัก กลับบ้านไปอย่างวางใจ
นับแต่นั้น หลิวจี้ก็รู้ว่าฉินเหยาทราบแล้วว่าเขากลับมาแบบมีชีวิต
เขาไม่กล้าแม้แต่จะก้าวออกจากประตูใหญ่ของสำนักศึกษา จนกระทั่งการสอบย่อยสิ้นสุดลงและสำนักศึกษาเริ่มปิดภาคเรียน จำต้องออกไป ขณะเดินออกจากเมืองเขาก็เต็มไปด้วยความกังวล
เพราะไม่มีเงินจึงทำได้เพียงเดินเท้า
ตลอดทาง หลิวจี้ประหนึ่งวิหกตื่นเสียงเกาทัณฑ์ เพียงแค่มีลมพัดผ่านหรือเสียงใบไม้ไหวก็ทำให้เขาสะดุ้งตกใจได้
หลังจากเดินมาได้หนึ่งชั่วยามครึ่ง เมื่อถึงเส้นทางระหว่างหมู่บ้านเซี่ยเหอกับเมืองจินสือ ท้องฟ้าก็มืดครึ้มลงกะทันหัน หิมะขาวเม็ดละเอียดราวเกลือโปรยปรายลงมา
หลิวจี้เร่งฝีเท้า เขาเคยเป็นแรงงานให้กองทัพ ถูกทหารคอยเร่งและเฆี่ยนตีทุกวัน ทำให้เขาฝึกฝนความเร็วในการเดินทางมาโดยไม่รู้ตัว ไม่นานก็เดินมาถึงหมู่บ้านเซี่ยเหอ
เหลือระยะทางอีกไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็จะถึงบ้านแล้ว คิดว่าหากฉินเหยาต้องการดักซุ่มเล่นงานตนก็คงลงมือไปนานแล้ว ไม่น่าจะรอจนถึงทางกลับหมู่บ้าน เขาจึงถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก
คาดไม่ถึงว่า ทันทีที่ก้าวออกจากเขตหมู่บ้านเซี่ยเหอก็มีเสียงกีบม้าควบทะยานดังขึ้นจากทางด้านหลัง
หัวใจของหลิวจี้บีบรัด เขาหันกลับไปมองอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง เพียงเห็นม้าสีน้ำตาลตัวใหญ่ควบตะบึงมาทางตนด้วยความเร็วสูง
และบนหลังม้านั้น หญิงสาวผู้สวมหมวกไม้ไผ่ปีกกว้าง กดขอบหมวกลงต่ำจนเห็นเพียงปลายคางเรียวเย็นชา ก็คือคนที่เขาหวาดระแวงมาตลอดทาง และไม่อยากพบเจอที่สุด
ฉินเหยาร้องเสียงดังว่า “ย่าห์!” พร้อมกับหนีบขาทั้งสองข้างเข้ากับท้องม้า ให้มันเร่งฝีเท้าพุ่งทะยานมาข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง
ร่างกายตอบสนองโดยอัตโนมัติ เขาคุกเข่าทรุดลงกับพื้นดัง “ปึก!” แล้วหลับตาปี๋ เอ่ยปากท่องตำราด้วยความเร็วสูง
“ขงจื๊อกล่าวไว้ว่า การปกครองด้วยคุณธรรม ประดุจดั่งดาวเหนือ ยืนนิ่ง ณ ที่ของตนเหล่าดวงดาวต่างก็จะเข้ามารายล้อม!”
“ขงจื๊อกล่าวไว้ว่า นำพาประชาด้วยกฎหมาย ปกครองด้วยบทลงโทษ ประชาชนจักเพียงหลบเลี่ยงแต่ไร้ความละอาย หากนำด้วยคุณธรรม ปกครองด้วยจารีตประเพณีและมารยาท ประชาชนจักมีความละอายและมีระเบียบแบบแผน!”
“ขงจื๊อกล่าวไว้ว่า เมื่อข้าอายุสิบห้าปี มุ่งมั่นศึกษาเรียนรู้ สามสิบปียืนหยัดได้ด้วยตนเอง สี่สิบปีปราศจากความหลงผิด ห้าสิบปีเข้าใจฟ้าลิขิต หกสิบรับฟังความเห็นผู้อื่นโดยไม่ขัดแย้ง เจ็ดสิบปีทำตามใจโดยไม่ละเมิดหลักการ…”
ขณะที่กีบม้าพุ่งขึ้นมาถึงเหนือศีรษะของหลิวจี้แล้ว จู่ๆ ฉินเหยาก็กระตุกบังเหียนหักเลี้ยวฉับพลัน ทำให้ม้าหมุนตัวกลับและตกลงมายืนอยู่ข้างเขาอย่างหวุดหวิด
หลิวจี้รู้สึกได้ถึงไอร้อนที่แผ่ออกมาจากขาม้าอันแข็งแกร่งกำยำของเจ้าเหล่าหวง แม้ภายนอกจะดูสงบนิ่งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เหงื่อเย็นกลับไหลลงมาจากหน้าผากของเขาอย่างควบคุมไม่ได้
กระนั้น ปากยังคงท่องต่อไปด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้น “ขงจื๊อกล่าวไว้ว่า ทบทวนสิ่งเก่าเพื่อเข้าใจสิ่งใหม่ ย่อมสามารถเป็นอาจารย์ได้…จื่อจางถาม สามารถคาดการณ์เรื่องราวในอีกสิบชั่วอายุคนข้างหน้าได้หรือไม่ ขงจื๊อกล่าวว่า ราชวงศ์อินสืบทอดขนบจากราชวงศ์เซี่ย การเปลี่ยนแปลงล้วนสามารถเข้าใจได้ หากมีผู้สืบทอดราชวงศ์โจว แม้ผ่านไปถึงร้อยชั่วอายุคนก็ยังคาดการณ์ได้”
“ขงจื๊อกล่าวไว้ว่า บูชาเทพเจ้าของผู้อื่น ถือเป็นการประจบประแจง หากเห็นสิ่งที่ถูกต้องแต่ไม่ลงมือทำ ถือเป็นความขลาดเขลา!”
‘บทว่าด้วยการปกครอง’ ในหลุนอวี่ยี่สิบสี่ข้อ ถูกท่องจนจบในลมหายใจเดียว เมื่อแน่ใจว่าท่องหมดแล้ว เขาจึงกล้ายกเปลือกตาขึ้นมองสถานการณ์โดยรอบ
ทันทีที่เงยหน้าขึ้น ดวงตาเขาก็สบเข้ากับนัยน์ตาของฉินเหยาที่มองต่ำลงมาประหนึ่งกำลังตรวจสอบบางสิ่ง ในแววตานางมีประกายความประหลาดใจ เหมือนกับไม่อยากเชื่อว่าเขาจะสามารถทำเช่นนี้ได้
ทั้งที่ก่อนหน้านี้ แม้จะเค้นจนแทบตายก็ยังจำสิ่งใดไม่ได้ เหตุใดตอนนี้ถึงสามารถท่องได้รวดเดียวจนจบ?
“หลิวจี้?” นางเอ่ยเรียกเสียงเย็น ราวกับต้องการยืนยันว่าบุรุษตรงหน้านี้ไม่ได้ถูกวิญญาณใดเข้าสิง
หลิวจี้กลืนน้ำลายลงคอ ออกเสียงตอบรับเบาๆ ว่า “อื้ม!” แล้วเผยรอยยิ้มแห้งๆ “เมียจ๋า ข้าได้คะแนนยอดเยี่ยมในการสอบย่อยด้วยล่ะ!”
กล่าวจบก็รีบควักกระดาษคำตอบออกมาจากห่อผ้า คลี่ออกแล้วยกขึ้นสูงเพื่อให้นางเห็นตัวอักษรยอดเยี่ยมขนาดใหญ่บนกระดาษได้ชัดๆ
ฉินเหยาสูดลมหายใจเย็นเยียบ “ซี๊ด” นางปัดหิมะที่ตกลงมาบนกระดาษออก ก่อนจะเห็นตัวอักษรยอดเยี่ยมที่เขียนด้วยลายมือพริ้วไหวราวมังกรทะยานหงส์โบยบิน
นางขมวดคิ้วเล็กน้อย เหลือบตามองเขาอย่างแคลงใจ
หลิวจี้รีบแสดงความภักดีทันที “เมียจ๋า แม้ว่าการถูกเกณฑ์แรงงานจะทำให้ข้าล่าช้าไปสามเดือน แต่บัดนี้ข้าท่องจำหนึ่งในสี่ตำราได้แล้ว อีกสามเล่มที่เหลือ ข้ายังมีเวลาอีกสองเดือน หากมุมานะตั้งใจก็ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อการสอบคัดเลือกปีหน้า”
ครั้งนี้ฉินเหยาถึงกับต้องมองเจ้าขยะตรงหน้านี้ใหม่อีกครั้งด้วยสายตาที่ต่างออกไปแล้ว นางเก็บดาบที่ชักออกมาได้ครึ่งเล่มกลับลงฝักแล้วส่งสัญญาณให้เขาลุกขึ้นมาพูดคุยกัน
นางควบม้าไปข้างหน้าอย่างไม่รีบร้อน “กริชเล่า”
สมบัติล้ำค่านี้ หลิวจี้เก็บไว้กับตัวมาโดยตลอด แม้แต่ตอนที่ยากจนที่สุดก็ไม่เคยกล้าขายมันออกไป ตอนนี้เขารีบหยิบกริชที่ห่อด้วยเศษผ้าสามชั้นออกมาคืนให้ฉินเหยา
ฉินเหยาถามต่อ “แล้วหม้อเล่า”
หลิวจี้ตบห่อผ้าของตน “เก็บไว้เป็นอย่างดี ไม่มีรอยเสียหายแม้แต่น้อย ข้าขอถือไว้ก่อนเถิด ประเดี๋ยวเมียจ๋าจะเมื่อยมือ”
ท่าทางประจบประแจงของเขายังเหมือนเดิมทุกประการ ฉินเหยาจึงขจัดความสงสัยเรื่องที่เขาอาจถูกดวงวิญญาณเข้าสิงไปได้แล้วเอ่ยถามอีกว่า
“ข้าไม่ได้จ่ายเงินให้เจ้าหลุดพ้นจากการเกณฑ์แรงงาน เจ้าคงแค้นข้าไม่น้อยใช่หรือไม่”
ท่ามกลางหิมะที่ตกหนัก หลิวจี้กลับเหงื่อแตกจนหน้าผากชุ่มไปหมด เขาแอบยกแขนเสื้อขึ้นซับเหงื่อก่อนจะตอบด้วยสีหน้าจริงจังว่า
“ตอนแรกข้าก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่หรอกว่าเมียจ๋าทำแบบนี้ทำไม แต่พอเวลาผ่านไป ข้าก็ค่อย ๆ เข้าใจ เมียจ๋าทำถูกแล้ว ทั้งหมดเป็นเพราะข้าไม่รู้จักหักห้ามใจ ปล่อยปละละเลยการศึกษาเอง”
“แต่บัดนี้ข้าตระหนักแล้วว่าเคยทำผิดไป ที่เมียจ๋าตีข้าก็เพราะว่ารักข้า…”
ฉินเหยาตักเตือนขึ้นทันทีว่า “ระวังคำพูดของเจ้าหน่อย”
หลิวจี้หัวเราะแห้งๆ สองที ข้ามคำพูดหวานเลี่ยนไปแล้วพูดต่อ
“สุภาษิตกล่าวไว้ได้ดี ไม้เรียวสร้างบัณฑิต หากมิใช่เพราะเมียจ๋าคอยเฆี่ยนตีข้าอยู่เสมอ แล้วข้าหลิวจี้จะมีวันดีๆ เช่นนี้ได้อย่างไร”
“ครั้งนี้ที่ได้ไปส่งเสบียงถึงชายแดน ข้าถึงได้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่า มีเพียงการศึกษาเท่านั้นที่จะเปลี่ยนโชคชะตาของพวกชนชั้นต่ำอย่างเราได้…โอ้ ข้าหมายถึงตัวข้านะ ไม่ได้หมายถึงเมียจ๋า อย่าเข้าใจผิดไป”
เมื่อรู้ตัวว่าหลุดคำว่าพวกเราออกมา หลิวจี้ก็รีบแก้คำพูดโดยไว
ท้ายที่สุดการบ่มเพาะพวกต้าหลางสี่พี่น้อง ย่อมต้องใช้เวลานานกว่าจะได้ผลตอบแทนกลับมา
แต่หลิวจี้มิเป็นเช่นนั้น หากเขายอมตั้งใจศึกษาตามวิธีของนางแล้ว การสอบได้ตำแหน่งซิ่วไฉก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม
และเมื่อถึงตอนนั้น นางเองก็จะได้รับผลประโยชน์ไปด้วย
ส่วนปัญหาที่หลิวจี้อาจนำพามา หลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้ เมื่อพินิจจากท่าทีของเขาในตอนนี้ก็ยังอยู่ในขอบเขตที่นางสามารถอดทนได้
เพราะนางเชื่อว่า หลิวจี้ไม่มีทางอยากถูกเกณฑ์แรงงานอีกแน่
ครั้งนี้เป็นเพราะโชคช่วย เขาถึงสามารถกลับมาได้โดยไม่บาดเจ็บแม้แต่น้อย
แต่ครั้งหน้า…ใช่ว่าจะมีโชคดีเช่นนี้เสมอไป!
“เมียจ๋า เจ้ายังโกรธข้าอยู่หรือไม่” รออยู่นานยังมิได้ยินเสียงตอบจากฉินเหยา หลิวจี้จึงเอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจ
ฉินเหยาหลุบตาลงมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะแค่นยิ้มเยาะแล้วกล่าวว่า “ข้ามีเรื่องใดให้ต้องโกรธกันเล่า เจ้าคู่ควรให้ข้าโกรธด้วยหรือ”
หลิวจี้ “ขออภัย เป็นข้าที่หาความอัปยศใส่ตัวเอง”
ฉินเหยาพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ถือว่าเจ้ายังโชคดี ผ่านพ้นเคราะห์ครั้งนี้ไปได้”
หิมะค่อยๆ โปรยปรายลงมา ทว่าไม่ได้ตกหนักมากนัก ทั้งสองคน คนหนึ่งขี่ม้า อีกคนวิ่งตามหลัง จนกระทั่งเดินทางกลับถึงหมู่บ้านตระกูลหลิวโดยสวัสดิภาพ
เมื่อเห็นฉินเหยาหยุดม้าลงที่หน้าประตูเรือนเก่าของตระกูลหลิวแล้วหิ้วเนื้อหมูสามชั้นสดใหม่เตรียมจะก้าวเข้าไป หลิวจี้ถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่นี้นางมาปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังของเขาได้อย่างไรกัน
เป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ หรือ?
………………..