ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 188 ดูเหมือนจะได้แล้ว
………………..
เรื่องนี้ ก่อนหน้านี้ซื่อเหนียงเคยถามมาไม่น้อยกว่ายี่สิบครั้งแล้ว
แต่เมื่อวันไปสำนักศึกษาของต้าหลางและเอ้อร์หลางใกล้เข้ามาทุกที นางก็เอ่ยถามบ่อยขึ้นเรื่อยๆ
ฉินเหยาใช้เหตุผลต่างๆ หลอกล่อไปเรื่อย แต่ครั้งนี้ ดูเหมือนจะใช้วิธีนั้นไม่ได้อีกแล้ว
ซื่อเหนียงเพียงแค่อายุยังน้อย แต่นางไม่ได้โง่
เหตุผลที่เคยใช้กล่อมนางมาก่อน ที่จริงแล้วล้วนไม่มีน้ำหนักเลย
พี่สามก็อายุยังน้อยเช่นกัน อายุเท่ากันกับนาง แต่อีกสองปี พี่สามก็สามารถไปสำนักศึกษาได้ ทว่ากลับไม่มีใครบอกว่าอีกสองปีนางก็จะโตพอไปได้เช่นกัน
พี่รองเองก็ใช่ว่าจะแข็งแรงนัก เขาเองก็เดินทางไกลไม่ไหว แต่กลับสามารถนั่งเกวียนวัวไปสำนักศึกษาได้
ยังมีอีกตั้งหลายเหตุผล ที่ท่านแม่พูดมาล้วนไม่ถูกต้อง!
ไม่สิ ดูเหมือนจะมีเหตุผลหนึ่งที่ถูกต้อง
“เป็นเพราะข้าเป็นเด็กหญิงหรือ” ซื่อเหนียงพึมพำด้วยความไม่เข้าใจ “ทำไมเด็กหญิงถึงทำไม่ได้ แต่เด็กชายกลับทำได้เล่า”
ก่อนอายุสี่ขวบ นางไม่มีมารดาอยู่เคียงข้างจึงไม่เคยรู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างสถานะของชายหญิง
หลังจากอายุสี่ขวบ ผู้หญิงเพียงคนเดียวที่นางได้ใกล้ชิดก็คือฉินเหยา ในสายตานาง ยิ่งไม่มีความแตกต่างระหว่างชายหญิงขึ้นไปอีก
ในใจของเด็กหญิงตัวน้อย ท่านแม่เก่งกว่าท่านพ่อ เก่งกว่าพี่ชายทั้งหลาย เก่งกว่าทุกคนในหมู่บ้านนี้!
จะให้นางเข้าใจว่าเหตุใดเด็กหญิงถึงไปสำนักศึกษาไม่ได้ นับว่าเป็นเรื่องยากทีเดียว
ก่อนหน้านี้ หลิวจี้เองก็เคยตอบแบบนี้ไปแล้ว แต่พอถูกถามกลับมาว่า เหตุใดเด็กหญิงถึงทำไม่ได้?
เขาเองก็ไม่อาจอธิบายได้แน่ชัดจึงทำได้เพียงกล่าวว่า ‘แต่โบราณมาก็เป็นเช่นนี้’
ซื่อเหนียง เด็กหญิงตัวน้อยคนนี้ ตอนที่ฉลาดก็ฉลาดยิ่งนัก แต่เพราะฉลาดเกินไป บางครั้งจึงมักจะคิดจนสุดปลายทาง หากไม่เข้าใจแจ่มแจ้ง นางย่อมไม่ยอมละวาง
นิสัยดื้อรั้นถึงเพียงนี้ จู่ๆ ฉินเหยาก็เกิดความสงสัยขึ้นมาจึงเอ่ยถามว่า “ซื่อเหนียง เจ้าเกิดปีฉลูใช่หรือไม่”
“พี่ใหญ่ ข้าเกิดปีอะไรหรือ” นางรีบหันไปถามพี่ใหญ่ผู้มากสามารถของตน ความสนใจก็ถูกเบี่ยงเบนไปในพริบตา
ต้าหลางคำนวณอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตอบว่า “เจ้าเกิดปีเถาะ”
ซื่อเหนียงพยักหน้าเบาๆ แล้วเอ่ยถามต่ออย่างสงสัย “แล้วพี่สามเล่า”
ต้าหลางตอบว่า “ย่อมเป็นปีเถาะเช่นกัน”
ซื่อเหนียง “แล้วพี่รองเล่าเจ้าคะ”
ถามพี่รองเสร็จก็ถามพี่ใหญ่ ถามพี่ใหญ่เสร็จจึงถามท่านพ่อต่อ…
ฉินเหยาลอบถอนหายใจโล่งอก รีบเร่งให้พี่น้องทั้งสี่คนไปล้างหน้าล้างตาให้สะอาดแล้วกลับห้องนอนเสีย!
ส่วนคำถามของซื่อเหนียงนั้น นางขอคิดหาคำตอบที่เหมาะสมก่อนแล้วค่อยตอบนางภายหลัง
คืนนั้น ฉินเหยานอนดึกกว่าปกติ
หนึ่งเพราะต้องวาดแบบแปลนหีบหนังสือที่แบ่งเป็นช่องๆ
สองคือมัวแต่ครุ่นคิดหาคำตอบให้กับคำถามของซื่อเหนียง
ทว่าความจริงของสังคมนั้นโหดร้ายเกินไปสำหรับเด็กหญิงตัวน้อย หากเป็นไปได้ ฉินเหยาก็หวังให้นางเติบโตขึ้นอย่างโง่เขลาเหมือนกับจินฮวาหรือเด็กหญิงคนอื่นๆ ในหมู่บ้าน อย่าได้ตั้งคำถามมากมายเช่นนี้เลย
ความคาดหวังและความหวังทั้งหมดของเด็กหญิงตัวน้อยถูกบดขยี้จนหมดสิ้นตั้งแต่แรกเริ่ม เรื่องไร้มนุษยธรรมเช่นนี้ ปล่อยให้หลิวจี้เป็นผู้ทำเถอะ
พริบตาเดียว วันที่ยี่สิบแปดเดือนหนึ่งก็มาถึง เหลือเวลาอีกเพียงสี่วันก่อนการเปิดภาคเรียนในเดือนสอง
ช่างไม้หลิวเร่งมือทำอย่างสุดกำลัง ในที่สุดก็ทำหีบหนังสือพลังเซียนของต้าหลางและเอ้อร์หลางเสร็จเรียบร้อย
ใช้ไม้เนื้อแข็งที่แข็งแรงทนทาน ภายนอกยังแกะสลักลวดลายเล็กน้อย ทาด้วยสีดำขลับ ดูเรียบง่ายแต่สง่างาม
ภายในหีบถูกแบ่งชั้นและช่องต่างๆ ตามความต้องการของแต่ละคนเป็นพิเศษโดยฉินเหยา หีบของต้าหลางมีช่องสำหรับใส่หนังยางดีดและกริชโดยเฉพาะ
ส่วนของเอ้อร์หลางนั้นเป็นช่องกว้างที่สามารถจัดเก็บสิ่งของได้อย่างอิสระ ตามแต่เจ้าตัวจะต้องการ
มิใช่เพื่อขาย แต่เพื่อแสดงฝีมืออันประณีตของตน กล่าวได้ว่าเป็นสมบัติชิ้นเอกของร้าน
ฉินเหยาหิ้วหีบหนังสือพลังเซียนทั้งสองกลับบ้าน ต้าหลางและเอ้อร์หลางก็รีบหอบกลับเข้าห้องของตน แล้วเริ่มจัดเก็บข้าวของลงไป
ซานหลางซึ่งเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นเดินตามพี่ชายทั้งสองไปติดๆ เฝ้ามองพวกเขาจัดเตรียมพู่กัน หมึก กระดาษ และแท่นฝนหมึกสำหรับเข้าเรียน
วันก่อน ฉินเหยาพาสองพี่น้องไปพบฮูหยินผู้เฒ่าติงที่จวนตระกูลติง แม้ว่าหลิวจี้จะไม่ได้ไปด้วย ฮูหยินผู้เฒ่าติงดูจะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่เรื่องการเข้าเรียนของสองพี่น้องก็เป็นอันเรียบร้อยแล้ว
ทุกอย่างถูกเตรียมพร้อม เหลือเพียงรอให้ถึงวันเปิดภาคเรียน
ทว่าในช่วงหลายวันนี้ซื่อเหนียงกลับมีท่าทีซึมเศร้า เพราะพี่ชายทั้งสามคนมักจะเล่นด้วยกันตลอด ส่วนจินฮวาก็ถูกมารดาขังไว้ที่บ้านเพื่อเรียนรู้ศาสตร์งานเย็บปักถักร้อยของสตรี เด็กหญิงตัวน้อยมักจะนั่งอยู่บนธรณีประตูเพียงลำพัง จ้องมองไปยังที่ใดที่หนึ่งนิ่งๆ ได้เป็นชั่วยามโดยไม่ขยับตัวเลย
ฉินเหยากล่าวว่าจะสอนนางฝึกวรยุทธ์ แต่นางกลับไม่มีความสนใจ แม้ว่าก่อนหน้านี้จะเห็นพี่ใหญ่ฝึกวรยุทธ์แล้วร้องอยากเรียนตลอดเวลา แต่พอฉินเหยาตอบตกลง นางกลับไม่อยากเรียนเสียแล้ว
ต้าหลางและเอ้อร์หลางแรกเริ่มก็ไม่ได้ใส่ใจน้องสาวนัก บัดนี้ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว ทั้งสองจึงพักความสนใจจากเรื่องเข้าศึกษาแล้วพบว่าน้องสาวดูไม่มีความสุข
ทั้งสองพยายามปลอบนาง โดยบอกว่ารอพวกเขาไปศึกษาที่สำนักศึกษาของตระกูลติงแล้ว กลับมาก็จะมาสอนนางกับซานหลาง
ทว่าเด็กหญิงตัวน้อยยังคงไม่มีชีวิตชีวา บางครั้งเมื่อได้ยินพวกพี่ชายพูดอยู่ข้างหูจนรำคาญ นางก็จะไม่สนใจพวกเขาอีก ดำดิ่งเข้าสู่โลกเล็กๆ ของตนเอง
ขณะที่ทุกคนในบ้านกำลังกลัดกลุ้มกับเรื่องนี้ เสียงตีฆ้องก็ดังขึ้นจากฝั่งตรงข้ามแม่น้ำ
“มีเรื่องมงคลอะไรรึ?” เอ้อร์หลางลุกพรวดขึ้น รีบวิ่งไปที่เนินลาด มองไปทางหมู่บ้านด้วยความตื่นเต้น
ไม่นานนัก ร่างสูงใหญ่ของหลิวฉีก็ปรากฏขึ้นที่ริมน้ำ เขาตีฆ้องไปพลางร้องประกาศไปพลาง
“ผู้ใหญ่บ้านมีข่าวดีจะประกาศ ทุกคนไปที่ศาลบรรพชน!”
ราวกับต้องการยืนยันว่าเหล่าแม่ลูกที่อยู่บนเขาได้ยินหรือไม่ หลิวฉีจึงโบกมือไปมา เอ้อร์หลางเองก็โบกมือตอบกลับ
เมื่อรู้ว่าพวกเขาได้ยินแล้ว หลิวฉีจึงยิ้มอย่างพึงพอใจ ประหยัดแรงเดินไปได้หน่อย ก่อนจะหันกลับเข้าไปในหมู่บ้าน ตีฆ้องแจ้งข่าวตามบ้านอื่นต่อ
ฉินเหยาได้ยินตั้งแต่แรกแล้ว มองไปที่ซื่อเหนียงซึ่งยังซึมเซาอยู่แล้วอุ้มเจ้าตัวเล็กขึ้นมาอย่างสงสาร พร้อมกับส่งสัญญาณให้ต้าหลางกับคนอื่นๆ ลงกลอนประตูแล้วตามไป จากนั้นจึงก้าวนำไปยังศาลบรรพชนในหมู่บ้าน
ระหว่างทางพบชาวบ้านไม่น้อย ทุกคนล้วนตื่นเต้นและสงสัย ผู้ใหญ่บ้านตีฆ้องเช่นนี้ จะมีเรื่องดีอันใดกันหนอ?
หรือว่าปีนี้ภาษีจะได้รับการลดหย่อน?
ด้วยความสงสัย ชาวบ้านทั้งหมู่บ้านที่มิได้ลงนาล้วนพากันตรงไปยังศาลบรรพชน
ศาลบรรพชนเล็กแคบ แต่ละบ้านจึงส่งตัวแทนเข้าไปเพียงหนึ่งคน ที่เหลือล้วนยืนล้อมอยู่นอกประตู บ้างก็เป็นชายหนุ่มกำยำแข็งแรง ปีนขึ้นต้นไม้ไปมองลอดกำแพงเข้าไปด้านใน
เมื่อเห็นว่าคนมากันพร้อมหน้าแล้ว ผู้ใหญ่บ้านก็ยิ้มแย้มพลางหยิบเอกสารที่เพิ่งได้รับมาใหม่ๆ ซึ่งยังอุ่นอยู่ในมือขึ้นมาแล้วอ่านประกาศให้ฟัง
ถ้อยคำในนั้นวิจิตรนัก ชาวบ้านไร้การศึกษา ฟังไปก็คล้ายตกอยู่ในม่านหมอก
แต่ทว่าเมื่อได้ยินคำว่า “ละเว้นค่าเล่าเรียนสองปี” ท่อนนี้ กลับฟังได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง หัวใจเต้นรัวเร็วยิ่งนัก
เรื่องใดก็ตามที่เกี่ยวกับการลดหย่อนหรือการยกเว้น ชาวบ้านไหนเลยจะมีความอดทนรอให้เจ้าอ่านจบ ผู้ที่อาวุโสหน่อยจึงเอ่ยปากขัดผู้ใหญ่บ้านโดยตรง บอกให้อธิบายให้ชัดแจ้งเสียที อย่ามัวแต่อ่านเอกสารที่ฟังไม่รู้เรื่องนั่นอีก
หลิวเหล่าฮั่นที่อยู่ด้านข้างก็กล่าวเสริมว่า “นั่นสิๆ พวกเราไม่อยากฟังเอกสารอันใด พวกเราเพียงอยากฟังผู้ใหญ่บ้านกล่าว ท่านว่าเช่นใด พวกเราก็เชื่อเช่นนั้น!”
หากผู้ใหญ่บ้านไว้หนวดเคราล่ะก็ คงถูกเจ้าพวก ‘ชาวบ้านจอมวุ่น’ กลุ่มนี้ทำให้เคราชี้ชันขึ้นด้วยความโมโหแล้วเป็นแน่
………………..