ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 127 ความหวาดเกรง หมากกระดานใหญ่!
“ฟืดดด”
กู้จื่ออวี่และกู้จื่อเหยาสูดหายใจเฮือกใหญ่พร้อมกัน แววตาที่จ้องมองฉินม่านอวิ๋นตื่นตกใจสุดขีด
กู้จื่อเหยาไม่อาจรักษาท่าทีสงบเยือกเย็นได้อีกต่อไป นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เจ้าแน่ใจหรือว่า ไม่ได้ล้อเล่น?”
เซียนอย่างนั้นเหรอ!
สิ่งที่อยู่เหนือกว่าจุดสูงสุดของโลกบำเพ็ญเซียน หลายพันปีมาแล้วที่ไม่มีผู้บำเพ็ญเซียนผู้ได้ขึ้นสวรรค์ แต่กลับมีการปรากฏตัวของเซียน นี่มันเรื่องอะไรกัน?
ประเด็นสำคัญที่สุด สตรีผู้นั้นยังเป็นทาสรับใช้ของบุรุษผู้นั้นเสียอีก?
เขาต้องสุดยอดล้ำเลิศเพียงใดกัน?
“เรื่องเช่นนี้ ท่านคิดว่าข้าจะเอามาล้อเล่นหรือ?” ฉินม่านอวิ๋นมองกู้จื่อเหยา ดวงตางามไร้ซึ่งเจตนาหยอกล้อ นางเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเปี่ยมศรัทธาจริงจัง “คนผู้นี้…เหนือกว่าขั้ นเซียนอยู่ไกลโข ข้าก็ไม่รู้จะใช้คำพูดเช่นไรดี แต่พวกท่านต้องรู้ไว้อย่าง ว่าเพียงเขาโปรยก้อนกรวดเล็กน้อยโดยไม่ตั้งใจ ก็เพียงพอจะสั่นสะเทือนขุมทรัพย์อันล้ำค่าแห่งโลกบำเพ็ญ เซียนได้ทั้งใบแล้ว”
“เอ่อ…นี่มัน…”
กู้จื่อเหยาตกอยู่ในความตะลึงมึนงง นางส่ายศีรษะ สติปัญญาที่มีอยู่บอกนางว่าเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ ทว่าในใจลึกๆ กลับรู้สึกว่าสิ่งที่ฉินม่านอวิ๋นกล่าวมาเป็นเรื่องจริง
นางเอ่ยอย่างอดไม่ได้ “พวกเจ้าสองคนคงไม่ได้รวมหัวกันมาล้อข้าเล่นกระมัง?”
“ท่านพี่ ข้าสาบานได้ ข้าไม่ได้ล้อเล่น” กู้จื่ออวี่รีบร้อนเอ่ย “บอกตามตรง ข้าเริ่มรู้สึกชาหัวขึ้นมาแล้ว หากคนธรรมดาผู้นั้นสุดยอดถึงเพียงนี้จริง ข้าได้สนทนากับเขายาวนานเช่ นนั้น นับได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่สุกใสล้ำค่าที่สุดในชีวิตข้าเลย”
กู้จื่อเหยาผ่อนลมหายใจยาวสงบอารมณ์ “เรื่องนี้ยากจะเชื่อได้จริงๆ ช่างเหนือจินตนาการนัก!”
“เรื่องของผู้ยิ่งใหญ่ เดิมทีข้าบอกพวกท่านไม่ได้ แต่ในเมื่อกู้จื่ออวี่ได้พบกับเขา ก็หมายความว่าผู้ยิ่งใหญ่เริ่มวางหมากแล้ว นี่เป็นกฎที่พวกท่านต้องปฏิบัติตาม ข้าถึงได้พูด ด”
ฉินม่านอวิ๋นชะงัก ลังเลอยู่พักหนึ่ง “ความจริงแล้วบันทึกท่องประจิม ก็เป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่เขียนขึ้นมา!”
“อะไรนะ?” กู้จื่ออวี่จ้องฉินม่านอวิ๋น รู้สึกราวกับแฟนคลับได้พบไอดอลที่ตนชื่นชอบ เขาพูดด้วยความตื่นเต้น “เขาคือผู้อาวุโสอู๋เฉิงเอินหรือ?”
“อู๋เฉิงเอินคือนามปากกาของเขา หากไตร่ตรองให้ดีเจ้าก็จะรู้ เขาเผยแพร่บันทึกท่องประจิมอันล้ำค่าเช่นนั้นกลับไม่ต้องการให้คนใต้หล้าสำนึกบุญคุณเขา ช่างเป็นจิตใจที่สูงส่งเพียงใด ”
ฉินม่านอวิ๋นทอดถอนใจเบาๆ “เดิมทีข้าคิดว่าบันทึกท่องประจิมแฝงไว้เพียงทำนองมรรคาที่ผู้ยิ่งใหญ่ใช้สั่งสอน ทว่าเมื่อครู่ได้ฟังเจ้าถอดความ ถึงได้รู้ว่าที่แท้ผู้ยิ่งใหญ่ยังแฝงนัย ยไว้มากกว่านั้น! ความเข้าใจของข้ายังน้อยไปสินะ”
กู้จื่อเหยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงซับซ้อน “เมื่อครู่ฟังคำพูดของจื่ออวี่ ข้าก็ถึงได้กระจ่างขึ้นมา คิดไม่ถึงว่าบันทึกท่องประจิมยังมีความหมายลึกซึ้งในอีกทางหนึ่ง”
ฉินม่านอวิ๋นมองกู้จื่ออวี่พร้อมเอ่ยอย่างจริงจัง “มีหลายเรื่องที่ผู้ยิ่งใหญ่ไม่พูดออกมาตรงๆ เขาให้คำใบ้เจ้ามากมายเช่นนี้ ภายในต้องซ่อนความหมายลึกซึ้งบางอย่าง เจ้าลองเล่าเหต ตุการณ์ที่ได้พบกับเขาตั้งแต่ต้นจนจบมา พวกเราจะช่วยกันคิด”
กู้จื่ออวี่เริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมดอย่างละเอียดให้ฟังโดยทันที
ครั้งนี้ เขามีสีหน้าท่าทางจริงจังขึ้นมาก ซึ่งหมายความว่าเขาก็รู้ถึงความสำคัญของเรื่องนี้
ฉินม่านอวิ๋นหูผึ่งตั้งใจฟัง ไม่ให้ตกไปแม้แต่คำเดียว สมองเริ่มประมวลผลอย่างรวดเร็ว
ยามที่รู้ว่าบันทึกท่องประจิมเป็นเพียงฉากหนึ่งที่กำกับเองแสดงเอง ในใจของนางก็อดกระตุกอย่างรุนแรงไม่ได้
และตอนนี้เอง นางได้รับพรจนบังเกิดความคิดทะลุปรุโปร่ง ผ่อนลมหายใจยาวเหยียด
“เฮ้อ…”
“ข้าว่าข้าเข้าใจแล้ว ที่แท้นี่ก็คือหมากกระดานใหญ่!”
ฉินม่านอวิ๋นสีหน้าซับซ้อนจนไม่อาจจะบรรยาย แวววตาฉายประกายโศกเศร้า
“เป็นอะไรไป?” กู้จื่อเหยาขมวดคิ้ว
“ผู้ยิ่งใหญ่กล่าวถึงปุถุชนกับผู้บำเพ็ญเซียน เพื่อแสดงให้เห็นว่าตั้งแต่เกิดทุกอย่างก็ถูกกำหนดไว้แล้ว แต่นี่หาใช่ประเด็นหลัก ประเด็นหลักอยู่ที่คำอุปมา!”
แววตาของฉินม่านอวิ๋นมีความหวาดกลัวอยู่ลึกๆ จนเกือบจะพูดออกมาอย่างสั่นเครือ “พวกท่านลองคิดดู เหนือผู้บำเพ็ญเซียนมิใช่เซียนหรอกหรือ? เช่นนั้นก็คือเซียนรุ่นที่สองใช่หรือไม่? ? ผู้บำเพ็ญรุ่นข้าเพียรบำเพ็ญมาชั่วชีวิต ไล่ตามเส้นทางความเป็นอมตะ แต่กับเซียนรุ่นที่สองนั่น แค่แสร้งพยายามก็ได้มันมาแล้วมิใช่หรือ? ในเมื่อถูกกำหนดไว้แล้ว พวกเราจะพยายามต ต่อไปเพื่ออะไร? หนทางสู่เซียนถูกตัดขาดจะเกี่ยวข้องกับสิ่งนี้หรือไม่?”
ฉินม่านอวิ๋นตกใจกับการคาดเดาของตน จนแทบจะทันทีที่เริ่มเอ่ย เหงื่อเย็นเยียบก็ผุดพรายทั่วร่างกาย คล้ายกับได้ค้นพบความลับที่ยิ่งใหญ่พอจะทำให้นางสูญเสียพลังดับสิ้นชีวี
ภายในใจของนางราวกับมีคลื่นซัดกระหน่ำรุนแรง ที่แท้ผู้ยิ่งใหญ่ได้นำความลับที่ยิ่งใหญ่นี้มาบอกกับใต้หล้านานแล้ว เขากำลังเล่นเกมกับมนุษย์ เดินหมากตัวใหญ่ ข้าโชคดีพอจะได้เป ป็นหมากของเขา นับเป็นเกียรติอันใหญ่หลวงของข้าจริงๆ
ส่วนกู้จื่อเหยาและกู้จื่ออวี่ก็ตกใจหน้าซีดไม่ต่างกัน รู้สึกราวกับสมองจะระเบิดออกมา ความหวาดกลัวที่ก่อตัวขึ้นฉับพลันทำให้แขนขาทั้งสี่เย็นยะเยือก
หนทางสู่เซียนถูกตัดขาด พวกเขารู้สึกลึกซึ้งกว่าใคร เพราะบิดาของพวกเขาเป็นถึงผู้บำเพ็ญขั้นต้าเฉิง ทว่ามักได้ยินเขาถอนใจอยู่คนเดียวบ่อยๆ นี่ก็คงเป็นความสับสนที่ไม่รู้จะเดิน นไปทางไหนต่อ
กู้จื่ออวี่บ่นอย่างอดไม่ได้ “ท่านกำลังบอกว่ามีคนขวางเส้นทางเซียนของเรา เพื่อทำให้บรรพบุรุษตลอดจนทายาทของตนสมบูรณ์แบบอย่างนั้นหรือ?”
“เอาล่ะ! ไม่ต้องพูดแล้ว!” ดวงตางามของกู้จื่อเหยาถมึงมองกู้จื่อวี่ ใช้น้ำเสียงเคร่งขรึมเด็ดขาดรีบเอ่ยห้าม “จื่ออวี่ เจ้าจงจำไว้ อย่าได้นำทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ไปบอกกับใ ใครทั้งสิ้น ส่วนท่านพ่อข้าจะไปพูดกับเขาเอง เจ้าก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรไป!”
นางคำนับฉินม่านอวิ๋นอย่างเคร่งครัดเป็นทางการ พร้อมกับเอ่ยอย่างสุภาพนอบน้อม “เราสองพี่น้องปรารถนาใคร่ขอพบท่านผู้ยิ่งใหญ่ ขอน้องฉินม่านอวิ๋นช่วยแนะนำพวกเราด้วย”
ฉินม่านอวิ๋นเอ่ย “ข้าจะกลับไปดูท่าทีท่านผู้ยิ่งใหญ่ก่อน แล้วพรุ่งนี้จะมาให้คำตอบพวกท่าน”
กู้จื่อเหยาเอ่ยด้วยความซาบซึ้ง “ขอบคุณมาก”
ฉินม่านอวิ๋นคลี่ยิ้ม “อย่าได้เกรงใจ ท่านวางใจเถอะ ผู้ยิ่งใหญ่ยอมบอกเรื่องเช่นนี้กับจื่ออวี่ คิดดูแล้วคงไม่มีทางรังเกียจพวกท่าน”
………
ฉินม่านอวิ๋นออกจากหุบเขาเมฆาคราม ก็รีบตรงดิ่งไปเซียนเค่อจวี
มาได้ครึ่งทางก็เห็นหลี่เนี่ยนฝานที่กำลังเดินเล่นกับต๋าจี่อยู่ท่ามกลางฝูงชน นางรีบหาที่โล่ง จากนั้นก็แสร้งบังเอิญเดินไปพบหลี่เนี่ยนฝาน
นางเอ่ยด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม “คุณชายหลี่ ช่างบังเอิญจริง”
หลี่เนี่ยนฝานก็ยิ้มให้ฉินม่านอวิ๋น “ที่แท้ก็แม่นางฉิน กลับมาแล้วหรือ”
“อื้ม ไปเยี่ยมพี่หญิงท่านหนึ่งมา” ฉินม่านอวิ๋นพยักหน้า นางเห็นหลี่เนี่ยนฝานกำลังมองผ้าไหมอยู่ในร้าน จึงเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ “คุณชายหลี่จะซื้อผ้าหรือ?”
“ใช่แล้ว ข้าจะทำชุดให้ต๋าจี่น้อยสักหน่อย น่าเสียดายสีผ้าที่นี่ไม่หลากหลาย ไม่เจอสีที่เข้ากันเลย” หลี่เนี่ยนฝานถอนใจเบาๆ “ทำได้แค่เท่าที่มีแล้ว”
คำใบ้มาแล้ว!
ก่อนหน้านี้ตนละเลยความต้องการพื้นฐานไป ไม่สมควรจริงๆ
มุมปากฉินม่านอวิ๋นปรากฏรอยยิ้มที่ไม่อาจห้าม ในใจรู้สึกตื่นเต้น
ได้แสดงความสามารถต่อหน้าคุณชายหลี่แล้ว