บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1466: กอดเกี่ยวท่ามกลางแสงเทียน
ตอนที่ 1466: กอดเกี่ยวท่ามกลางแสงเทียน
บรรพตมารหมังกู่
ภายในตำหนักเทพนั้น
แพขนตาของชิงหว่านสั่นสะท้านเล็กน้อย ฟื้นคืนขึ้นจากภวังค์นิทรา
เมื่อนางลืมตาขึ้น นางก็เห็นซูอี้นั่งบนเก้าอี้หวายข้างกาย พลิกอ่านคัมภีร์หนังสัตว์โบราณเล่มหนึ่ง
“นายท่าน… เมื่อครู่ข้า…”
ดวงตาของนางงุนงงเล็กน้อย
ซูอี้กล่าวเบา ๆ “ก่อนหน้านี้ ข้าช่วยเจ้าลบตราประทับอู่วิญญาณในร่างให้ และใช้เคล็ดวิชาแปรเปลี่ยนหลอมวิญญาณเจ้าและเทียนฉีให้เป็นหนึ่ง”
“ภายหน้า โลกนี้จะไร้เทียนฉี และชีวิตของเจ้าจะไม่ถูกคนนอกควบคุมอีก”
กล่าวถึงตรงนี้ ซูอี้ก็ครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวว่า “ข้อเสียของมันคือ ความทรงจำของเจ้าในอดีตจะหายสิ้นไปกับตราประทับอู่วิญญาณด้วย”
ชิงหว่านและเทียนฉีคือบุคคลเดียวกัน และครั้งหนึ่งเคยเป็นศิษย์ใกล้ชิดของเสวี่ยหลิว
เมื่อนานมาแล้ว ช่างเสื้อเฒ่าร่วมมือกับเสวี่ยหลิววางแผน พยายามเวียนอุบายเดิมให้เขาทำผิดซ้ำเสิ่นมู่
และเบี้ยที่ใช้ก็คือชิงหว่าน
นอกจากนั้น การมีอยู่ของเทียนฉียังเป็นตัวชี้วัดเป็นตายของชิงหว่านอีกด้วย
สิ่งที่รับมือยากที่สุดนั้นคือ เมื่อวิถีเต๋าคืบหน้า ไม่ช้าก็เร็ว ชิงหว่านจะกระตุ้นตราประทับอู่วิญญาณ ฟื้นความทรงจำเดิมของนางขึ้นมา
ถึงยามนั้น ก็จะเป็นไปได้มากที่ชิงหว่านจะถูกอิทธิพลความทรงจำเก่าก่อนโน้มให้ก้าวสู่วิถี ‘สิ้นโลกีย์’ ที่ว่านั่น
เมื่อเป็นเช่นนั้น ชิงหว่านก็จะกลายเป็นศัตรูของเขา!
เหมือนเช่นความสัมพันธ์ระหว่างเสวี่ยหลิวกับเสิ่นมู่เมื่อกาลก่อน
ยามเขาอยู่ในแดนเทวามหาแดนดิน ซูอี้ได้มองทะลุแผนสมคบคิดนี้ ทว่ายามนั้นการฝึกฝนของเขายังมิเพียงพอจะแก้ปัญหานี้ลงได้
และยามนี้ เมื่อซูอี้มีประสบการณ์ของชาติที่หก ในสายตาของเขา ปัญหานี้เล็กจ้อยยิ่งนัก
หลังฟังวาจาของซูอี้ ชิงหว่านก็อดตะลึงไปมิได้
หญิงสาวสวมอาภรณ์เยี่ยงเปลวเพลิง ผิวพรรณงดงามกว่าหิมะ ทรงเสน่ห์ดุจภาพวาด ดวงตาลึกล้ำเรืองประกาย บริสุทธิ์เยี่ยงกระดาษขาว บรรยากาศดึงดูดอย่างน่าอัศจรรย์
และนางก็สงวนกิริยาอยู่ข้างกายซูอี้อย่างเชื่อฟัง
เหมือนเช่นกาลก่อน
เมื่อกาลผ่าน ชิงหว่านก็ดูจะเข้าใจความหมายวาจาของซูอี้ในที่สุด และความรู้สึกโล่งใจยินดีก็ปรากฏบนใบหน้าอย่างมิอาจปิดบัง “นี่… นี่ดีเลิศไปเลยเจ้าค่ะ…”
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “ดีตรงไหน?”
ดวงตาของชิงหว่านพร่างประกาย วาจาของนางแว่วหวานมีวาทศิลป์ “หว่านเอ๋อร์รู้เพียงว่านายท่านให้หว่านเอ๋อร์อยู่ข้างกาย สอนสั่งเคล็ดวิชาให้หว่านเอ๋อร์ฝึกฝน บุกน้ำลุยไฟช่วยชีวิตหว่านเอ๋อร์ครั้งแล้วครั้งเล่า…”
ใบหน้าของหญิงสาวปรากฏท่าทีย้อนระลึกราวกับกำลังไล่เรียงเรื่องราวในอดีต
ท้ายที่สุด นางก็ดูจะรวบรวมความกล้าได้ นัยน์ตาพร่างประกายงดงามของนางจับจ้องซูอี้ขณะกล่าวอย่างจริงจัง “หว่านเอ๋อร์มิต้องการความทรงจำเก่า ข้าต้องการเพียง… ข้าต้องการเพียงติดตามนายท่านไปชั่วชีวิต ขอเพียงนายท่านมิรังเกียจหว่านเอ๋อร์ หว่านเอ๋อร์… ก็พอใจแล้วเจ้าค่ะ…”
ท้ายที่สุด แพขนตาของหญิงสาวก็สั่นสะท้านเล็กน้อยราวกำลังเขินอาย ใบหน้าจิ้มลิ้มแดงระเรื่อ ศีรษะค้อมต่ำ คู่หัตถ์เพรียวบางขาวกระจ่างกำชายอาภรณ์ของนางอย่างประหม่า
นายท่าน?
เมื่อได้ยินความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ซูอี้ก็อดเสสรวล รู้สึกถึงอารมณ์แปรผันเล็กน้อยมิได้
มีเพียงหว่านเอ๋อร์ที่เรียกเขาเช่นนั้นในตอนแรก
กาลก่อน ยามเขาแรกพบชิงหว่านที่เรือนเล็กเหมยอำพัน ณ เมืองกว่างหลิงแห่งต้าโจว อีกฝ่ายนั้นเป็นเพียงร่างวิญญาณซึ่งตนฝึกฝนเพื่อใช้เป็นเตาหล่อหลอมฝึกฝนคู่…
ชิงหว่านในขณะนั้นมีรูปลักษณ์งดงามยิ่งนัก ทว่ายามเผชิญหน้าเขา นางกลับสั่นสะท้านราวกำลังย่างก้าวบนแผ่นน้ำแข็ง
จากนั้นมา ชิงหว่านก็อยู่ข้างกายเขามาตลอด
ผ่านไปแสนนานหลายปี
และเมื่อเห็นชิงหว่าน ซูอี้ก็เหมือนได้พบพานประสบการณ์เมื่อกาลก่อน มีหรือจะอดรำพึงในใจได้?
ชิงหว่านลุกขึ้น ก้าวเข้ามาด้วยสีหน้าอ่อนหวานเชื่อฟัง หยิบไหสุรารินให้กับซูอี้อย่างว่าง่าย
แสงเงาในโถงนั้นดุจเปลวเพลิงสะท้อนบนร่างสง่างามอรชร เกิดเป็นแสงเงาตกกระทบงดงาม
“นายท่าน หว่านเอ๋อร์ขอคารวะท่าน”
ชิงหว่านค้อมเอวมอบจอกสุราในมือแก่ซูอี้ผู้ทอดกายบนเก้าอี้หวาย
จากมุมมองของซูอี้ หญิงสาวช่างอยู่ใกล้นัก อาภรณ์ตรงหน้านางอวบกลมดุจคู่คีรี ใบหน้างดงามจิ้มลิ้มเพิ่มเสน่ห์ประหลาดภายใต้แสงสว่าง
โถงนั้นว่างเปล่า มีเพียงแสงเทียนระริกไหวข้างโต๊ะ
คู่บุรุษสตรีเดียวดายใกล้ชิด ความงดงามตรงหน้านั้นมีเสน่ห์สะกดโลกหล้าเกินใดเทียบ และเมื่อยามนี้นางยืนจอกสุราคารวะอยู่ตรงหน้าก็ช่างงดงามเหลือแสน
ดุจภาพเขียนอันเปี่ยมชีวิตชีวาคลี่ออกตรงหน้า เย้ายวนพราวเสน่ห์
ซูอี้รับจอกสุรามาดื่ม
ขณะที่ชิงหว่านกำลังจะถอยกลับไปด้านข้างนั้นเอง ร่างบางขาวเนียนยิ่งกว่าหิมะก็ถูกหัตถ์ใหญ่ข้างหนึ่งคว้าไว้ ร่างบอบบางสะท้านสั่น ยามเบนตามองก็สบสายตากับซูอี้
ส่วนลึกของนัยน์ตาลึกล้ำนั้นเจือความขบขัน ทว่าก็มีเพลิงแผดเผาแทบครอบคลุมทั่วร่างและวิญญาณของผู้คน
และเพียงซูอี้ดึงเบา ๆ ร่างนุ่มนิ่ม อบอุ่นและหอมกรุ่นก็ร่วงลงในอ้อมแขน
“นายท่าน…”
ขณะที่ชิงหว่านกำลังจะพูดบางอย่างนั้นเอง ริมฝีปากชุ่มฉ่ำสีกุหลาบของนางก็ถูกปิดไป
ชั่วขณะนั้น
กลิ่นเมรัยพลิ้วแผ่ว สองบุคคลกอดเกี่ยวท่ามกลางแสงเทียน เหลียวหลังหันมอง ทั้งเสียงร้องเจ็บปวด เสียงเคลื่อนร่างแผ่วเบา เสียงสะดุ้งสั่นสะท้านปะปนชวนหน้าขึ้นสี
ไร้ช่องว่างระหว่างกัน รสสัมผัสครานี้ช่างบ้าคลั่ง สองแขนกระหวัด ริมฝีปากประสาน เรียวลิ้นพัวพัน
……
เขาช่างแสนโลภในความหฤหรรษ์ ยามฟื้นจากนิทราดวงตะวันก็ลอยเด่นแล้ว
ซูอี้อารมณ์ดี
ชิงหว่านกำลังหลับสบายอยู่ในเตาเสริมสวรรค์
เมื่อคืนก่อน หญิงสาวถูกพายุพัดพาหนักหน่วง หลังศึกหลายต่อหลายยก ในที่สุดนางก็พ่ายแพ้ปราชัย
ซูอี้เชิญอูเหมิง ไป๋ท่า และคนอื่น ๆ มาหา
เขาวางแผนจะหวนคืนสู่ส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาวแล้ว
แต่ก่อนหน้านั้น ยังมีบางสิ่งที่เขาต้องรู้
“ตลอดกาลนานมา ไฉนพวกเจ้าจึงไม่ไปข้าม ‘วิถีสวรรค์ห้าม’ เสียที?”
ซูอี้เอ่ยถาม
เขานั่งที่โต๊ะ ดวงตากวาดมองพวกอูเหมิง
อูเหมิงรำพึง “นายเหนือหัวไม่ทราบบางเรื่อง วิถีสวรรค์ห้ามนั้นถูกปิดกั้นไปแสนนานแล้วขอรับ กล่าวกันว่าเกิดหายนะหนึ่งในโลกเซียน และทำให้วิถีสวรรค์ห้ามพังทลาย ไม่ว่าผู้ใดฝืนบุกสู่วิถีสวรรค์ห้ามก็มีแต่ต้องตายตกขอรับ”
ไป๋ท่ากล่าวด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก “กาลก่อน เจ้าล่อเฒ่าและเมิ่งเจินร่วมมือกันทะลวงสู่วิถีสวรรค์ห้าม ทว่า… พวกเขาล้วนตายตก ท้ายที่สุดมีเพียงข่าวส่งกลับมาเตือนเราว่าต้องมิเดินทางไปมากกว่านี้ ที่นั่นคือที่ตายโดยแท้ขอรับ!”
สีหน้าของสัตว์ประหลาดเฒ่าอื่น ๆ ก็เผยความรันทดเจือออกมาเช่นกัน
ล่อเฒ่าและเมิ่งเจินก็เป็นผู้ติดตามรับใช้นายเหนือหัวเช่นพวกเขา
“หายนะในโลกเซียนนั้นกลับส่งผลต่อศักราชแห่งมารด้วย…”
ซูอี้ขมวดคิ้ว
ศักราชแห่งมารนั้นพิเศษมาก ตลอดกาลนานมา ยอดฝีมือผู้ก้าวสู่วิถีเซียนจะต้องผ่าน ‘วิถีสวรรค์ห้าม’ หากต้องการเข้าสู่โลกเซียน
‘วิถีสวรรค์ห้าม’ ที่ว่านั้นเป็นทางเชื่อมแดนดินต้องห้าม
บนทางเชื่อมนั้นมีหายนะฆ่าฟันมากมายเกินคาดการณ์
นับแต่โบราณ กระทั่งตัวตนระดับเซียนในศักราชแห่งมารยังมีน้อยคนนักจะผ่านวิถีสวรรค์ห้ามไปได้
กาลก่อน เมื่อชาติที่หกหวังเย่จากศักราชแห่งมาร เขาทิ้งสารพัดเคล็ดวิชาและสมบัติไว้ และบอกวิถีข้ามผ่านวิถีสวรรค์ห้ามแก่พวกอูเหมิง
ทว่ายามนี้ ซูอี้ก็ได้รู้ว่าหายนะในโลกเซียนส่งผลต่อ ‘วิถีสวรรค์ห้าม’ ของศักราชแห่งมารด้วย!
ทันใดนั้น ซูอี้ก็จำเรื่องราวขึ้นได้มากมาย
ไม่นานมานี้ เขาได้รับรู้จากปากทูตสวรรค์หมีเจินผู้รับใช้พุทธเจ้าแผดตะเกียงว่าตลอดกาลนานมา เพื่อจัดการกับวัฏสงสาร เหล่าเทพได้วางแผนการใหญ่ไว้!
เฉกเช่นหายนะในโลกเซียน หายนะสิ้นกฎเกณฑ์ในโลกมนุษย์ และกระทั่งวิถีสู่สวรรค์ในแดนเทวามหาแดนดินยังถูกสะบั้นขาด…
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นฝีมือทวยเทพ!
จริงอยู่ที่เหล่าเทพมิอาจเข้าแทรกแซงเรื่องราวในโลกหล้าได้จากการจำกัดบัญญัติกฎเกณฑ์ พวกเขาไม่อาจปรากฏร่างด้วยตนเอง และยากจะหาตัวซูอี้ผู้ถือครองวัฏสงสารได้พบ
ทว่าพวกเขาก็สามารถขวางทางมิให้ซูอี้แข็งแกร่งขึ้นได้!
นี่คือเหตุผลหลักที่ทุกครั้งยามซูอี้เวียนวัฏ การฝึกฝนจึงอ่อนแอลงเรื่อย ๆ
นอกจากนั้น ทวยเทพยังส่งทูตสวรรค์มาเดินดินเพื่อค้นหาที่อยู่ของซูอี้ด้วย
เหมือนเช่นทูตสวรรค์ ‘ฉินต่งซวี’ ผู้ทำลายวิถีสู่สวรรค์ในภูมิดาราฟ้าดิน ‘หมีเจิน’ ผู้รับใช้พุทธเจ้าแผดตะเกียง และช่างเสื้อผู้รับใช้ ‘ท่านเทพรัตติกาลดับวจี’ ซึ่งกระทำการตามบัญชาเทพเสมอมา!
และ ‘วิถีสวรรค์ห้าม’ จากศักราชแห่งมารสู่โลกเซียนก็ได้รับผลกระทบไปด้วย ทำให้พวกอูเหมิงและไป๋ท่าหากล้าข้ามไม่
มีหรือซูอี้จะไม่เข้าใจว่าทั้งหมดนี้น่าจะเป็นการโจมตีเขา?
“กาลก่อน เซวี่ยเซียวจื่อนำกลุ่มขุมกำลังวิถีเซียนสู่ศักราชแห่งมารเพื่อค้นหาที่อยู่ของหวังเย่”
“และเมื่อหวังเย่เวียนวัฏเป็นเสิ่นมู่ เขาก็ปรากฏขึ้นในศักราชแห่งมาร…”
“ดูเหมือนว่าผลกระทบต่อวิถีสวรรค์ห้ามก็ต้องเกี่ยวกับแผนของทวยเทพเช่นกัน”
ซูอี้นวดหว่างคิ้ว
มันดูคลุมเครือ ทว่าก็เรียบง่าย
เหล่าเทพหาเขาไม่เจอ แต่ก็สามารถใช้พลังในมือทำลายวิถีเวียนวัฏซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้
ป้องกันไม่ให้เขาแข็งแกร่งขึ้น!
ไม่นานนัก ซูอี้ก็ได้รับรู้จากพวกอูเหมิง ว่านับแต่เกิดการเปลี่ยนแปลงมหาศาลกับวิถีสวรรค์ห้าม ยอดฝีมือในโลกหล้าผู้ก้าวสู่วิถีเซียนก็ลดน้อยลงทุกขณะ
และเหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าอย่างอูเหมิงและไป๋ท่าก็ล้วนอยู่ภายใต้อำนาจกฎสวรรค์ มิเพียงพวกเขามิอาจเคลื่อนขอบเขตฝึกฝน เมื่อกาลผ่าน ทรัพยากรฝึกฝนที่พวกเขาดูดซับหลอมรวมได้ก็ยิ่งน้อยลง หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ขอบเขตของพวกเขาก็จะเสี่ยงต่อการถดถอย!
นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่พวกเขาหลบซ่อนเก็บตัวตลอดกาลนานมา
“นายเหนือหัว ท่าน… ชี้ทางแก่เราได้หรือไม่ขอรับ?”
คางคกทมิฬอดกล่าวมิได้
สัตว์ประหลาดเฒ่าตนอื่นล้วนมองซูอี้เป็นตาเดียว สีหน้าเปี่ยมความหวัง
ซูอี้ครุ่นคิดสักพัก และกล่าวว่า “เมื่อข้าหวนคืนโลกเซียน ข้าจะหาโอกาสเหมาะสมในการนำพวกเจ้าไปที่นั่น”
เมื่อทุกผู้ได้ยินเช่นนี้ พวกเขาก็ล้วนปรีดากล่าวแสดงความขอบคุณ
ต่างอารยธรรมต่างยุคสมัย การฝึกฝนและกฎสวรรค์ก็แตกต่างโดยสิ้นเชิง ซึ่งหมายความว่าแม้ซูอี้จะอยู่ในศักราชแห่งมาร การฝึกฝนในศักราชแห่งมารก็ทำได้ยากเย็น
เว้นเพียงเขาจะทิ้งการฝึกฝนเดิมในร่างกายแล้วฝึกฝนใหม่ที่นี่
เช่นเดียวกัน แม้อูเหมิงและเหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าอื่น ๆ จะติดตามซูอี้สู่ส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว พวกเขาก็ยังไร้โอกาสเคลื่อนขอบเขตสู่สูงกว่า
ขณะที่ซูอี้กำลังสนทนากับพวกอูเหมิงนั้นเอง…
นอกบรรพตมารหมางกู่ ชายอาภรณ์สีน้ำเงินร่างผมยาวปรากฏกายขึ้นขึ้นอย่างเงียบ ๆ
“หากครานี้ยังไม่ได้พบนายเหนือหัวของเจ้าอีก ข้าผู้นี้จะฆ่าเจ้าซะ”
ชายชุดสีน้ำเงินกล่าวช้า ๆ
ในมือขวาขาวกระจ่างของเขามีโคมทองดวงหนึ่ง
ในโคมทองนั้นผนึกร่างหนึ่งไว้
ดวงแสงเคลื่อนคล้อย รัศมีเซียนลึกลับพลิ้วไหว ทำให้ร่างนั้นกรีดร้องอย่างแสนเจ็บปวดรวดร้าว